๗ จันทร์ คืนแรม

2312 Words
หนึ่งอาทิตย์ต่อมา นางมนพรได้รับอนุญาตให้กลับมาพักฟื้นที่บ้านได้ อิชย์เองก็ต้องแก้ปัญหาที่เกิดในฟาร์ม ทั้งยังต้องดูแลคลินิกสลับกับการดูแลมารดาไปด้วย ยังดีที่มีพี่สาวคอยดูแลมารดาอย่างใกล้ชิด เขาจึงไม่ต้องห่วงเรื่องนี้มากจนเกินไป ในวันหนึ่ง เมื่อปัญหาเริ่มคลี่คลายลงและอิชย์มีเวลาอยู่บ้านเพื่อสะสางงานที่คั่งค้างมากกว่าทุกวันให้เสร็จเพื่อที่จะกลับไปหาจันทร์กระจ่างอีกครั้ง จอยจึงเดินเมียงมองเจ้านายอย่างสองจิตสองใจ เงาที่วูบไหวท่าผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ที่หน้าประตูห้องนั่งเล่น ทำให้คนที่กำลังก้มหน้าก้มตาดูเอกสารต่างๆ ที่กองพะเนินอยู่บนโต๊ะตรงหน้าหันไปมองเมื่อรู้สึกว่ามีบางอย่างผ่านวาบที่ปลายหางตา เมื่อเห็นว่าเป็นจอยจึงเอ่ยถามออกไป “มีอะไรหรือเปล่าจอย” จอยชะงักกึก ก่อนจะยิ้มแหยแล้วค่อยๆ เดินเข้าไปหานายจ้าง พร้อมกับนั่งลงบนเก้าอี้ที่ห่างออกไปด้วยท่าทางคล้ายคนที่มีเรื่องจะพูด ชายหนุ่มขมวดคิ้วนิ่วหน้า จอยจึงขยับมือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง แล้วหยิบบางอย่างออกมาส่งให้เขา ชายหนุ่มมองนิ่งๆ อยู่อึดใจก่อนรับแผ่นตรวจการตั้งครรภ์ไปดูงงๆ “ของเธอเหรอ” เขามองหน้าเด็กสาว พลางคิดไปว่าหล่อนคงไม่กล้าบอกกับผู้เป็นป้าจึงเอามาให้เขาดูแทน ทว่าจอยกลับส่ายหน้า จึงทำให้ชายหนุ่มงุนงงขึ้นไปอีก “แล้วมันของใคร เขาพลิกดูร่องรอยที่ปรากฏการใช้งานของแผ่นตรวจที่อยู่ในถุงใสสำหรับใช้ใส่แกง พลันหัวคิ้วที่ขมวดมุ่นก็ค่อยๆ จาง เมื่อเงยหน้าขึ้นสบตาจอยอีกครั้ง “หนูเจอมันอยู่ในถังขยะห้องนอนของคุณค่ะ เจอหลังจากที่คุณจันทร์ไปแล้ว หนูกะจะบอกคุณหลายครั้ง แต่ยังไม่มีโอกาส” อิชย์ชาไปทั้งตัว โดยเฉพาะมือที่กำลังถือแผ่นตรวจ หัวใจภายใต้อกข้างซ้ายกระทุ้งกระแทกอย่างรุนแรง ใบหน้าร้อนสลับเย็น เขาไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน จากนั้นสีหน้าของเขาเริ่มเข้มขึ้นขณะมองไปที่จอย “หนูถ่ายรูปตอนใหม่ๆ เอาไว้ด้วย กลัวว่าพอนานไปมันจะจางค่ะ” จอยยื่นโทรศัพท์ของตนเองให้อีกฝ่ายดูชัดๆ อีกครั้ง เพียงเท่านั้น ร่างสูงก็ผุดลุกพรวดพราดเต็มความสูงจนจอยตกใจ “ขอบใจมากจอย ขอบใจมาก” พูดจบเขาก็ก้าวออกจากบ้านไปอย่างรวดเร็ว เอกสารที่อ่านค้างไว้ก็ทิ้งมันแบบนั้น เพียงครู่เดียวจึงได้ยินเสียงสตาร์ตรถยนต์และขับออกไปอย่างรวดเร็ว ทำให้นางแม้นเดินออกมามองอย่างตกใจ พอเห็นหลานสาวจึงเอ่ยถาม “คุณอิชย์ไปไหน ท่าทางรีบร้อน” จอยสบตาป้าแล้วตอบ “หนูให้คุณอิชย์ดูแผ่นตรวจน่ะสิ พอรู้ว่าเป็นของคุณจันทร์ก็พรวดพราดออกไปแบบนั้นนั่นแหละ” นางแม้นถอนหายใจพรืด นางเพิ่งรู้หลังจากที่จันทร์กระจ่างออกไปได้ไม่กี่วัน ยังนึกตำหนิหลานสาวที่อมพะนำอยู่นั่น พอคิดจะบอกก็มีเรื่องวุ่นวายเข้ามาอีก “บอกไปน่ะดีแล้ว แต่ขับรถเร็วแบบนั้นป้าชักเป็นห่วง” นางแม้นเปรยพร้อมถอนหายใจยาว “ห่วงคุณจันทร์อีกคน ไม่รู้ป่านนี้เป็นไงบ้าง ถึงไปอยู่กับเพื่อน อาจไม่ได้ลำบากนักแต่ก็คงไม่สบายเหมือนอยู่บ้านเรา” “นั่นสิป้า น่าเป็นห่วง แถมกำลังมีน้องด้วย ป้าไม่เห็นหน้าคุณอิชย์ตอนรู้ใหม่ๆ” “เป็นไง” “ตอนแรกหน้าเหมือนคนถูกผีหลอก ต่อมาก็ช็อก แล้วก็เหมือนว่าจะโกรธ จากนั้นก็ออกไปเลย” “เฮ้อ!” นางแม้นส่ายหัว ก่อนที่สองป้าหลานจะพากันเดินเข้าไปยังในครัว แต่ก็ยังไม่หยุดพูดถึงสองสามีภรรยารวมไปถึงบิดามารดาและพี่สาวของอิชย์ ด้านอิชย์ขับรถตรงไปยังบ้านของพ่อและแม่ นางมนพรกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้โยกที่ระเบียง มีอัจฉราและบิดานั่งอยู่ด้วย เมื่อเขาขับรถไปจอดจนฝุ่นตลบ ทำให้ทุกคนต่างมองไปที่จุดเดียวกัน “นั่นตาอิชย์นี่นา ทำไมดูรีบร้อนจัง” นางมนพรเอ่ยขึ้น ขณะมองร่างสูงของลูกชายที่กำลังเดินแกมวิ่งตรงมาหา “มีอะไรหรือเปล่า” บิดาเอ่ยถามคนที่นั่งลงข้างๆ ภรรยา “จอยเอานี่มาให้ผมดู” เขายื่นแผ่นตรวจในถุงใสให้ทุกคนดู ต่างมองด้วยสายตางุนงง เป็นอัจฉราที่มีอาการม่านตาขยายกว้างเป็นคนแรก “นี่แกอย่าบอกนะว่าไอ้นี่เป็นของจันทร์” อิชย์สบตาพี่สาวพร้อมกับพยักหน้าแล้วเล่าเรื่องนี้ให้ทุกคนฟัง ต่างอุทานออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน โดยเฉพาะนางมนพรที่ถึงกับยิ้มออกมาด้วยความดีใจ แต่แล้วรอยยิ้มเมื่อครู่ก็จางหายขณะสบตาลูกชายอีกครั้ง “ไปรับน้อง ไม่ว่ายังไงต้องเอาตัวกลับมาให้ได้ ไปเดี๋ยวนี้เลย ปล่อยให้อยู่แบบนั้นไม่ได้ หลานแม่ทั้งคน เมียแกลูกแกทั้งคน เอากลับมา” อิชย์พยักหน้าอย่างหนักแน่น ตัวเขาเองตั้งใจทำแบบนั้นอยู่แล้ว ชายหนุ่มพูดคุยกับมารดาต่ออีกไม่กี่คำ จากนั้นก็ขับรถกลับบ้านแล้วออกเดินทางด้วยความคิดที่จดจ่ออยู่กับจันทร์กระจ่าง ดวงตาสีเข้มมองตรงไปข้างหน้า พลางหลุบตามองแผ่นตรวจที่วางอยู่บนคอนโซล กำลังคิดถึงชีวิตน้อยๆ และคนที่กำลังจะได้เป็นแม่ ถ้าได้พบเจอกันคราวนี้ เขาจะเอาหล่อนกลับคืนมาและจะไม่ยอมให้ทั้งสองต้องห่างจากสายตาอย่างแน่นอน การใช้ชีวิตเพียงลำพังเป็นวันที่สามของจันทร์กระจ่าง ทำให้มีเวลาคิดอะไรมากมายจริงๆ ทว่าหญิงสาวไม่อาจทำแบบนั้นได้ เพราะทุกนาทีช่างมีค่า หลังจากจัดการทุกอย่างภายในบ้านเสร็จเรียบร้อย หญิงสาวจึงเริ่มกลับมาทำงานแปลหนังสืออย่างเต็มตัว โต๊ะทำงานของหล่อนตั้งอยู่ริมหน้าต่าง ห้องนี้เคยถูกปล่อยว่างหญิงสาวจึงใช้เป็นห้องทำงาน มีหน้าต่างสองด้าน ด้านที่หล่อนนั่งอยู่สามารถมองออกไปยังหน้าบ้านได้ถนัดตา หญิงสาวเปิดหน้าต่างทั้งสองด้าน ลมพัดเข้ามาเป็นระยะ ใกล้กันมีพัดลมตั้งโต๊ะตัวสูงเปิดเบาๆ แค่นี้หญิงสาวก็จมดิ่งลงไปในงานที่กำลังทำจนแทบลืมเวลา หลายครั้งหล่อนคิดถึงคนที่จากมา แต่เมื่อตั้งสติได้จึงปัดเงาของเขาออกจากความคิด แล้วนึกถึงแต่ลูกเท่านั้น สิ่งนี้ทำให้หล่อนยิ้มได้ และมีพลังใจที่จะก้าวต่อไปแม้ไม่มีใครเคียงข้าง เวลาเดียวกัน ทุกคนที่บ้านสวนของปัทมากำลังเผชิญหน้าอยู่กับอิชย์ ใบหน้าของเขาค่อนข้างเคร่งขรึม และทุกคนก็ไม่มีใครยอมปริปากบอกอะไร ทำให้ชายหนุ่มยิ่งรู้สึกโกรธ “ถ้าพวกคุณไม่ยอมบอก ผมคงต้องแจ้งตำรวจ” ปัทมาก้าวออกมาเผชิญคนที่ยืนจังก้าหน้าเข้ม “ข้อหาอะไรไม่ทราบ” “ลักพาตัว กักขังหน่วงเหนี่ยว ปกปิดข้อมูล ไม่ให้ความร่วมมือกับผมซึ่งเป็นสามีของจันทร์” ปัทมาเลิกคิ้ว ก่อนหัวเราะขันจนคนตัวโตเม้มปากแน่นด้วยความโกรธ ขณะที่มารดาก้าวมาหยุดข้างๆ ลูกสาวแล้วจับแขนเอาไว้ พลางสบตาบอกว่าอย่าไปยั่วอารมณ์ของอิชย์ “ทำไมฉันต้องทำแบบนั้น แล้วไหนทะเบียนสมรสที่บ่งชี้ว่าคุณกับเพื่อนของฉันเป็นสามีภรรยากัน” คราวนี้คนที่ทำเหมือนได้เปรียบนิ่งอึ้ง ริมฝีปากได้รูปขบเม้มเข้าหากัน ดวงตาวาววาบขึ้น ต่างจากปัทมาที่รอยยิ้มกว้างขึ้น หล่อนเกือบสงสารเขาแล้วเชียว แต่ในเมื่อยังปากเก่งกล้าขู่ตนและครอบครัวแบบนี้ก็ให้หาเองให้ตาแตกไปเลยแล้วกัน “เด็กในท้องเป็นลูกของผม” ปัทมาหัวเราะพรืด ทำให้ชายหนุ่มมีสีหน้าเข้มขึ้นรู้สึกราวกับกำลังถูกเยาะหยัน “อ๋อแน่นอน ถ้าเพื่อนของฉันท้องจริงอย่างคุณว่ามา จันทร์ก็ต้องท้องกับคุณอยู่แล้ว เพราะเท่าที่รู้คุณคือผู้ชายเพียงคนเดียวที่ทำให้เพื่อนของฉันตามไปอยู่ด้วยทั้งที่มองไม่เห็นอนาคต และจันทร์ไม่ใช่ผู้หญิงสำส่อนที่เอาแต่พร่ำเพ้อถึงแต่คนรักเก่า จนไม่เหลือพื้นที่ในสมองให้คิดสักนิดว่าคนที่อยู่ข้างๆ จะรู้สึกยังไง” อิชย์เงียบ ดวงตาสีเข้มหลุบมองพื้น เขาไม่มีข้อแก้ตัวในเรื่องนี้ และปัทมาทำให้เขารู้สึกว่าตนเองเลวแค่ไหน “ฉันจะบอกอะไรกับคุณสักอย่างนะคุณอิชย์” อิชย์สบตาคนพูด ปัทมาเองก็จ้องตาเขาอย่างนิ่งขรึมเช่นกัน “ในเมื่อคุณไม่เคยต้องการเพื่อนของฉันจริงๆ ก็ควรปล่อยเพื่อนฉันไปตามทาง คุณไม่รู้หรอกว่าระหว่างที่จันทร์อยู่กับคุณ เพื่อนของฉันคนนี้ได้แต่หลอกตัวเองไปวันๆ ว่าเดี๋ยวคุณก็รักเธอ แต่แย่หน่อย เพราะชีวิตจริงไม่ใช่นิยาย คนไม่รัก ทำไงเขาก็ไม่รัก ต่อให้เพื่อนฉันโคตรดีแค่ไหนคุณแม่งก็ยังหน้ามืดตาบอดมองว่าคนอื่นดีกว่าเพื่อนฉันอยู่ร่ำไป ตอนนี้เพื่อนฉันเปิดทางให้แล้วจะมาตามทำไมให้เสียเวลา คุณกลับไปคืนดีกับแฟนเก่าคุณเถอะ แล้วมีลูกกันสักโขยง ไม่ต้องมาเสียเวลาตามหาผู้หญิงที่คุณไม่รักอีก นี่ฉันหวังดีกับคุณนะ ปล่อยเพื่อนฉันไปเถอะคุณอิชย์ เพราะจันทร์เองก็ไม่อยากกลับไปรู้สึกเดิมๆ อีกแล้ว อยู่กับคนที่ไม่รักกันมันเจ็บนะรู้ไหม” ทุกคนต่างเงียบงันไปกับสิ่งที่ปัทมากล่าว หญิงสาวถอนหายใจยาวขณะมองอีกฝ่ายที่เอาแต่ยืนนิ่ง เหมือนกับคนที่กำลังจนคำพูด ไม่มีข้อโต้แย้ง ทว่าหญิงสาวกลับเห็นแวววูบไหวจากนัยน์ตาของคนตรงหน้า ปัทมาหรี่ตาแคบ พลางขบเม้มริมฝีปาก แน่นอนว่าหล่อนอยากให้เพื่อนรักสมหวัง แต่ไม่อยากให้ทุกอย่างลงเอยง่ายเกินไปสำหรับคนตรงหน้า เขาสมควรได้รับบทลงโทษ สมควรต้องพบเจอกับความยากลำบากให้มากพอที่จะสำนึกได้ว่าเขาได้ทำอะไรเอาไว้กับเพื่อนของหล่อนบ้าง “คุณกลับไปเถอะคุณอิชย์” ชายหนุ่มมองคนพูดนิ่ง ขณะที่ปัทมาเองก็จ้องตาเขากลับไปด้วยความหนักแน่นในคำตอบเช่นกัน “ต่อให้คุณเจอกับเพื่อนของฉันตอนนี้ ยัยจันทร์ก็ไม่กลับไปกับคุณอยู่ดี” “ผมไม่คิดว่าจะเป็นแบบนั้น ถ้าพวกคุณให้ผมได้มีโอกาสเจอเธอ” “แต่เธอไม่อยากเจอคุณ” ปัทมาโพล่งออกมาทันควัน “นี่คือความจริง ระหว่างนี้ฉันว่าคุณกลับไปพิจารณาความรู้สึกที่มีต่อเพื่อนฉันเสียใหม่จะดีกว่า เพราะถ้าคุณยังรักคนอื่น ต่อให้ได้จันทร์คืนไปก็ไม่มีประโยชน์ ทุกอย่างจะกลับไปเป็นเหมือนเดิม นั่นคือ ไม่มีใครมีความสุข แล้วคนที่ทุกข์ที่สุดก็เป็นเพื่อนฉันอยู่ดี” อิชย์กัดฟันกรอดก่อนผ่อนลมหายใจยาว เขากวาดตามองทุกคน สองสามีภรรยาเองก็ยืนมองเขานิ่ง แม้ไม่มีคำพูดใดออกมาแต่คนทั้งสองแสดงออกทางสายตาว่าพวกเขาเห็นด้วยกับคำพูดของลูกสาว แบบนี้ไม่สำเร็จแน่ เขาไม่มีวันได้พบจันทร์กระจ่าง หรือได้คำตอบจากคนเหล่านี้ โดยเฉพาะกับปัทมา อิชย์ได้แต่ครุ่นคิดหนักหน่วง ก่อนจะสบตาเพื่อนรักของจันทร์กระจ่างอีกครั้ง “ที่พวกคุณทำ รู้ตัวไหมว่ากำลังกีดกันพ่อไม่ให้เจอลูก และผมไม่เคยทอดทิ้งจันทร์ ที่มาก็เพื่อรับกลับและปรับความเข้าใจกัน แต่เอาเถอะ ต่อให้พวกคุณไม่ยอมบอก ผมก็ยังมั่นใจว่าสักวันผมจะได้เจอเธอ” ชายหนุ่มหมุนตัวหันหลังทันทีที่พูดจบ ทั้งสามคนพ่อแม่ลูกต่างผ่อนลมหายใจยาว แต่ก่อนที่เขาจะก้าวขึ้นรถ ปัทมาก็ร้องบอกออกไปว่า “เพื่อนฉันชื่อจันทร์กระจ่าง” อิชย์ชะงักงันอยู่ข้างๆ รถยนต์ “เธอจะส่องแสงสว่างเมื่อได้อยู่กับคนที่เธอรักและรักเธอ แต่คุณทำให้จันทร์ดวงนี้ค่อยๆ หมดแสงลงไปทีละนิด เพราะงั้น ปล่อยดวงจันทร์ที่คุณไม่ต้องการไปส่องแสงสว่างในที่ที่มีคนต้องการเธอจะดีกว่า แล้วฉันเชื่อว่าคนอย่างจันทร์มีคุณค่ามากเพียงพอสำหรับคนดีๆ เห็นคุณค่าและรักในตัวเธอจริงๆ ไม่ใช่กับคนที่เห็นเธอเป็นตัวแทนคนอื่น” อิชย์นิ่งอึ้งไปเป็นครู่ จากนั้นเสียงประตูรถจึงปิดลงหนักๆ ก่อนเคลื่อนออกไปอย่างช้าๆ ทว่าสายตาของชายหนุ่มยังคงมองที่กระจกส่องหลัง ปัทมาไม่รู้อะไร และจันทร์กระจ่างก็คงจะเข้าใจผิดไป เขาไม่เคยเห็นหล่อนเป็นตัวแทนของใคร คงจะมีบางครั้งที่เขาอาจลืมให้ความสำคัญกับหล่อนไปบ้าง แต่เขารู้แล้วว่าเมื่อไม่มีหล่อน ชีวิตของเขามืดมนแค่ไหน ปัทมาไม่มีวันรู้ จันทร์กระจ่างก็เช่นกัน แต่เขาจะไม่ยอมแพ้ ไม่ว่ายังไงเขาต้องตามหาตัวจันทร์กระจ่างให้พบ และไม่ยอมให้ทุกอย่างสายเกินไป
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD