ตอนที่ 5 "วายร้ายเป็นไข้ใจ" (ช่วงต้น)

3130 Words
ตงเจี๋ยชู่มั่นใจว่าเขาตกนรก นับจากตกลงมาจากหน้าผานั่น เขาคงจะตายไปแล้วอย่างแน่นอน ในความมืด เขาสัมผัสได้เพียงความเจ็บปวด ทั่วสรรพางค์กายราวกับถูกเข็มน้ำแข็งแหลมคมนับพันนับหมื่นเล่มทิ่มแทงลึกถึงกระดูก ผิวหนังถูกเพลิงกาฬร้อนระอุแผดเผา หลังจากนั้นก็ถูกน้ำแข็งเกาะคลุมห่อหุ้มให้หนาวสะท้าน เป็นเช่นนั้นซ้ำไปซ้ำมาราวกับไม่มีวันจบสิ้น เขารู้สึกสูญสิ้นเรี่ยวแรง ไม่มีแม้แต่พละกำลังจะเปิดเปลือกตาขึ้นเสียด้วยซ้ำ ราวกับเปลือกตาทั้งสองข้างของเขาถูกถ่วงเอาไว้ด้วยลูกตุ้มเหล็ก เขาต้องดิ้นรนเพื่อที่จะหายใจ แต่แล้วกลับรู้สึกอึดอัดไปทั่วทั้งโพรงอกราวกับมีภูเขาหินกดทับ ถูกกำลังมหาศาลบดขยี้เขาเอาไว้ จนร่างกายแหลกเหลวเป็นจุณครั้งแล้วครั้งเล่า กระดูกทั่วร่างถูกป่นเป็นผงแล้วถูกบีบนวด จากนั้นกอบขึ้นมาใหม่อีกครั้ง แต่สุดท้ายก็กลับถูกบดขยี้ลงอีก วนเวียนไปไม่รู้จบ ตงเจี๋ยชู่คิดว่า...เวลาแห่งความทรมานนี้คงจะยาวนานชั่วกัปชั่วกัลป์ หึหึ...มันก็สมควรแล้วนี่กับความชั่วของเขา ทั้งเตะพ่อหมา ด่าแม่วัว ใครขวางข้าฆ่า ใครค้านข้าตาย แล้วคนเช่นเขาจะไม่ตกนรกไปได้อย่างไร ฮึ...แต่เขาจะทำเช่นไรได้เล่า ก็ในเมื่อโลกใบนี้มันทรยศเขาก่อน! เอาคุณธรรมความดีมาเสี้ยมสอนเขา แล้วอย่างไร สุดท้ายโลกที่เสี้ยมสอนให้เขาเพ้อหาคุณธรรม ความเมตตา ความยุติธรรม มันได้เผยธาตุแท้ให้เขาเห็นความโสมมที่หมกเอาไว้เบื้องหลัง มันคือ โลกที่ปลาใหญ่กินปลาเล็ก โลกที่มนุษย์ทำตัวแย่ยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน หน้าไหวหลังหลอก! และในเมื่อเขาไม่ต้องการเป็นปลาเล็ก ก็มีเพียงจะต้องกลายเป็นปลาใหญ่ที่ไล่กัดกินผู้อื่นเท่านั้น ไม่ถูกหรืออย่างไร? ในความทุรนทุรายแสนเจ็บปวด ชายหนุ่มกระตุกรอยยิ้มเย้ยหยันตนเอง เพียงแค่นั้นก็สามารถนำความเจ็บปวดแล่นริ้วขึ้นมาได้อีกระลอก ชายหนุ่มส่งเสียงครางต่อความรวดร้าวที่ราวกับหล่อหลอมเข้ากับร่างกายของเขาไปแล้ว นรก...นี่คือนรกไม่ผิดแน่! ในชั่วขณะที่เขายอมรับความตายอย่างเต็มหัวใจไปแล้วเช่นนี้ ตงเจี๋ยชู่กลับรู้สึกถึงความอบอุ่นอ่อนนุ่มที่สัมผัสไปบนร่างกายของเขาอย่างอ่อนโยน สัมผัสนั้นแผ่วเบาราวกับสัมผัสของขนนก มันค่อย ๆ ปัดผ่านไปบนร่างกายของเขาในยามแรกแล้วกระแสความอบอุ่นบางอย่างค่อย ๆ แทรกซึมเข้าสู่ร่างกายของเขาไปจนทั่วร่าง เข็มน้ำแข็งที่แหลมคมทิ่มแทงกระดูกของเขาให้ปวดร้าวนั้นค่อย ๆ คลายแล้วมลายหายไป ราวกับกระแสความอบอุ่นนั้นได้หลอมเข็มน้ำแข็งหายไปจนหมดสิ้น แม้แต่แรงกดทับที่ทำให้เขาไม่อาจหายใจได้ ก็ค่อย ๆ คลายลง ความรู้สึกที่ราวกับร่างกายถูกบดเป็นผุยผงบัดนี้กลับรู็สึกว่าร่างของเขาถูกกอบขั้นมารวมกันใหม่ จนในที่สุดเขาก็รู้สึกว่าทั่วร่างเบาสบาย แม้ว่าเรี่ยวแรงของเขาจะยังไม่กลับมา แต่เขาก็สามารถปรือตาขึ้นได้ในที่สุด ทว่าถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่อยากจะลืมตาตื่นขึ้น ในความเงียบ มืด และเวิ้งว้าง เสียง ๆ หนึ่งแทรกซึมผ่านเข้ามา มันทั้งนุ่มนวล อ่อนโยน และอ่อนหวาน เสียงที่พูดซ้ำไปซ้ำมานั้นอาจไม่ได้ช่วยบรรเทาความเจ็บปวดของเขา แต่มันสร้างความหวั่นไหวรุนแรงให้กับเขา! “อย่าได้กลัวไปเลย…ข้าไม่ทำร้ายท่าน” กลัว? ข้าหาได้กลัวไม่… “ท่านปลอดภัยแล้ว” ปลอดภัย? ชั่วชีวิตข้าไม่เคยมีคำว่าปลอดภัย… เมื่อความนุ่มนวลที่ลูบไล้เขานั้นผละไป ชายหนุ่มกลับรู้สึกผวาและโหยหาอย่างรวดร้าว ไม่! อย่าไป! ทำไม หัวใจของข้าถึงได้วูบไหวเช่นนี้? ตงเจี๋ยชู่พยายามฝืนลืมตาขึ้น เขาไม่เคยรู้สึกหวั่นไหวถึงเพียงนี้มานานแล้ว ตงเจี๋ยชู่รู้ดีว่ามันคือ ‘ความไม่มั่นคง’ เสียงกระซิบนั่นมันช่างแผ่วเบาราวกับเมฆหมอกที่พร้อมจะหายไปได้ทุกเมื่อ ไม่นะ...อย่าเพิ่งไป! สองมือใหญ่กร้านเอื้อมออกไปหมายไขว่คว้ากระแสความอบอุ่นที่ช่วยบรรเทาความเจ็บปวดของเขาเอาไว้ ความอบอุ่นนี้ช่างอ่อนนุ่มและบอบบางเสียเหลือเกิน แสงสว่างวาบแทรกผ่านเปลือกตาปรากฏภาพสลัวลางเลือน เมื่อชายหนุ่มหรี่ตาจนในที่สุดก็มองเห็นได้ชัดเจน ภาพตรงหน้านั้น… ตราตรึงใจเป็นอย่างยิ่ง! เบื้องหน้าของเขาคือ สตรีผู้หนึ่ง ใบหน้าของนางสมบูรณ์แบบ ถึงแม้ก่อนหน้าที่เขาจะกลายมาเป็นจอมวายร้ายผู้เลื่องชื่อในยุทธภพก็เคยร่ำเรียนเขียนอ่านมาอย่างหนัก กระนั้นเขาก็ไม่รู้ว่าควรจะเปรียบเปรยความงามสมบูรณ์แบบเช่นนี้กับสิ่งใดถึงจะถูกต้อง คิ้วของนางเรียวเข้มราวกับใช้พู่กันวาด ดวงตาของนางเป็นประกายระยิบระยับราวกับรวบรวมดวงดารานับพันนับหมื่นมาเก็บไว้ ริมฝีปากของนางที่มองเห็นผ่านผืนผ้าบางนั่นดูอ่อนนุ่มงดงามราวกับนำกลีบดอกโบตั๋นมาแต่งแต้ม นางอยู่ในชุดสตรีที่ดูแสนธรรมดายิ่ง แม้ผ้าที่ตัดเย็บจะเป็นผ้าเนื้อดีบอกถึงความมีฐานะ ทว่านอกจากปิ่นหยกเล่มหนึ่งบนเรือนผมแล้ว นางก็ไม่สวมใส่เครื่องประดับอื่นใดอีก แต่ความสามัญอย่างยิ่งนี้กลับขับเน้นความงดงามตามธรรมชาติของนางให้โดดเด่น ยิ่งยามที่แสงอาทิตย์สาดส่องลงมาต้องเรือนผมของนางสร้างประกายระยิบระยับบนเรือนผมสีดำ ทำให้นางนั้นดูราวกับมีรัศมีเปล่งประกายออกจากร่าง งดงามทะลุผ้าคลุมหน้าเช่นนี้ แม่นางผู้นี้จะต้องเป็นนางฟ้าไม่ผิดแน่! ตงเจี๋ยชู่ผู้คิดว่าหัวใจของตนนั้นได้หยุดเต้นลงไปแล้ว กลับรับรู้ถึงการมีอยู่ของหัวใจตนเองอีกครั้ง แถมมันเต้นแรงจนเขาเจ็บปวด มือของเขายังคงกำข้อมือของนางเอาไว้แน่นราวกับกลัวว่านางจะหายไป ริมฝีปากของเขาเค้นกำลังเฮือกสุดท้ายเปล่งเสียงอันแผ่วเบาจนแทบไม่มีอยู่ออกมา ก่อนสติที่หลงเหลืออยู่ดุจฟางเส้นสุดท้ายของตนนั้นจะขาดไป “นางฟ้า...” ไอเย็นยะเยือกในยามค่ำคืนยังคงปกคลุมไปทั่วทั้งผืนปฐพี หมอกขาวปกคลุมเหนือพื้นดิน ค่อย ๆ กลั่นเป็นหยาดน้ำค้างใสกระจ่างบริสุทธิ์ ดูงดงามเหนือคำบรรยาย เสียงสกุณาตัวน้อยร้องจิ๊บ ๆ เจื้อยแจ้วดังแว่วมา แม้ฟากฟ้ายังคงมืดครึ้มสุขสงบอย่างน่าเหลือเชื่อ สรรพสิ่งค่อย ๆ หวนคืนจากห้วงนิทรา แสงตะวันจับขอบฟ้า ทินกรเยื้องย่างปรากฏกายขึ้นทางทิศตะวันออกอย่างสง่างาม ย้อมผืนนภาด้วยลำแสงเจิดจ้าของตน หลอมละลายความหนาวเย็นของรัตติกาลด้วยความอบอุ่นอย่างอ่อนโยน ร่างที่ถูกพันไว้ด้วยผ้าพันแผลดุจก้อนบ๊ะจ่างยักษ์ลืมตาตื่นขึ้น เขาไม่อาจขยับเขยื้อนตัวได้ดังใจนึกเพราะบาดแผลฉกรรจ์ทั่วร่าง ทันทีที่สติสัมปชัญญะกระจ่างความเจ็บปวดก็ตรงเข้าจู่โจม กระนั้นคนใจแข็งอย่างตงเจี๋ยชู่ก็ไม่เคยร้องครวญครางออกมาให้ผู้อื่นสมเพช ทว่าเมื่อเขาได้ยินเสียงกุกกักแว่วมา เขานึกถึงเสียงที่ดึงเขากลับมาจากปากประตูนรก ภาพสุดท้ายก่อนที่เขาจะหมดสติไปอีกครั้งก็ลอยเด่นขึ้นมาในห้วงความคิด ตอนนั้นข้าไม่ได้ฝันไปใช่หรือไม่? ภาพนั้นย้อนกลับมาอีกครั้ง มันกระจ่างใสในความทรงจำ ประดุจเครื่องยึดเหนี่ยวเขาเอาไว้บนโลกเฮงซวยนี่ ตงเจี๋ยชู่นึกถึงสัมผัสอันแสนบอบบาง ภาพมือน้อยยื่นมาหาเขา ข้อมือบอบบาง และผิวพรรณอันอ่อนนุ่มของนาง หัวใจก็เต้นถี่รัว เขานอนมองเพดานกระท่อมไม้ไผ่มุงหญ้าสานผ่านผ้าม่านมุ้งเก่าบางก็รู้สึกจิตใจตนไม่อยู่กับเนื้อกับตัว หรือที่นี่จะเป็นที่ที่นางอาศัยอยู่? คิดแล้วเลือดก็สูบฉีดขึ้นมาบนใบหน้าของเขา นึกถึงถ้อยคำสุดท้ายที่ตนพลั้งปากออกมาแล้วก็ให้รู้สึกเขินอายยิ่ง ไม่ว่านางจะได้ยินหรือไม่ มันก็ยังทำให้เขาอดเก้อกระดากไม่ได้อยู่ดี หากเป็นปกติเขาคงนอนกลิ้งด้วยความขวยเขินแทบบ้าไปแล้ว นางฟ้าน้อยจะต้องมองว่าข้าประหลาดแน่ ๆ แต่ว่า...แม่นางนางฟ้า… ตงเจี๋ยชู่ได้ยินเสียงคนเคลื่อนไหว หรือว่าจะเป็นนาง… คิดแล้วเขาก็แสร้งครางประดุจเจ็บปวดเป็นอย่างมากออกมา เสียงครางของตงเจี๋ยชู่ดึงความสนใจของคนซึ่งกำลังจดจ่ออยู่กับหม้อยาต้มที่อยู่ด้านนอกห้อง เสียงกุกกักหยุดไปตามด้วยเสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามา ตงเจี๋ยชู่ใจเต้นรัวเมื่อคิดถึงคนในความทรงจำ เสียงฝีเท้าที่ฟังดูหนักอยู่เล็กน้อยติดจะลากเท้าอยู่หน่อย ๆ แต่การเคลื่อนไหวกระฉับกระเฉง ยิ่งเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา… ใจของชายหนุ่มก็ยิ่งเต้นระรัว… แอ๊ด “ฟื้นแล้วหรือขอรับคุณชาย” ??? เสียงแหบแห้งแก่ชราดังเข้าหูมา ใบหน้าเหี่ยวย่นแทรกตนเข้ามาในคลองจักษุของชายหนุ่ม ใบหน้าของตงเจี๋ยชู่ซีดเผือด ไม่ใช่นาง... ชายหนุ่มคร่ำครวญในใจ ที่แถมมาพร้อมกันกับความผิดหวังก็คือ…ความตื่นตระหนก! หรือว่าข้าฝันไป หรือว่าข้าตาฝาด ต...แต่...แต่...แต่... หัวใจของตงเจี๋ยชู่เย็นวาบหนาวสะท้าน “คุณหนูของข้าช่วยชีวิตท่านเอาไว้ ท่านบาดเจ็บหนักมาก อีกทั้งยังติดพิษ โชคดีที่คุณหนูของเข้านางมีวิชาแพทย์ล้ำเลิศ ท่านจึงเพียงสลบไม่ได้สติไปสามวันเท่านั้น หากไม่เช่นนั้นท่านคงได้ไปพบเหยียนหลัวหวางแล้วล่ะ” คำว่า ‘คุณหนู’ ทำให้ความอบอุ่นกลับมาสู่หัวใจของเขาอีกครั้ง ตงเจี๋ยชู่ลอบถอนหายใจโล่งอก กลับมาหายใจคล่องอีกครั้ง เพ่ย! ตาเฒ่านี่เกือบจะฆ่าข้าแล้วไหมเล่า! ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างโล่งอกครั้งแล้วครั้งเล่า ราวกับพยายามปลอบขวัญตนเอง นึกว่าตัวข้าจะเจ็บจนสมองเพี้ยน เห็นตาเฒ่านี่เป็นหญิงงามไปซะแล้ว โถ...ตกใจหมด! เห็นชายหนุ่มไม่พูดอะไรซ้ำยังทำหน้าซีดเอาแต่มองตนเองสลับกับถอนหายใจ พ่อเฒ่าจึงนึกว่าจอมยุทธหนุ่มผู้นี้คงบาดเจ็บหนักมากจนไม่มีแรงจะพูด จึงรีบกุลีกุจอออกไปนำยาที่เพิ่งต้มเสร็จเรียบร้อยเข้ามา “นี่ ๆ คุณชาย ดื่มยานี่ แล้วท่านจะดีขึ้น” ชายชราตั้งท่าถือช้อนจะป้อนยาให้ ทว่าอีกฝ่ายกลับมองมาที่ตนนิ่งไม่ยอมเปิดปากรับ พ่อเฒ่าจึงคิดว่าบางทีชายหนุ่มได้รับบาดเจ็บหนักมาซ้ำยังถูกพิษเช่นนี้คงหวาดกลัวว่าตนจะปองร้ายเขาเป็นแน่ พ่อเฒ่าจึงรีบฉีกยิ้มตาหยีอย่างเป็นมิตรจนใบหน้าแทบจะย่นมารวมกัน “คุณชายโปรดวางใจ นี่เป็นยารักษาหาใช่ยาพิษไม่ คุณหนูของข้า นางได้สั่งไว้ให้ข้าช่วยดูแลท่านแทนนาง ที่นี่คือกระท่อมเก็บสมุนไพรบนเขา นางเป็นคุณหนู ไม่อาจอยู่ค้างคืนคอยดูแลท่านข้างนอกเช่นนี้ได้ จึงไหว้วานให้ข้าช่วยดูแลท่านแทนนาง คุณหนูของข้านางเป็นหมอเทวดามีฝีมือเก่งฉกาจล้ำเลิศด้านการรักษา ไม่ว่าคนจะป่วยเจียนตาย โรคที่หมอทั่วไปวินิจฉัยว่ารักษาไม่หาย หรือแม้แต่คนผู้นั้นจะบาดเจ็บหนักหนาเพียงใด นางก็สามารถรักษาจนหายได้ ทั้งคุณหนูยังมีเมตตาและรักสันโดษ เป็นนางที่พาท่านมารักษาที่นี่ ขอคุณชายได้โปรดวางใจแล้วดื่มยานี่เถิด” ตงเจี๋ยชู่ฟังคำโฆษณาและเห็นท่าทางของตาเฒ่าก็เข้าใจได้ในทันทีถึงความคิดของชายชรา ดวงตาที่แข็งกร้าวในทีแรกก็คลายลงและคิดที่จะขยับลุกขึ้น ทว่าทั่วร่างกลับไม่อาจขยับได้ดังใจนึก ความเจ็บปวดก็แล่นขึ้นมาเป็นริ้ว ๆ ไปทั่วกาย ไม่อาจขยับลุกได้ไหว ใบหน้านิ่วคิ้วขมวดแน่นจากความเจ็บปวด “ไอ้หยา...คุณชาย ๆ ท่านสลบไสลไม่ได้สตินอนหยอดน้ำข้าวต้มตั้งสามวัน ท่านจะลุกได้เช่นไร ทั้งแขนซ้ายของท่านก็หักถึงสามท่อน แขนขวาของท่านก็หลุด ซ้ำทั่วร่างท่านเต็มไปด้วยบาดแผลจนดูไม่จืดถึงได้ถูกห่อเป็นก้อนบ๊ะจ่างไปทั้งร่างเช่นนี้ ให้ตาเฒ่าอย่างข้าป้อนยาให้ท่านเถิด อย่าดื้อรั้นเลย” ตาเฒ่าเห็นชายหนุ่มพยายามขยับกายหมายจะลุกขึ้นมาทานยาเอง ก็รีบเข้าห้ามปรามและเกลี้ยกล่อมให้ชายหนุ่มยอมให้ตนช่วยป้อนยาให้แต่โดยดี และเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มดูจะไม่ยอมโอนอ่อน ชายชราก็กล่าวขึ้นอีก “หากท่านดื้อดึงขยับจนบาดแผลของท่านปริแตกหรือกระดูกเคลื่อนคด คุณหนูของข้านางคงจะเสียใจมากแน่ คุณชายได้โปรดเชื่อฟังคำของข้าเถิด” ครั้นเอ่ยถึงคุณหนู ท่าทางของชายหนุ่มดูจะว่าง่ายขึ้นมาทันที เขายอมหันหน้ามาอ้าปากรับยาอย่างไม่ดื้อรั้นอีก ชายชราก็ยิ้มอย่างพอใจ หลังจากตงเจี๋ยชู่รับข้าวรับยาแล้ว ชายหนุ่มจึงค่อยมีเรี่ยวแรงขึ้นและเริ่มพูดคุยกับพ่อเฒ่าอย่างใจเย็นขึ้นและได้รู้เรื่องราวสามวันที่ผ่านมา พ่อเฒ่าผู้นี้คือนายพรานชื่อ อี้หลิง และที่นี่คือป่านอกเมืองหอมบุปผา สตรีที่ช่วยเขาไว้เป็นคุณหนูบุตรีคหบดีที่แอบร่ำเรียนวิชาแพทย์ นางพบเขาระหว่างแอบออกมาเก็บสมุนไพรไปฝึกปรุงยา และนางมีชื่อว่า... ชุนเถียนฉี อา...ช่างไพเราะ เหมาะเป็นชื่อที่เหมาะกับนางยิ่งนัก เพื่อให้ได้รู้เรื่องราวเกี่ยวกับนางมากยิ่งขึ้น ตงเจี๋ยชู่จึงพยายามตีซี้พ่อเฒ่าอี้เพื่อที่จะสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจและให้พ่อเฒ่าเล่าเรื่องของเถียนฉีให้เขาฟังอีกเยอะ ๆ ส่วนพ่อเฒ่าอี้เองเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มให้ความสนใจกับเรื่องที่ตนเล่า ซึ่งเป็นเรื่องที่เขาไม่อาจเล่าให้ผู้ใดในเมืองฟังได้ก็ยินดี เพราะที่ผ่านมาทั่วทั้งเมืองมีแต่คนนินทาว่าร้ายนาง หาได้รู้ความจริงดังเช่นที่เขารู้ไม่ ทำให้ตาเฒ่าแทบจะอกแตกตาย เพราะความอึดอัดยามที่ได้ยินชาวบ้านไม่รู้ความพวกนั้นนินทาผู้มีพระคุณของตนเสีย ๆ หาย ๆ ยิ่งเล่า จึงยิ่งมันปาก เมื่อคนหนึ่งอยากเล่าและอีกคนก็อยากฟัง อุปสงค์กับอุปทานตรงกัน ทำให้ทั้งสองเข้ากันได้อย่างดีในเวลาเพียงชั่วจิบชา “ไม่ใช่ว่าข้าไม่เข้าใจเรื่องที่นางอธิบายนะคุณชายตง แต่พูดแล้วข้าก็อดคับข้องใจไม่ได้ว่าทำไมนางถึงต้องทำร้ายชื่อเสียงตนเองถึงเพียงนี้ คุณหนูของข้าทั้งงดงามปานนางฟ้า วิชาแพทย์ก็ล้ำเลิศ หากผู้ใดได้นางเป็นภรรยาถือว่าโชคดียิ่งกว่าได้ทองเป็นหีบ ๆ ชีวิตจะสุขสบายมีลูกหลานเต็มจวนเพียงไร แก่เฒ่าไปก็ยังเดินได้ราวกับเหิน ดูอย่างข้ากับยายเฒ่าสิ เพราะคุณหนูคอยดูแลรักษา จากหญิงชรานอนติดเตียง ตอนนี้เดินปร๋อได้ไม่ต่างจากพวกสาว ๆ เลย ท่านลองคิดดู...” พ่อเฒ่าอี้กล่าวด้วยสีหน้าคับแค้นใจเหลือ ขณะที่ตงเจี๋ยชู่กลับเผยเพียงรอยยิ้มพิมพ์ใจ ดี ๆ ...ดียิ่ง ข้าจะได้ไม่ต้องมีคู่แข่งหัวใจ หึหึหึ หากนางมิได้ปกปิดตัวตนและกลายเป็นสตรีผู้โดดเด่นแล้ว คงไม่วายมีไอ้พวกหนอนพวกแมลงมาไต่ตอมนางเต็มไปหมดเป็นแน่ แล้วโอกาสจะมาถึงคนไกลข้าได้เช่นไร? ไม่ว่าเหตุผลที่นางทำเช่นนี้เป็นเพราะอะไร ล้วนแล้วแต่เป็นผลประโยชน์ต่อเขาทั้งสิ้น “...เมื่อสองปีก่อนตอนที่คุณชายหม่าเอ้อผู้นั้น ประกาศถอนหมั้นนางอย่างเอิกเกริกจนนางเป็นที่ติฉินนินทาไปทั่วทั้งย่านตลาดร้านค้า ข้าล่ะโมโหยิ่ง” ได้ยินมาถึงตรงนี้สีหน้าของตงเจี๋ยชู่เริ่มไม่ดี อะไรนะ?...คู่หมั้น! ตงเจี๋ยชู่หายใจเข้าลึกระงับอารมณ์ที่กำลังทะยานขึ้นมา “อะแฮ่ม...เกิดอะไรท่านลุงอี้ถึงได้โมโหเช่นนั้น?” นายพรานเฒ่าเบ้ปากใบหน้าเหี่ยวย่นเต็มไปด้วยความเอือมระอาแผ่ออกมาทุกรูขุมขน ชายชราพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงและสีหน้าเหยียดหยาม “หึ! คุณชายหม่าเอ้อผู้นั้นมีตาหามีแววไม่ อยู่ท่ามกลางวาสนาแต่หาได้รู้จักวาสนาไม่ คุณชายผู้นั้นโชคดีได้หมั้นหมายคุณหนูของข้าตั้งแต่ยังเยาว์ แต่กลับตัดขาดวาสนากับนางต่อหน้าธารกำนัลมากมาย ทำให้คุณหนูของข้าต้องเสื่อมเสีย กลายเป็นที่ติฉันนินทาของคนไปทั่วเมืองหอมบุปผาจนกระทั่งทุกวันนี้ ยิ่งพูดข้าก็ยิ่งแค้นแทนนาง!” “แล้วคุณหนูของท่าน นางเศร้าเสียใจหรือไม่?” ตงเจี๋ยชู่เอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วต่ำ เขารู้สึกว่าภายในช่องท้องของเขาอึดอัดราวกับว่ามีมือที่มองไม่เห็นมาจับมันบิดขยี้จนเจ็บปวด “หึ คุณหนูของข้าไม่มีทางเสียความรู้สึกให้กับบุรุษสามานย์เช่นนั้นแน่” ตาเฒ่าเชิดหน้าพูดอย่างภาคภูมิ ตงเจี๋ยชู่ฟังแล้วก็แอบลอบถอนหายใจโล่งอก นางฟ้าของเขายังไม่มีเจ้าของหัวใจ เขาช่างโชคดียิ่ง! หึ แต่ถึงนางจะหมั้นหรือจะยังไม่ถอนหมั้นแล้วอย่างไร ข้ามีวิธีตั้งร้อยแปด ทำให้คุณชายหม่าเอ้อผู้นั้น หายสาบสูญ ไปอย่างไม่มีวันโผล่หน้ามากวนใจนางอีก หรือต่อให้นางมีใจให้คนผู้นั้นแล้วจะอย่างไร? กำจัดมันไปก่อน แล้วข้าค่อยสวมรอยไปปลอบนางภายหลังก็ยังได้  จู่ ๆ ตาเฒ่าอี้หลิงก็รู้สึกว่าอากาศในกระท่อมเย็นยะเยือกขึ้นมากะทันหัน ในขณะที่ตงเจี๋ยชู่กระตุกยิ้มร้าย ๆ อยู่ในใจดวงตาวาบแสงคมปลาบอย่างผู้ล่า
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD