อิชย์ชำเลืองมองจันทร์กระจ่างที่เดินตรงไปยังห้องน้ำ เขารู้สึกได้ว่าหญิงสาวเงียบขรึมลงไปตั้งแต่มื้อค่ำ พูดน้อยลงและยิ้มไม่เต็มหน้านัก ราวกับมีเรื่องให้ต้องคิดมาก...
ผ่านไปสี่สิบนาที หญิงสาวจึงก้าวขึ้นเตียงและสอดร่างเล็กบางของหล่อนเข้ามาใต้ผ้าห่มผืนเดียวกันกับเขา เมื่อหญิงสาวเอนกายลงนอนเขาก็วางหนังสือลงบนโต๊ะข้างเตียง เมื่อหันกลับมาก็เห็นว่าหล่อนนอนหันหลังให้เขาเสียแล้ว ชายหนุ่มมุ่นคิ้วเข้าหากัน เริ่มรู้สึกว่าหล่อนไม่พอใจบางอย่างซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับตัวเขา เป็นเพราะเรื่องของเหมือนแพรใช่หรือไม่ เขานิ่วหน้าอีกหนขณะครุ่นคิดไม่ตก เพราะช่วงเย็นหล่อนยังดี มาตอนนี้กลับมึนตึง...
“เป็นอะไรหรือเปล่า” ชายหนุ่มขยับชิดจนแผงอกกว้างชนกับแผ่นหลังบอบบางนุ่มนิ่ม ทำให้คนที่พยายามข่มตาหลับลืมตาขึ้น มือที่วางประสานกันตรงช่วงอกอวบขยับกระชับผ้าห่ม
“มึนหัวนิดหน่อยค่ะ” ตอบกลับไปเบาๆ พลางขบเม้มริมฝีปากเอาไว้ ความน้อยใจตีตื้นเมื่อคิดถึงช่วงเย็น แต่ฝ่ามือที่วางลงมาบนหน้าผากนวลทำให้หัวใจที่กำลังอ่อนล้าหวามไหว จากที่ห่างเหิน เย็นชา จู่ๆ เขาก็ทำท่าเหมือนจะใส่ใจ...
“กินยาหรือยัง”
หญิงสาวขยับร่างนอนหงาย แล้วสบตาคนตัวโตที่นอนตะแคงมองหล่อนด้วยสายตาที่มองดู ‘คล้าย’ จะเป็นห่วง
“กินแล้วค่ะ” ตอบพลางยิ้มนิดๆ ชายหนุ่มจึงรั้งผ้าห่มขึ้นคลุมร่างบางของภรรยาพลางบอก
“งั้นก็นอนเถอะ ตื่นมาจะได้หายปวดหัว”
เจ้าของดวงตากลมโตสบนัยน์ตาสีเข้มของคนพูด พร้อมรอยยิ้มที่ดูจะเนือยลงอย่างมาก แล้วหลับตาลงตามคำบอกกล่าวของเขา ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจยาว ไฟที่สว่างจ้าพลันดับลง เขาพลิกกายนอนหงาย ลืมตาโพลงท่ามกลางความมืดสลัวเช่นนั้นนานนับชั่วโมง
เช้าต่อมา อิชย์ตื่นขึ้นในเวลาปกติ ข้างกายของเขาว่างเปล่าเช่นทุกวัน จันทร์กระจ่างตื่นก่อนเสมอ หล่อนจะตื่นตั้งแต่เช้ามืด เพื่อลุกขึ้นไปดูแลเรื่องอาหารและรอใส่บาตร ส่วนเขาตื่นหกโมงเช้าเป็นประจำเช่นกัน
เสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะเบาๆ ทำให้เจ้าของร่างสูงใหญ่ในชุดทำงานสะอาดสะอ้านเรียบร้อยตรงไปยังที่มาของเสียง แม่ครัวหันมาเห็นเขาก็ฉีกยิ้มกว้างทันที
“อ้าวคุณอิชย์ จะออกไปแล้วเหรอคะ”
ร่างสูงก้าวไปหยุดตรงหน้าแม่บ้านและภรรยา
“ครับ วันนี้ต้องเข้าคลินิกด้วย” เขาตอบแม่บ้าน แต่สายตามองภรรยาที่หันไปจัดเตรียมอาหาร
“กินข้าวก่อนนะคะ” จันทร์กระจ่างหันกลับมาบอกสามี พร้อมกับเตรียมตั้งโต๊ะ ชายหนุ่มจึงช่วยหญิงสาวยกกับข้าวตรงไปยังโต๊ะอาหาร ไม่นานนักเขาและหล่อนก็นั่งร่วมโต๊ะ คนตัวบางยังคงดูแลปรนนิบัติเขาอย่างดีเช่นเดิม เพียงแต่วันนี้หล่อนยังคงถนอมคำพูดเช่นวันวาน จนเขาเริ่มรู้สึกอึดอัด เพราะปกติคนตรงหน้าจะเอ่ยถามเรื่องงานและชวนคุยเสมอ ต่างจากเขาที่ถามคำก็ตอบกลับไปคำหนึ่ง จึงเริ่มคิดว่าหล่อนคงรู้สึกเหมือนกับที่เขารับรู้ในเวลานี้ อึดอัดและทำตัวไม่ถูกนัก เมื่ออีกคนใส่ใจแต่อีกคนกลับเฉยชา...
“หายปวดหัวแล้วหรือยัง” เขาเอ่ยถามเมื่ออยู่กันตามลำพัง
เจ้าของดวงหน้าที่กำลังมองเขานั้นมีรอยยิ้มเจือจางส่งมาให้
“หายแล้วค่ะ” เจ้าของเสียงหวานตอบเพียงแค่นั้นแล้วเงียบลงไปอีก แต่มือเรียวๆ ก็ยังตักกับข้าวใส่จานให้เขาเป็นระยะ ราวกับว่ามันคือความเคยชินที่หล่อนต้องทำ เพียงแค่คิดว่าหล่อนทำทุกอย่างด้วยความฝืนใจ อกของเขาก็วูบไหวลงพร้อมความรู้สึกไม่พอใจขึ้นมา ริมฝีปากได้รูปจึงเม้มเข้าหากัน พร้อมกับอาการรวบช้อน ทำให้หญิงสาวเงยหน้ามองเขาอย่างนึกแปลกใจ
“ฉันอิ่มแล้ว”
อาการมึนตึงที่เกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วน ทำให้คนที่พยายามปรับอารมณ์ให้คงที่รู้สึกหดหู่อีกครั้ง แต่ก็ยังฝืนยิ้มให้กับคนที่ยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม
“วันนี้ฉันอาจกลับมืดสักหน่อยนะ เพราะต้องเลยเข้าไปที่ฟาร์มอีก” พูดจบเขาก็ลุกจากเก้าอี้และเดินออกไปทันทีโดยไม่หันกลับมามองอีก ภาพนั้นทำให้คนที่พยายามจัดการกับอารมณ์น้อยใจของตนเองต้องยอมแพ้ น้ำตาที่เก็บกลั้นก็หลั่งไหลพังทลายออกมา
แม่บ้านเดินออกมาเพราะได้ยินเสียงรถยนต์ของอิชย์ขับออกไป แต่กลับได้พบว่านายสาวคนสวยของตนกำลังร้องไห้
“คุณจันทร์”
จันทร์กระจ่างรีบเช็ดน้ำตาออก แล้วหันไปยิ้มจืดชืดให้กับแม่ครัว
“เก็บได้เลยนะคะ” หญิงสาวผุดลุกจากเก้าอี้ และกุลีกุจอช่วยแม่ครัวเก็บ มือเรียวสั่นระริกยามหยิบจับจานชาม จนเป็นเหตุให้แม่ครัวต้องวางมือลงบนมือเรียว พลางสบตาที่แดงก่ำของอีกฝ่ายพร้อมกับยิ้มปลอบใจ
“คุณจันทร์พักผ่อนเถอะค่ะ ตรงนี้ป้ากับจอยจะช่วยกันเก็บเอง”
หญิงสาวสบตาแม่ครัวด้วยดวงตาที่คลอหยาดน้ำ ริมฝีปากที่สั่นระริกไม่แพ้มือขบเม้ม ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นสะท้าน
“ขอบคุณค่ะ”
เมื่อร่างเล็กหันหลังเดินกลับขึ้นห้อง นางแม้นก็พ่นลมออกมาทางปาก พอดีกับจอยที่เดินออกมาจากในครัวและมองตามสายตาของผู้เป็นป้า
“มีอะไรกันเหรอป้า ทำไมกับข้าวเหลือเยอะแยะ”
แทนคำตอบ นางแม้นถอนหายใจอีกครา
“ไม่มีอะไร เก็บโต๊ะเถอะ”
จอยขมวดคิ้วขณะมองอาหารที่แทบไม่พร่องเลยสักนิด มิหนำซ้ำข้าวในจานของทั้งสองยังเหลืออยู่เกินครึ่ง มันเกิดอะไรขึ้นกับเจ้านายของตนกันนะ
คุณอิชย์ ทำให้คุณจันทร์ร้องไห้อีกแล้วใช่ไหม
ไม่เพียงจันทร์กระจ่างที่จมอยู่กับความหม่นหมอง อิชย์เองก็รู้สึกหงุดหงิดทั้งวัน เขาขับรถออกจากคลินิกในช่วงบ่ายจัดแล้วตรงไปยังฟาร์มโคนม ใช้เวลาขลุกอยู่ที่นั่นจนเย็นย่ำ ขณะที่กำลังนั่งมองคนงานปิดคอก เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
“สวัสดีครับ ใช่ครับ ผมอิชย์พูดครับ”
เมื่อตอบรับปลายสาย สีหน้าของอิชย์ก็เปลี่ยนไป จากที่เรียบสงบก็กลายเป็นเคร่งขรึมร้อนรน จากนั้นเขาก็ผลุนผลันออกจากฟาร์มท่ามกลางสายตางุนงงของคนงานและเจ้าหน้าที่ที่ดูแลวัว
ผ่านไปจนมืดค่ำ จันทร์กระจ่างเดินกลับไปกลับมาด้วยอาการงุ่นง่านเพราะความเป็นห่วงสามี มือเรียวที่ถือโทรศัพท์พยายามกดโทร.หาเขาหลายครั้ง แต่เมื่อปลายสายไม่ตอบรับกลับมา ก็ยิ่งทำให้คนรอเกิดความกระวนกระวายใจ
“เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า”
แม่บ้านเดินเข้ามาหาจันทร์กระจ่างเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังไม่เข้านอน
“รอคุณอิชย์อยู่เหรอคะคุณ”
“ค่ะป้า ดึกป่านนี้แล้วคุณอิชย์ไม่กลับมาเสียที”
นางแม้นมองผ่านความมืดออกไปนอกบ้านแล้วหันกลับมายิ้มให้หญิงสาว
“คุณจันทร์เข้านอนก่อนเถอะนะคะ นี่ก็เกือบห้าทุ่มแล้ว อีกสักพักคุณอิชย์คงกลับมา”
หญิงสาวส่ายหน้า หล่อนเป็นห่วงเขา ต่อให้กลับขึ้นไปนอนก็คงนอนไม่หลับ
“ขอจันทร์รออีกสักพักก็แล้วกันนะคะ ป้าแม้นกลับไปนอนเถอะค่ะ”
“แน่ใจนะคะ” นางแม้นเอ่ยถามอย่างนึกเป็นห่วง
“แน่ใจค่ะ ป้าไปนอนเถอะ”
นางแม้นยิ้มให้นายจ้างแล้วหมุนตัวกลับเข้าห้องพักของตน เมื่อลับร่างอวบหญิงสาวก็ถอนหายใจยาว ระหว่างนั้นจึงนั่งรอสามีอยู่ที่เก้าอี้หวาย พอสัปหงกทีหนึ่งก็รู้สึกตัวทีหนึ่ง เมื่อมองนาฬิกาจึงรู้ว่าเป็นเวลาห้าทุ่มครึ่ง ทว่ายังคงไร้ซึ่งวี่แววของอิชย์ แต่แล้วเสียงข้อความก็ดังขึ้น
ติ๊ง! ติ๊ง...
หญิงสาวใจไหววาบ เมื่อไลน์ของตนเด้งขึ้นมาบนหน้าจอ
ทว่าชื่อที่ปรากฏทำให้ใจคนมองมือเท้าชา ใจวูบดิ่ง...
แม้ไร้คำทักทาย แต่มีภาพที่บอกเล่าเรื่องราวทุกอย่างแทน
ภาพแผ่นหลังกว้างของอิฐที่กำลังรินน้ำ ภาพติดต่อกับเจ้าหน้าที่ห้องตรวจ ภาพท่อนขาเรียวที่ถูกเข้าเฝือก และสุดท้ายภาพของอิชย์ที่ซบหน้าหลับอยู่กับเตียงคนป่วย พร้อมแคปชั่นที่ทำให้คนมองถึงกับปวดแสบปวดร้อนในใจ
คืนนี้คงไม่ได้กลับกันแล้ว นอนที่นี่แหละเนอะ
เหมือนแพร...รู้เบอร์โทรศัพท์หล่อนได้อย่างไร ซ้ำยังส่งข้อความเข้าไลน์หล่อน ข้อความที่พิมพ์ส่งมาทำราวกับบอกเล่าลอยๆ กระนั้น ตั้งใจแบบนี้ให้คิดดีไม่ได้เลย...
จันทร์กระจ่างขบเม้มริมฝีปากจนเจ็บแปลบ เช่นเดียวกับมือที่กำโทรศัพท์เอาไว้แน่นไม่ต่างกัน ดวงตาเห่อร้อนแดงก่ำขึ้น
ความห่วงใยแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธขึ้ง น้อยใจและเจ็บปวด ขณะที่เขาปล่อยให้หล่อนห่วงจนแทบเป็นบ้า เพียรโทร.หาเขาครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างร้อนใจ อดหลับอดนอนรอเขา แต่อิชย์กลับไปอยู่ดูแลอดีตคนรักเก่าอย่างหน้าชื่นตาบานโดยไม่คิดจะส่งข่าวบอกหล่อนสักคำ เขาเห็นหล่อนเป็นอะไร หมาเฝ้าบ้านใช่ไหม ที่พอนึกเอ็นดูก็ลูบหัวเสียทีหนึ่ง พอเบื่อหน่ายรำคาญก็ทิ้งขว้างไม่ไยดี!
เวลาเดียวกัน อิชย์ตื่นขึ้นมาหลังจากเผลอหลับไป พอมองนาฬิกาแล้วนิ่วหน้า เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพบว่าหน้าจอมืดสนิท แบตหมด...เขานึกกังวลอยู่เหมือนกัน ป่านนี้จันทร์กระจ่างคงกำลังเป็นห่วง
ช่วงเย็น เขาได้รับโทรศัพท์จากนางพยาบาล จึงทราบว่าเหมือนแพรประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ เขาตกใจจนรีบออกมา จึงไม่ได้บอกกล่าวกับใคร เมื่อมาถึงพบว่าขาข้างหนึ่งของเหมือนแพรบาดเจ็บจนต้องเข้าเฝือกและนอนรอดูอาการอยู่ที่โรงพยาบาลหนึ่งคืน เขาคิดจะติดต่อมารดาของหล่อน ทว่าหญิงสาวกลับห้ามเอาไว้
“แพรเพิ่งมีปากเสียงกับแม่มา”
“เกิดอะไรขึ้น” เขาเอ่ยถาม ทว่าหญิงสาวกลับเม้มปากพลางเมินหน้าไปทางช่องหน้าต่างห้องพักพิเศษ
“แม่ไม่อยากให้แพรมาพบกับอิชย์อีก”
อิชย์นิ่งอึ้งกับคำตอบที่ได้ยิน เขานิ่งงันไปพักใหญ่จนกระทั่งหญิงสาวหันกลับมา
“แต่แพรไม่ยอมตกลง ก็เลยทำให้มีปากเสียงกันนิดหน่อย แพรเลยคิดว่าจะกลับเลย จนมาถึงสี่แยก...” หญิงสาวเว้นระยะ พลางช้อนตามองอดีตคนรัก “แพรขอโทษ ที่ทำให้อิชย์ต้องมาเดือดร้อนไปด้วย”
ชายหนุ่มสบตาที่มองมาอย่างเว้าวอนแกมขอโทษของหญิงสาว
“อย่าคิดมากเลย คุณไม่ได้เป็นอะไรมากก็ดีแล้ว” เขาตอบกลับเสียงเรียบด้วยสีหน้าเรียบเฉย แม้แต่เหมือนแพรเองก็ยังเดาไม่ออกว่าเขาคิดเช่นไรกับเรื่องที่หล่อนบอกเขาไป “อันที่จริง แม่ของแพรพูดถูก แพรไม่ควรมาเจอผมอีก”
คำตอบของเขาทำเอาเหมือนแพรเม้มปากแน่น น้ำตาคลอออกมาราวกับสั่งได้
“อิชย์พูดแบบนี้หมายความว่าไง” เมื่อเขานิ่งเงียบ ไม่ยอมตอบออกมา หญิงสาวจึงแสยะยิ้ม ทว่าดวงตาแดงก่ำ
“ฮึ คุณคงจะรำคาญแพรเหมือนกันใช่ไหม อย่างว่าแหละ คุณมีเมียแล้วนี่ ใครๆ เขาก็ชื่นชมเมียของคุณว่าน่ารักอ่อนหวาน ช่างเอาอกเอาใจ ไม่เหมือนแพร...”
“แพร” ชายหนุ่มปรามทั้งน้ำเสียงและแววตา เขาไม่อยากให้หญิงสาวดึงจันทร์กระจ่างเข้ามาเกี่ยวข้อง “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับจันทร์ อย่าเอ่ยถึงเขาอีก”
เหมือนแพรตวัดสายตาขวับ แววตาวาวโรจน์ยามสบตาคมกริบ
“ทำไม แตะนิดแตะหน่อยไม่ได้เลยเหรอ วิเศษวิโสมาจากไหน อิชย์ลืมสัญญาที่ให้กับแพรแล้วใช่ไหม ไหนว่าจะรักแพรคนเดียว ไหนว่าจะ...”
“พอทีเถอะแพร!” ร่างสูงลุกขึ้นจากเก้าอี้ข้างเตียงผู้ป่วย “เราพูดเรื่องนี้กันมาไม่รู้กี่รอบแล้วนะ แล้วผมจะไม่พูดอีก ผมจะโทร.หาคุณแม่ของแพร แล้วบอกกับท่านว่าตอนนี้คุณอยู่ที่ไหน ขอยืมโทรศัพท์ด้วย” เขายื่นมือออกไป แต่หญิงสาวกลับไม่ยอมส่งให้ ทั้งยังปล่อยให้น้ำตาไหลออกมา
“ไม่ จะไปไหนก็ไปเถอะ ไม่ต้องมาสนใจแพร ไปสิ กลับไปหาเมียคุณ” เอ่ยปากไล่พร้อมกับปาดน้ำตาที่ไหลพราก ทำให้คนที่กำลังโกรธความเอาแต่ใจของหญิงสาว ใจอ่อนลงอีกครั้งเมื่อเห็นน้ำตา ก่อนจะนั่งลงตามเดิม
“ผมจะอยู่เป็นเพื่อนจนกว่าคุณจะหลับก็แล้วกัน”
เมื่อเขาบอกออกมาแบบนั้น น้ำตาของเหมือนแพรก็ทำท่าว่าจะหยุดไหล ทั้งยังดึงมือเขาไปกุมเอาไว้พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเจือสะอื้น
“สัญญานะคะ”
ชายหนุ่มสบตาคนตรงหน้านิ่งอยู่อึดใจ
“อืม”
จากนั้นอีกพักใหญ่ เขาเผลอหลับไปเพราะความอ่อนเพลีย และตื่นขึ้นอีกครั้งช่วงกลางดึกสงัด พอดูนาฬิกาก็ใจหายวาบ ก่อนจะมองไปยังคนเจ็บที่หลับสนิท สองจิตสองใจว่าจะทิ้งเหมือนแพรเอาไว้ตามลำพังดีหรือไม่ มองอยู่อึดใจจึงบอกกับตัวเองว่าแค่คืนเดียวคงไม่เป็นไร...
ทว่าสิ่งที่เขาคิดช่างตรงกันข้ามกับความรู้สึกของจันทร์กระจ่างราวฟ้ากับเหว สำหรับอิชย์อาจไม่เป็นไร แต่สำหรับจันทร์กระจ่างทุกอย่างจบแล้ว เมื่อเขาเลือกอดีตคนรัก หล่อนก็เลือกที่จะไป พอแล้ว พอกันทีกับคนที่ไม่เคยให้เกียรติ เห็นค่าหรือมีเยื่อใยให้กับคนที่ได้ชื่อว่าเมีย...