๘ เจ้าของหัวใจคือเธอ

2427 Words
๘ เจ้าของหัวใจคือเธอ เมื่อครอบครัวของปัทมาไม่ให้ความร่วมมือใดๆ อิชย์จึงหันมาขอความช่วยเหลือจากเพื่อนตามหาจันทร์กระจ่างอีกครั้ง ปัทมาและครอบครัวจึงถูกจับตามองอย่างใกล้ชิดนับแต่นั้น ทว่าไม่มีใครได้ข่าวคราวจันทร์กระจ่างอีก ไม่มีข่าวคราวความเคลื่อนไหว ชายหนุ่มจึงต้องกลับไปทำงานของเขาอีกครั้ง ทว่าคราวนี้อิชย์เงียบลงจนคนรอบข้างเริ่มเป็นห่วง “อิชย์ กินข้าวกินปลาเสียหน่อยสิลูก” นางมนพรที่ระยะหลังย้ายมาอยู่กับลูกชายเพราะเป็นห่วงร้องบอกเมื่อเจ้าของร่างสูงก้าวเข้ามาภายในบ้าน ชายหนุ่มสบตามารดาพร้อมส่งยิ้มเนือย เขามองอาหารบนโต๊ะแล้วถอนหายใจยาว “ได้ข่าวจันทร์บ้างหรือยัง” นางมนพรเอ่ยถามหลังจากรับประทานอาหารเย็น ร่างสูงของลูกชายยืนนิ่งอยู่ที่ระเบียง แล้วมองออกไปด้านหน้า “ยังเลยครับ” เมื่อได้รับคำตอบ มารดาของเขาก็เงียบไป “เมื่อวันก่อนแม่ได้เจอแพร เห็นว่ากลับมาอยู่บ้านแล้ว คนเขาพูดกันว่าทะเลาะกับสามีมา ท่าทางจะไปกันไม่รอด” นางมนพรเอ่ยขึ้นพร้อมกับมองลูกชายไปด้วย อิชย์จึงหันไปมองมารดาด้วยสายตาที่แสดงออกถึงความแปลกใจ “ยังรักเขาอยู่หรือเปล่า” คำถามจากมารดาทำให้ชายหนุ่มนิ่งงัน เขากำลังคิดถึงความรู้สึกที่เคยมีต่อเหมือนแพร ทว่าเวลานี้เมื่อได้ยินชื่อของอีกฝ่ายเขากลับไม่รู้สึกดีใจหรือตื่นเต้นอีกแล้ว คล้ายกับทุกอย่างว่างเปล่า อาจเป็นเพราะมีเรื่องของจันทร์กระจ่างและลูกให้ต้องนึกถึงจนไม่เหลือพื้นที่เอาไว้คิดถึงใครอื่น แม้กระทั่งอดีตรักแรก... “ถ้าเขาเลิกกับผัวขึ้นมาจริงๆ แล้วคิดจะกลับมาหาอิชย์ แม่บอกเอาไว้เลยนะว่าแม่ไม่ต้อนรับผู้หญิงคนนั้น ถ้าอิชย์คิดจะกลับไปคืนดีแม่ก็จะไม่ยุ่ง แต่ไม่ต้องพาไปหาแม่ที่บ้านด้วย อิชย์อยู่ของอิชย์ไป แม่ก็อยู่ของแม่ ไม่ต้องเกี่ยวข้องกันอีก” ชายหนุ่มถอนหายใจยาว เมื่อมารดายื่นคำขาดด้วยการบอกให้รู้ว่าท่านไม่มีวันยอมรับเหมือนแพร “แล้วถ้ากลับมาอย่างเพื่อนล่ะครับ” นางมนพรทำเสียงเยาะ “ถ้าแกคิดจะกลับไปคบหากับเหมือนแพรอีก แม่ว่าแกไม่ต้องตามหาเมียกับลูกแกแล้ว ปล่อยเขาไปนั่นแหละดีที่สุด เพราะไม่มีผู้หญิงคนไหนสบายใจที่ผัวกลับไปสนิทสนมกับแฟนเก่าอีก ไม่ว่าจะฐานะอะไรก็ตามที” ชายหนุ่มฟังนิ่งพลางทอดถอนหายใจหนักหน่วง ดวงตาสีเข้มมองตรงไป แล้วก็ต้องเขม้นตามองเพราะไม่ทันขาดคำ รถยนต์คุ้นตาก็เคลื่อนเข้ามาจอดหน้าบ้าน และเมื่อเจ้าของรถก้าวออกมานางมนพรก็ถึงกับส่งเสียงเหยียดหยันในลำคอทันที “ตายยากเสียจริง” นางแทบไม่มองเหมือนแพรที่กำลังเดินตรงมาด้วยซ้ำ “แม่ยังยืนยันคำเดิม ถ้าแกอยากได้เมียกับลูกคืนมาก็เลิกคบกับผู้หญิงคนนี้ซะ อย่ากลับไปคบหากันอีก แค่เพื่อนก็ไม่ได้ เพราะไม่มีเมียคนไหนสบายใจที่ได้เห็นผัวตัวเองยังสนิทสนมกับคนในอดีต อีกอย่าง อย่าลืมว่าผัวเขาเป็นทหาร ยังไม่ได้หย่ากัน จะทำอะไรก็คิดให้ดี เลิกได้เลิกเถอะ ถือเสียว่าแม่ขอร้อง” ชายหนุ่มสบตามารดานิ่งก่อนหันไปมองร่างบางที่ยิ้มหวานส่งมาให้ เมื่อเดินมาถึงเหมือนแพรก็ยกมือทำความเคารพนางมนพร ฝ่ายนั้นรับไหว้ ก่อนจะหมุนตัวกลับเข้าบ้านโดยไม่พูดจาทักทาย แสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่เต็มใจต้อนรับ เหมือนแพรถึงกับหุบยิ้ม ก่อนจะหันมามองชายหนุ่มด้วยสายตาที่เป็นคำถาม “คุณมาหาผมแบบนี้ไม่กลัวมีปัญหากับสามีของคุณหรือไง” เหมือนแพรไหวไหล่ หล่อนกับสามีเพิ่งทะเลาะกันอย่างหนัก จึงออกปากขอหย่ากับเขาก่อนตัดสินใจกลับบ้าน “แพรกำลังจะหย่ากับเขา” เขาไม่เคยเชื่อเรื่องที่หล่อนจะหย่ากับสามีจนกระทั่งได้ยินหล่อนพูดต่อหน้าเขาอีกครั้ง ชายหนุ่มมองหน้าคนที่เขาเคยรักด้วยความรู้สึกที่ต่างออกไปจากเดิม แล้วอดคิดไม่ได้ว่าบางทีหากวันนั้นคนที่หล่อนเลือกคือเขา วันนี้คนที่หล่อนขอหย่าก็คงเป็นเขาเหมือนกัน เมื่อคิดได้ดังนั้นชายหนุ่มก็ถอนหายใจยาวเหยียด รู้สึกโล่งใจพิลึกที่วันนั้นหล่อนไม่ได้เลือกตน “ผมไม่รู้ว่าแพรมีปัญหาร้ายแรงอะไรที่ทำให้ถึงกับต้องหย่ากับเขา แต่ถ้ามันต้องเป็นแบบนั้นจริงๆ ผมก็เสียใจด้วย” ท่าทางเฉยชากับแววตาว่างเปล่าทำให้หญิงสาวขมวดคิ้ว “ท่าทางอิชย์เหมือนกับไม่รู้สึกอะไรเลย” เขาหลุบตามองคนตรงหน้า ขณะที่หญิงสาวหรี่ตาเล็กน้อย “รู้สึกสิ รู้สึกเสียใจกับคุณยังไง” “แพรไม่ได้หมายความถึงเรื่องนี้ แต่ที่กำลังจะพูดคือความรู้สึกที่คุณมีต่อแพรต่างหาก” คิ้วสีเข้มชนกันเล็กน้อยจากนั้นค่อยๆ คลายออกยามสบตาคู่งาม เช่นเดียวกับที่เหมือนแพรมองเข้าไปในดวงตาคู่เดิมที่เวลานี้ดูเหมือนจะไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกต่อไป “ความรู้สึกของคุณที่มีต่อแพร มันยังเหมือนเดิมอยู่ไหม” ผ่านไปอีกหลายเดือน ท้องของจันทร์กระจ่างโตวันโตคืนเพราะใกล้คลอดเต็มที โชคดีที่หญิงสาวได้เจอเพื่อนบ้านที่ดี โดยเฉพาะกับสามีภรรยาวัยเกษียณ ที่คอยแวะเวียนมาพูดคุยเป็นเพื่อนหล่อนเสมอ “คืนนี้ให้ป้ามานอนเป็นเพื่อนไหมหนูจันทร์ เกิดอะไรขึ้นจะได้ช่วยกันทัน” นางลาวัลย์เอ่ยถามอย่างเป็นห่วง ตั้งแต่วันแรกที่ได้รู้จัก นางก็รู้สึกถูกชะตากับจันทร์กระจ่าง แม้หญิงสาวจะไม่เคยพูดถึงพ่อของเด็กในท้อง แต่นางเดาได้ว่าคงเลิกรากันนั่นเอง ไม่อย่างนั้นก็คงจะไม่มาอยู่ลำพังคนเดียวแบบนี้ น่าเป็นห่วงไม่น้อยสำหรับคุณแม่มือใหม่ “ขอบคุณมากค่ะป้า แต่ว่าวันนี้เพื่อนจันทร์มา คงจะถึงช่วงบ่ายค่ะ แล้วก็จะมาอยู่เป็นเพื่อนจนกว่าจะคลอด ป้าวัลย์ไม่ต้องห่วงจันทร์นะคะ” หญิงสาวยิ้มอ่อนหวาน เกิดเป็นความอบอุ่นใจที่อีกฝ่ายคอยถามไถ่และแวะเวียนมาหาอยู่เสมอ ทำให้รู้สึกเหมือนมีญาติผู้ใหญ่อยู่ใกล้ๆ และคอยให้คำปรึกษา “ไม่ให้ห่วงได้ยังไง แต่ถ้าหนูคนนั้นมาป้าก็ค่อยเบาใจ ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอกป้าได้เสมอนะ” จันทร์กระจ่างเอ่ยขอบคุณอีกฝ่าย ทั้งสองพูดคุยกันอยู่อีกพักใหญ่นางลาวัลย์จึงเอ่ยขอตัว เพราะลูกสาวและลูกชายเดินทางมาจากเมืองใหญ่ “ป้าไปก่อนนะหนู ลูกชายกับลูกสาวป้ากลับมาเยี่ยม” จันทร์กระจ่างได้ฟังดังนั้นก็ยิ้มกว้าง เพราะดูออกว่าอีกฝ่ายดีใจมากแค่ไหนที่ลูกๆ กลับมาหา ไม่นานนักหล่อนก็ได้ยินเสียงหัวเราะและเสียงพูดคุยดังมาจากเพื่อนบ้าน เป็นเสียงแห่งความสุขที่หล่อนสัมผัสได้บ่อยขึ้นหลังจากมาอยู่ที่นี่ ปัทมาเดินทางมาถึงในช่วงบ่ายพร้อมกระเป๋าหนึ่งใบใหญ่เพราะตั้งใจมาอยู่กับเพื่อนรักหนึ่งเดือนเต็ม “โอ้โห กระเป๋าใหญ่มาก นี่ขนมาหมดหรือเปล่า” เมื่อถูกแซวจากเพื่อนรักปัทมาจึงค้อนขวับก่อนจะส่งยิ้มให้ “ว่าจะมาอยู่สักเดือนหนึ่ง” คำตอบของปัทมาทำให้คนฟังรู้สึกเกรงใจขึ้นมาทันที เพราะที่คุยกันเอาไว้อย่างมากก็สองอาทิตย์ “แล้วงานที่บ้านแกล่ะ มาแบบนี้พ่อกับแม่ก็เหนื่อยแย่สิ” ปัทมาส่ายหน้ารัว พลางตอบขณะดึงเสื้อผ้าออกมาแขวนเก็บในตู้ “ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอก แถมสองตายายยังเป็นคนบอกให้ฉันมาอยู่เป็นเพื่อนแกนานกว่านี้ด้วยซ้ำ ไว้คลอดแล้ววันกลับมาบ้านพ่อกับแม่จะมาหา” ปัทมาหันไปมองเพื่อนที่มีแววตาเอ่อคลอหยาดน้ำใสๆ “เอาอีกแล้ว ซาบซึ้งอะไรอีกแล้วยัยคนนี้” ปัทมาก้าวเข้าไปหาเพื่อน แล้วรั้งร่างอวบอิ่มจวนคลอดเข้าไปกอด จึงได้ยินเสียงสะอื้นเบาๆ ออกมาจากเพื่อนรัก “แกไม่ต้องกลัว ฉันอยู่ข้างแกเสมอ ฉันจะคอยให้กำลังใจแกอยู่หน้าห้องคลอด” จันทร์กระจ่างผละออกมาจากอ้อมกอดของปัทมา พลางเช็ดน้ำตาพร้อมกับยิ้มให้เพื่อนรัก “ขอบใจแกมากนะปัท ขอบใจแกมากจริงๆ” ปัทมายิ้มพลางส่ายหัวเบาๆ “แกนี่นะ ท่องจำเป็นโรบอทเลย เวลาฉันมีปัญหาก็มีแค่แกที่อยู่ข้างๆ คอยให้กำลังใจ ตอนนี้เป็นแกบ้างที่ต้องการกำลังใจ ฉันจะอยู่ห่างแกได้ยังไงฮะยัยจันทร์ ไปข้างล่างกันดีกว่านะ ดูว่าจะต้องเตรียมตัวอะไรเพิ่มเติม” จากนั้นคนทั้งสองก็เดินลงชั้นล่าง ตลอดเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา จันทร์กระจ่างมีปัทมาคอยแวะเวียนมาเยี่ยมเยือน ยกเว้นช่วงแรกๆ เพราะหล่อนไม่ต้องการให้อิชย์รู้ว่าพักอยู่ที่ไหน จึงใช้วิธีโทร.คุยกันมาโดยตลอด จนกระทั่งไม่มีใครพบเห็นอิชย์มาเมียงมองหรือมีคนแปลกหน้ามาป้วนเปี้ยนแถวบ้านอีก ปัทมาจึงเริ่มมั่นใจว่าอิชย์คงถอดใจเสียแล้ว ทำให้รู้สึกผิดหวังที่ฝ่ายนั้นละความพยายามลงอย่างง่ายดาย พอเข้าเดือนที่หกเพื่อนรักจึงเริ่มเดินทางมาเยือนเดือนละครั้งและเริ่มถี่ขึ้นเมื่อใกล้คลอด บางครั้งมากับพี่ชาย บางครั้งมากับคนรักและบางครั้งก็พาพ่อกับแม่มาด้วย ไหนจะเพื่อนบ้านแสนดี หญิงสาวจึงไม่เหงาเลยสักนิด หล่อนเกือบคิดว่าลืมอิชย์ได้แล้ว แต่จู่ๆ ความรู้สึกอ่อนไหวเมื่อครู่กลับทำให้คิดถึงเขาขึ้นมาอีก มือเรียววางลงบนหน้าท้องที่นูนเด่นขณะนั่งใจลอยอยู่ที่โต๊ะปูนสีดำใกล้กับชิงช้า แต่แล้วหญิงสาวก็ถูกปลุกให้ตื่นจากภวังค์เพราะเสียงของใครสักคน “สวัสดีค่ะ” จันทร์กระจ่างกะพริบตาปริบๆ ชะเง้อมองออกไปที่หน้าบ้าน เห็นชายหญิงแปลกหน้าคู่หนึ่งยืนอยู่ก็ขมวดคิ้ว แต่เมื่อเห็นนางลาวัลย์เดินตามมาด้วยจึงเดาได้ทันทีว่าคนทั้งสองเป็นใคร หญิงสาวพาร่างอุ้ยอ้ายของตนเองเดินตรงไปที่รั้ว ขณะที่ปัทมาเดินตามออกมาแล้วยืนมองอยู่ที่ระเบียงบ้าน จากนั้นจึงตรงไปที่โต๊ะปูนพร้อมเครื่องดื่มและผลไม้ “สวัสดีค่ะ” หญิงสาวยกมือไหว้คนทั้งสองเพราะรู้มาจากนางลาวัลย์ว่าทั้งคู่อายุมากกว่าตน “เชิญเข้าบ้านก่อนนะคะ” “ขอบใจจ้ะ พี่ชื่อโรสรินนะคะ เป็นน้องสาวของพี่ปองภพ เรียกพี่ว่าพี่โรส ส่วนคนนี้พี่ปองค่ะ” หญิงสาวยิ้มให้สองพี่น้องและนางลาวัลย์ “ป้าพาลูกๆ มาทำความรู้จักกับหนู” “ขอบคุณมากค่ะ อันที่จริงจันทร์กะว่าเย็นนี้จะเข้าไปทักทายเหมือนกันค่ะ” หญิงสาวบอกกับคนทั้งสามด้วยดวงหน้าเจือยิ้มหวาน แล้วเดินนำเข้าไปภายในบ้าน โรสรินสบตาพี่ชายยิ้มๆ ก่อนหันไปสบตามารดาอย่างพอใจ แม่ของพวกตนเล่าถึงสาวสวยที่เป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวให้ฟังมาโดยตลอด จนหล่อนกับพี่ชายคิดว่าสนิทสนมกับหญิงสาวตั้งแต่ยังไม่เคยเห็นหน้าด้วยซ้ำไป เมื่อได้พบหน้าก็รู้สึกชื่นชม เพราะจันทร์กระจ่างสวยน่ารักและดูอ่อนหวานเหมือนอย่างที่มารดาเล่าให้ฟังทั้งหมด ปองภพเองลอบมองหญิงสาวเพื่อนบ้านด้วยสายตาที่แสดงออกว่าสนใจชัดเจน เขาเองเป็นพ่อม่ายเมียหย่าเพราะบ้างาน จนเมียหนีไปแต่งงานใหม่กับคนอื่น เขาจึงอยู่เป็นโสดเรื่อยมานับแต่นั้น เวลานี้อายุของเขาก็เข้าเลขสี่แล้ว หลายเดือนก่อนมารดาเล่าเรื่องราวของจันทร์กระจ่างให้ฟังอยู่เสมอ แรกๆ ค่อนข้างรำคาญและไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก แต่ฟังไปฟังมาเขาก็เกิดนึกสนใจขึ้นมาจริงๆ แต่เพียงแค่สนใจเท่านั้น กระทั่งเมื่อได้พบเจอกันในวันนี้เขากลับรู้สึกดีๆ กับเจ้าของดวงตาหวานอมโศกคู่นี้เข้าอย่างบอกไม่ถูก ชายหนุ่มสบตามารดาท่านจึงขยิบตาให้เขาราวจะรู้ความคิด ชายหนุ่มจึงกระแอมเบาๆ ในลำคอขณะนั่งลงบนเก้าอี้ปูน “ตรงนี้เย็นดีค่ะ คนนี้เพื่อนจันทร์นะคะ ชื่อปัท จะมาอยู่เป็นเพื่อนจนกว่าจะคลอด” ปัทมาไหว้คนทั้งสาม จากนั้นทั้งหมดก็เริ่มสนทนาเรื่องราวต่างๆ จันทร์กระจ่างได้รู้ว่าโรสรินมีอาชีพเป็นพนักงานเอกชนมีตำแหน่งเป็นผู้จัดการฝ่ายต่างประเทศ ส่วนปองภพนั้นเป็นคณบดีในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ท่าทางของโรสรินคล่องแคล่วสมกับอาชีพ ส่วนปองภพก็ดูภูมิฐานเป็นผู้ใหญ่เหมาะกับการเป็นครูบาอาจารย์เช่นเดียวกัน ก่อนกลับปองภพไม่ลืมส่งยิ้มให้หญิงสาว เขาพูดน้อยเมื่ออยู่ต่อหน้าหล่อนและปัทมา ส่วนใหญ่เป็นโรสรินและมารดาเสียมากกว่าที่ผูกขาดการพูดคุย แต่ท่าทางของชายหนุ่มสะดุดตาปัทมามาก พอทั้งสามคนกลับออกไปแล้วหญิงสาวจึงเอ่ยกับเพื่อนรัก “คุณปองน่าสนใจดีจัง ท่าทางภูมิฐาน อบอุ่นและใจดีแกคิดเหมือนฉันไหม” ทั้งคำพูดและสายตาที่มองมาของปัทมาทำให้จันทร์กระจ่างค้อนคมพร้อมถอนหายใจยาว “คงงั้น แต่แกไม่ต้องมายุฉันเลยนะ” เป็นเพื่อนกันมานาน แค่มองตาและได้ฟังน้ำเสียงก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่ ปัทมาถึงกับหัวเราะคิกเมื่อถูกจับได้ “ก็แหม เขาออกจะดูน่าสนใจ แถมคุณเขาก็ดูเหมือนจะสนใจแกด้วยนะ เอาน่า ลองๆ ดูไปก่อน หน้าตาก็ดี หน้าที่การงานมั่นคง ไหนจะ...” “รอฉันคลอดก่อนได้ไหม เรื่องอื่นค่อยว่ากัน”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD