ตอนที่ 7 ดีวันดีคืน

3905 Words
​ ผ่านมาสองสัปดาห์ บาดแผลของตงเจี๋ยชู่นั้นหายเร็วราวกับปาฏิหาริย์เสียจนเจ้าตัวเองยังแปลกใจ ตอนที่ชุนเถียนฉีพบเขาครั้งแรกนั้น ร่างกายของชายหนุ่มเหมือนกับผ้าขี้ริ้ว นอกจากการบาดเจ็บที่เห็นภายนอกไม่ว่าจะเป็น แขนขาที่หัก รอยฟันแทงทั้งหลาย รอยฟกช้ำผิวเนื้อฉีกขาดที่ถูกโขดหินบาดจนเหวอะหวะ ตอนนี้หายจนแทบจะไม่เห็นร่องรอยเหลือแม้แต่แผลเป็นด่างๆ เลยสักแผลเดียว ไม่เพียงบาดแผลภายนอกที่รุนแรงเมื่อแรกเริ่มเท่านั้น เขาก็ยังมีอาการบาดเจ็บภายในร้ายแรงจากการถูกพิษและจากการถูกกระแทกอย่างรุนแรงระหว่างที่ถูกกระแสน้ำเชี่ยวกรากพัดพาร่างมาอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นอวัยวะภายในที่บอบช้ำหลายแห่งจนมีเลือดคั่ง ยังมีเส้นลมปราณหลายสายได้รับความเสียหาย กระดูกซี่โครงหักและร้าวหลายซี่ ซ้ำยังพิษร้ายที่แพร่ไปเกือบทั่วร่างเริ่มแทรกซึมกระดูกของเขา คนที่น่าจะกลายเป็นศพไปแล้วมาจนบัดนี้กลับหายดีวันดีคืนเมื่อได้รับการรักษาด้วยยาสมุนไพรสามกระบวนการ กิน พอก อาบ การฝังเข็ม และท้ายที่สุดคือการรักษาด้วยวิชาปราณไหมทองอันแสนพิสดารที่ชุนเถียนฉีคิดค้นขึ้นมา ประกอบกับร่างกายของตงเจี๋ยชู่ที่แต่เดิมนั้นฝึกวิชาพิสดารมาก่อนเมื่อร่างกายได้รับการรักษาจนถึงขั้นที่ร่างกายของเขาสามารถฟื้นฟูได้เอง ชายหนุ่มก็มีแต่แข็งแรงขึ้นอย่างรวดเร็วจนแม้แต่ชุนเถียนฉียังนึกประหลาดใจ ทว่าตอนนี้หลังจากที่นางรักษาเขามาได้สองสัปดาห์ กลับมีสิ่งที่ทำให้ความมั่นใจของชุนเถียนฉีสั่นคลอน นางสงสัยและเป็นกังวลใจมากขึ้น ซึ่งมันไม่เกี่ยวข้องอาการบาดเจ็บภายยนอกและภายในของเขาที่นางตรวจพบและรักษาให้อยู่ในตอนนี้ แต่เป็น สมองของเขา ที่น่าจะได้รับความกระทบกระเทือนอย่างหนักจนน่าเป็นห่วง จากบันทึกการรักษาของนาง นับตั้งแต่ที่นางพาหนุ่มแปลกหน้าผู้นี้มารักษา ยามที่นางเดินเข้ามาในกระท่อมไม้ไผ่จะเห็นเขาพูดคุยกับท่านลุงอี้ดูเป็นปกติดี แต่เมื่อไรที่นางเริ่มนั่งลงข้างเตียงจับชีพจรให้เขา นางรู้สึกได้ว่าชายหนุ่มเริ่มมีอาการไข้ขึ้นและเหม่อลอย ดวงตาที่เหมือนจะมองตรงมาที่นางอย่างจดจ้อง แต่ก็เหมือนไม่ได้จดจ่ออยู่ที่นาง เพราะถามอะไรไปก็ไม่ค่อยตอบ ทำให้ในแต่ละครั้งนางจะต้องถามคำถามเขาถึงสามสี่หนถึงจะได้คำตอบสักหน ทั้งยังต้องคอยเรียกให้ชายหนุ่มรู้ตัวอยู่เป็นระยะๆ มิเช่นนั้นเขาก็เหมือนว่าจะเหม่อลอยออกไปทันทีที่นางก้มลงจดบันทึกอาการของเขา บางครั้งเขาก็มีอาการเหมือนคนละเมอเดินมากกว่ากำลังตื่นอยู่ เพราะบางครั้งเขาก็ตอบคำถามนางอย่างสุ่มๆ ไม่ตรงคำถามอยู่บ่อยครั้ง น้ำเสียงติดจะเลื่อนลอยเหมือนคนที่กำลังตกอยู่ในความฝัน หรือที่หนักกว่านั้นก็คือ ตอบโดยที่นางไม่ได้ถามอะไรเลยด้วยซ้ำก็ยังมี แล้วพอนางถามท่านลุงอี้ว่า ยามที่เขากับท่านลุงอี้อยู่กันเองสองคนนั้น พวกเขาพูดคุยได้เป็นปกติหรือไม่ นางสงสัยว่าท่านลุงอี้สังเกตเห็นอาการดังเช่นที่นางพบบ้างหรือเปล่า นายพรานเฒ่าก็ส่ายหน้าและตอบปฏิเสธทุกครั้งว่า…คุณชายตงผู้นั้นดูปกติดีไม่เหมือนคนปัญญาอ่อนหรือสมองมีปัญหาแต่อย่างใด และพอนางถามหาอาการผิดปกติอื่นๆ ไปอีกอย่างมีการปวดหัวอย่างรุนแรง หรือมีอาการที่จู่ๆ ก็หมดสติไปบ้างหรือไม่ คำตอบที่ได้ก็ยังเป็น…ไม่มี…อยู่ดีนั่นเอง หรือนางจะคิดมากไปเองเช่นนั้นหรือ? ไม่สิ…ไม่ใช่เท่านั้น ชายหนุ่มยังมักมีอาการเหมือนเป็นไข้อยู่บ่อยครั้งระหว่างที่นางให้การตรวจรักษาด้วย แถมชีพจรก็เต้นไม่คงที่ เดี๋ยวเป็นปกติ เดี๋ยวเต้นแรง หรือว่าเขาจะมีโรคประจำตัวที่เกี่ยวกับหัวใจ? ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ไม่ถูก นางเคยอ่านพบในตำราการแพทย์รวมทั้งบันทึกต่างๆ ที่ว่าด้วยเรื่องความผิดปกติของหัวใจแต่กำเนิดมาก่อนบ้างอยู่เหมือนกัน หากว่าเขาบอบบางอ่อนแอถึงเพียงนั้นแล้ว เขาก็ไม่น่าจะสามารถฝึกวรยุทธ์ได้นี่ เพราะผู้ฝึกยุทธนั้น จำเป็นจะต้องมีร่างกายแข็งแรง การฝึกยุทธเป็นการออกกำลังกายอย่างหนักรูปแบบหนึ่ง จึงไม่ดีต่อผู้เป็นโรคหัวใจอย่างมาก ต่อให้เรียนเพลงยุทธหรือรำกระบี่เช่นสตรีก็ยังต้องอาศัยพละกำลัง เพราะต้องฝึกฝนอย่างหนักเช่นเดียวกัน ส่งผลต่อชีพจรโดยตรง เป็นเหตุให้เป็นอันตรายร้ายแรงต่อผู้เป็นโรคหัวใจแต่กำเนิด หรือวิชาปราณไหมทองที่นางคิดค้นขึ้นจะมีข้อผิดพลาด? ก่อให้เกิดผลข้างเคียงเช่นนั้นหรือ? ชุนเถียนฉีขมวดคิ้วมุ่น ครุ่นคิดระหว่างที่นางตรวจชีพจรให้กับคนไข้บนเตียง ตอนนี้ผ้าพันแผลมากมายที่นางใช้ห่อเขาเอาไว้เหมือนขนมบ๊ะจ่างนั้นถูกแกะออกไปแล้ว แผลขีดข่วนฟกช้ำบนใบหน้าก็หายสนิทดีด้วยยาสูตรพิเศษของชุนเถียนฉีทำให้ไม่หลงเหลือรอยแผลเป็นน่าเกลียดด่างดำเอาไว้บนใบหน้าหล่อเหลาเลยแม้แต่รอยเดียว ทั้งตอนนี้เขายังแข็งแรงมากพอที่จะสามารถลุกขึ้นนั่งเองได้แล้ว เหลือก็เพียงแต่แขนและขาที่หักที่ยังถูกดามเข้าเฝือกเอาไว้อยู่เท่านั้นทำให้ยังไม่สามารถเคลื่อนไหวไปไหนมาไหนได้และยังคงต้องใช้เวลาอีกหลายเดือนในการปล่อยให้ร่างกายเยียวยารักษาตนเองต่อไป ยามนี้สิ่งที่หลงเหลือเป็นอย่างสุดท้ายให้นางคาใจอย่างถึงที่สุดก็คือ…เรื่องที่ว่า… ข้าคงไม่ได้รักษาพลาดจนทำให้เขาปัญญาอ่อนไปหรอกนะ? … สองเดือนผ่านไป หลังจากกังวลใจมาเป็นเดือนๆ หลายวันมานี้คุณชายตงดูจะกลับมาพูดคุยได้เป็นปกติแล้ว นางได้บันทึกอาการของเขาเอาไว้ในสมุดอย่างละเอียด ทำให้ได้ข้อสรุปกับตนเองว่าการที่เขามีอาการผิดปกติในช่วงแรก ๆ เช่นนั้น คงจะเป็นเพราะ… ได้รับความกระทบกระเทือนที่หัวมาอย่างหนักซึ่งอาจทำให้สมองเกิดความบอบช้ำ บัดนี้ร่างกายหายดีสมองก็คงรักษาตนเองได้เช่นกันทำให้เขาสามารถพูดจาได้เป็นปกติดังเดิม เมื่อกลับมาเป็นปกติก็ดีแล้ว ทว่าเรื่องของสมองนั้นยังเหมือนเป็นพื้นที่ปริศนาของการแพทย์ในเวลานี้ ทำให้ความรู้ที่ได้จากบันทึกและตำราแพทย์ทั้งหลายที่พวกเขามีไว้ร่ำเรียนกันนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นเพียงการคาดเดากันไปจากการสังเกตระหว่างการรักษาของแพทย์รุ่นก่อน ๆ เพียงเท่านั้น แต่… ตามความเป็นจริงแล้ว หลังจากที่ตงเจี๋ยชู่นั่งมองหน้านางใจสั่นมากว่าหลายเดือน ตอนนี้ตงเจี๋ยชู่เริ่มสร้างภูมิคุ้มกันตัวเองจากความงามของนางได้แล้วและเริ่มที่จะพูดคุยกับนางได้เป็นปกติมากขึ้นโดยไม่เผลอเหม่อลอยไปเสียก่อน แถมยังไม่ใช่เพียงแค่นั้น… แต่เขาถึงขนาดเริ่มวางแผนในใจว่าจะทำเช่นไรที่จะรั้งนางอยู่กับตนให้นานมากขึ้นและมากที่สุด! ส่วนท่านลุงอี้ได้แต่ส่ายหน้ามองสองหนุ่มสาวอย่างอ่อนใจ เฮ้อ…คุณหนูของข้าท่านช่างใสซื่อยิ่งนัก สายธารมีใจจนออกนอกหน้าถึงเพียงนี้ แต่บุปผากลับไม่รู้เรื่องรู้ราวเลยแม้แต่น้อย แต่เดิมทีก่อนที่พ่อเฒ่าจะคุ้นเคยกับชายหนุ่ม เขาก็ไม่ค่อยต้องการให้บุรุษลึกลับที่ดูอันตรายทั้งยังถูกคนตามไล่ฆ่าผู้นี้ ได้ใกล้ชิดกับคุณหนูของเขาสักเท่าไรนัก แต่เมื่อเขาได้พูดคุยกับชายหนุ่มมากเข้าๆ ก็เหมือนว่า ยิ่งคุยก็ยิ่งรู้สึกถูกคอยิ่งสนิทสนม ชายหนุ่มทั้งสุภาพนอบน้อมและไม่เย่อหยิ่งอย่างคุณชายมีสกุลคนอื่น ๆ นายพรานเฒ่ามากประสบการณ์พิจารณาเสื้อผ้าที่หลงเหลือติดกายของเขาที่นำไปให้แม่เฒ่าช่วยปักชุน แม้จะขาดวิ่นแต่ก็ล้วนตัดเย็บอย่างดี เนื้อผ้าชั้นดีทั้งงดงามและทนทานนั้นราคาแพงหูฉี่ ยายเฒ่าภรรยาของตนที่คุ้นเคยดีกับเนื้อผ้าเหล่านี้สมัยยังขายฝีมือตัดเย็บบอกให้เขาได้รู้ว่า…ด้ายทุกเส้นที่ปักเย็บล้วนปั่นจากไหมละเอียดสนนราคาเฉพาะชุดที่ชายหนุ่มสวมใส่นั้น แม้จะเป็นแค่เสื้อตัวในไร้เสื้อคลุมตัวนอก สามารถซื้อจวนเล็กๆ ได้จวนหนึ่ง เป็นเสื้อผ้าที่ตระกูลธรรมดาสามัญทั่วไปไม่อาจหามาสวมใส่ได้ พ่อเฒ่าจังได้รู้ว่าคนผู้นี้จะต้องมีเบื้องหลังสูงส่งร่ำรวยไม่ธรรมดา แต่ถึงกระนั้นชายหนุ่มกลับไม่ถือตนต่อชายชราผู้เป็นเพียงชาวบ้านเก็บของป่าหาเลี้ยงชีพยากจนเช่นเขา พูดคุยอย่างให้ความเคารพและสุภาพ ไม่ถือตน เป็นคนหนุ่มที่น่าเลื่อมใส และที่สำคัญกว่าก็คือ… ตาถึงนักที่มาหลงรักคุณหนูของเขา นายพรานเฒ่ากับภรรยานั้น ต่างก็แสนจะอึดอัดใจมาเนิ่นนานเกี่ยวกับชื่อเสียงฉาวโฉ่ไม่เป็นความจริงเกี่ยวกับตัวชุนเถียนฉี เพราะพ่อเฒ่าแม่เฒ่าทั้งสองรักหญิงสาวผู้มีพระคุณผู้นี้ราวกับลูกในไส้ การที่ไม่อาจแก้ต่างแทนนางให้ได้ แถมยังต้องอดทนเห็นนางถูกถอนหมั้นต่อหน้าผู้คนมากมาย ซ้ำบิดาแท้ๆ และคนในครอบครัวก็หาได้มีผู้ใดออกหน้ามาปกป้องนางนั้น เปรียบประดุจหนามยอกในใจของผู้อาวุโสทั้งสอง พวกเขาเป็นเพียงชาวบ้านสามัญ ไม่รู้เรื่องราวในยุทธภพ ไม่เข้าใจเรื่องราวในราชสำนัก รู้เพียงแค่ว่าจะต้องทำเช่นไรถึงจะมีกินและสามารถใช้ชีวิตผ่านพ้นไปได้ในแต่ละวันโดยไม่อดตายนั้นก็เพียงพอแล้ว ทั้งสองขาดก็เพียงไม่มีลูกหลานอยู่ดูแล เมื่อมีชุนเถียนฉีเข้ามาในชีวิตก็เหมือนชิ้นส่วนที่ขาดหายไปได้รับการเติมเต็ม เฝ้าฝันเฝ้าภาวนาให้หญิงสาวที่พวกตนเห็นเหมือนเป็นลูกเป็นหลานได้มีความสุข และแน่นอน ส่วนหนึ่งของความสุขในความเชื่อของคนทั้งสองนั้นก็คือ การแต่งงานมีครอบครัวที่สมบูรณ์ พวกเขาหวังให้ชุนเถียนฉีได้แต่งงานกับคนดีๆ คนที่จะดูแลนางและอยู่ดูแลกันไปจนแก่เฒ่า ซึ่งหลังจากที่ตาเฒ่าอี้ได้มารู้จักคุณชายตงผู้นี้ก็เชื่อว่า เขาคือชายหนุ่มผู้นั้น คุณชายผู้นี้เมื่อได้รับการรักษาจนหายดีและลุกมาโกนหนวดเคราทำความสะอาดตนเองได้ก็ปรากฏตัวตนอันหล่อเหลาราวกับหยก เขามีวรยุทธ ย่อมมีฝีมือสามารถปกป้องคุณหนูของพวกตนได้ ฐานะครอบครัวดูจากเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายผิวพรรณใบหน้าก็บอกได้ว่าร่ำรวยมาก การศึกษาดูจากการวางตัวและบุคลิกองอาจ ชายหนุ่มย่อมได้รับการอบรมมาอย่างดี…ขอเพียงคุณหนูของเขาแสดงท่าทีพึงใจตอบ พ่อเฒ่าย่อมสนับสนุนอย่างเต็มที่ ทว่า… คุณหนูของเขากลับเอาแต่หมกมุ่นอยู่แต่กับการรักษา ดวงตานางมีแต่อาการเจ็บป่วยและสมุดจดบันทึก ขนาดมีบุรุษหล่อเหลาราวเทพบุตรอยู่เบื้องหน้านางก็หาได้สนใจจะมองไม่ มากกว่านั้นคือ ขนาดชายหนุ่มพยายามหยอดคำหวานเอ่ยคำเกี้ยวพาอยู่หลายต่อหลายครั้งอย่างหน้าหนาแล้ว นางก็ยังทำหน้านิ่งเอาแต่ถามคำถามเดิมซ้ำมองชายหนุ่มด้วยความสงสัย ทำตัวราวกับหมอเฒ่าที่หมดความสนใจในเนื้อหนังมังสาแล้ว คุณชายตง…ท่านช่างน่าสงสารยิ่ง ท่านลุงอี้ซับน้ำตาจากความสงสารคุณชายตงอยู่ในใจเงียบ ๆ หลายเดือนผ่านมา เพราะขาของคุณชายตงใกล้จะหายดีแล้ว และชายหนุ่มก็สามารถกะโผลกกะเผลกไปไหนมาไหนได้เอง ฉะนั้นหลายวันมานี้ท่านลุงอี้จึงไม่ต้องมานอนเฝ้าเขาอีก ได้กลับบ้านไปหาภรรยาคู่ชีวิตเสียที ทำให้ช่วงหลายวันนี้ภายในกระท่อมช่างเงียบเหงาวังเวง ชายหนุ่มรูปงามนั่งหลับตาอยู่บนเตียง ใบหน้าหล่อเหลาราวกับสลักขึ้นมาจากหยก ดวงตายาวเรียวหางตาชี้ขึ้นน้อย ๆ แฝงความเจ้าเล่ห์อยู่สามส่วน คิ้วเรียวดำเข้มราวกับหมึกวาดขมวดน้อย ๆ เพิ่มความเคร่มขรึมขึ้นสองส่วน ริมฝีปากบางเฉียบที่เริ่มมีสีเลือดขึ้นมาแล้วนั้นกระตุกเป็นรอยยิ้มเล็กน้อยก่อนเอื้อนเอ่ย “ออกมา” เพียงถ้อยคำสั้น ๆ ก็ปรากฏร่างของคนในชุดดำกว่าสิบคนออกมาคุกเข่าอยู่เบื้องหน้า คนเหล่านี้คือคนที่ตงเจี๋ยชู่ใช้ช่วงเวลาเพียงหนึ่งปีรวบรวมซ่องสุมเอาไว้เป็นคนสนิท คนเหล่านี้บ้างเคยเป็นคนที่จงรักภักดีต่อพ่อบุญธรรมของเขาแต่กลับถูกตงอี้ชางและพวกใส่ร้ายป้ายสีและขับออกจากสำนักอย่างไร้มนุษยธรรมหลังจากฮุบอำนาจไปได้เพียงไม่กี่วัน บ้างเป็นพวกที่ได้รับความอยุติธรรมอันเป็นผลจากการฉ้อฉลของเจ้าพวกหัวหน้ามือปราบและนายอำเภอคนก่อนที่ถูกตงเจี๋ยชู่กำจัดไป สรุปคือล้วนแล้วเป็นผู้ที่มีศัตรูร่วมกันกับเขา “คุณชายคือผู้มีพระคุณที่ช่วยให้พวกเราได้ล้างแค้น พวกข้าได้คุยกันแล้ว นับแต่นี้ไปจะขอติดตามรับใช้ท่าน หนี้บุญคุณครั้งนี้พวกข้าจะขอชดเชยด้วยชีวิต!” นั่นคือถ้อยคำที่พวกเขาให้สัตย์สาบานต่อชายผู้ย้อมกายตนด้วยเลือดและไฟแห่งการล้างแค้นแล้วถือกำเนิดขึ้นใหม่ เป็นจอมวายร้ายแห่งยุทธภพ ในเวลานี้พวกเขาจึงกลายมาเป็น พรรคเปลวสุริยันใหม่ ที่ตงเจี๋ยชู่สร้างขึ้นมา หลังจากที่เขาถล่มสำนักเปลวสุริยันเก่าที่เต็มไปด้วยพวกพ้องของตงอี้ชางจนราบไปในวันนั้น “เอาเรื่องสำคัญก่อน… รีบว่ามา!” “เรียนนายท่าน พวกเราพบแหล่งกบดานของพวกตงอี้ชางแล้ว บัดนี้พวกมันกบดานอยู่ในวัดร้างทางเหนือของเมืองแปดบุปผา ข้าน้อยสืบรู้มาว่าพวกมันกำลังเคลื่อนไหวอย่างลับ ๆ เพื่อหาทางติดต่อกับพรรคมารโลหิต นายท่านจะให้พวกเราส่งคนไปล้างบางพวกมันเสียให้สิ้นซากเลยดีหรือไม่ขอรับ” พรรคมารโลหิต เป็นพรรคที่ใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของแคว้นเยว่ ถูกจัดเป็นพรรคมารอันดับสองในใต้หล้าจากความใหญ่โตนั้น แม้เทียบอิทธิพลกับพรรคมารอันดับหนึ่งที่มีขนาดเล็กกว่าเล็กน้อยไม่ได้ แต่ความเชี่ยวชาญด้านการใช้พิษนั้นไม่เป็นสองรองผู้ใด มี จ้าวเซิ่นเทียน เป็นประมุขพรรค รายได้หลักคือการค้าพิษและยาถอนพิษ ฐานที่มั่นของพรรคมารโลหิตอยู่ทางทิศตะวันออกบนเกาะร้อยอสรพิษที่ยากต่อการตามหาเพราะตั้งอยู่ในน่านน้ำอันตราย มีอยู่หลายครั้งที่ทางการของแคว้นเยว่ประกาศว่าจะออกปราบพรรคมารโลหิต แต่ก็ไม่เคยมีสักครั้งที่จะหาพวกมันพบ คาดว่าพิษที่ใช้เล่นงานตงเจี๋ยชู่ในครั้งนี้ก็ไม่พ้นจะเป็นผลิตของพรรคมารโลหิตนี่เอง ตงเจี๋ยชู่ยังคงหลับตานิ่ง ทั่วทั้งห้องอุณหภูมิค่อยๆ เยือกเย็นขึ้นจากปราณอำมหิตที่ชายหนุ่มแผ่ออกมา น้ำเสียงเย็นชาดังขึ้น “ฮึ่ม นี่คือเรื่องสำคัญที่สุดของเจ้าแล้วรึ?” เหล่าเงามองหน้ากันเลิ่กลั่ก ก่อนผู้เป็นหัวหน้าจะตัดสินใจกล่าวรายงานขึ้นอีกครั้ง “เอ่อ เรียนนายท่าน บัดนี้พรรคพยับหมอกได้ติดประกาศเพื่อรวบรวมกำลังคน ทั้งในตอนนี้ยังส่งคุณชายรองหลงหยูหยางไปเจรจากับประมุขสำนักทองประกายแสดเพื่อให้เข้าร่วมในการออกกำราบนายท่านขอรับ” หัวหน้ากลุ่มเงารายงานจบก็ก้มหน้ารอฟังคำจากนายท่านของตน ทว่าอุณหภูมิในห้องกลับยิ่งต่ำลงไปอีกจนในตอนนี้เหล่าลูกน้องพากันหนาวตัวสั่นกันไปหมดแล้ว “หึ นี่ก็สำคัญแล้วรึ?” หัวคิ้วของตงเจี๋ยชู่กดเป็นรอยลึกยิ่งขึ้น หัวหน้ากลุ่มเงาอู๋เยว่ผู้อาวุโสที่สุดในตอนนี้ผงะไปเล็กน้อย เริ่มเดาใจนายท่านไม่ถูก น้ำเสียงจึงผสมความลังเลก่อนกล่าวรายงานอีกครั้ง “อะ เอ่อ…ด้านทางการยังไม่มีความเคลื่อนไหวขอรับ เจ้าเมืองคนใหม่แม้ยังไม่ยอมรับพรรคเปลวสุริยันใหม่ของพวกเรา ทั้งยังไม่ยอมลบชื่อสำนักเปลวสุริยันเก่าออก แต่ก็ได้ทำการยกเลิกประกาศจับนายท่านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ว่าได้เปลี่ยนเป็นการติดประกาศตามหาตัวท่านแทนขอรับ” พูดจบบรรยากาศภายในห้องยิ่งเงียบกริบ เหล่าเงาก้มหัวลงต่ำกว่าเก่า ล้วนแล้วแต่เหงื่อตกไปตามๆ กันทั้งๆ ที่ร่างกายสั่นไปหมดแล้ว อู๋เยว่รำพึงรำพันอยู่ในใจ… นี่ข้าเดาใจนายท่านไม่ออกเลยจริงๆ ภายในกระท่อมไม้ไผ่บัดนี้วังเวงเสียยิ่งกว่าป่าช้า เหล่าสรรพสัตว์ภายนอกต่างตระหนกหนีหาย ความเย็นยะเยือกลามไปจนถึงภายนอกแล้ว ตงเจี๋ยชู่เดาะลิ้นอย่างขัดใจ ปราณอันเย็นเยียบยิ่งทวีความหนาวเย็นมากยิ่งขึ้น นี่นายท่านจะตั้งใจจะแช่แข็งพวกข้าใช่หรือไม่ เหล่าเงาพากันตัวสั่นระริกด้วยความสับสนว่าตนทำผิดอันใด “เฮ้ย! สำคัญของพวกเจ้ามันสำคัญเพียงแค่นี้เองอย่างนั้นรึ?!” น้ำเสียงยิ่งกดต่ำลึก อู๋เยว่ตะลึงงัน นี่ยังไม่สำคัญพออีกรึ? ผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มเลิ่กลั่ก เหล่าลูกน้องหันมองหน้ากันซ้ายขวาไม่หยุด กระสับกระส่ายกันไปทั้งกลุ่ม จนกระทั่งมีเสียงเล็กๆ ของบุรุษร่างเล็กอายุน้อยที่สุดดังขึ้น “ระ เรียนนายท่าน ขะ ข่าวของคุณหนูชุน บะ บ่าวได้ความมาแล้วขอรับ” คนที่เหลือทั้งกลุ่มต่างพากันตะลึงงันหันมองต้นเสียงอย่างตกใจ เสี่ยวซือถู! นี่เจ้าช่างกล้ารายงานเรื่องนี้ในเวลาเช่นนี้จริงๆ หรือ? เจ้าช่างใจกล้าเกินไปแล้ว หยอกล้อกับจอมมารเช่นนี้! ทุกคนต่างพากันไว้อาลัยให้กับเสี่ยวซือถูอยู่ในใจ บ้างก็คิดว่าจะเผากระดาษเงินกระดาษทองไปให้ บ้างก็คิดว่าจะทำบุญอุทิศส่งวิญญาณให้ ทว่า… ในเวลานั้นเอง อุณหภูมิทั่วทั้งห้องที่ราวกับจะถูกแช่แข็งก็ค่อยๆ อบอุ่นขึ้นราวกับต้นคิมหันต์ มุมปากของตงเจี๋ยชู่กระดกเป็นรอยยิ้มพอใจ ดวงตามองตรงไปที่เสี่ยวซือถู “ดีมาก รีบว่ามา” น้ำเสียงอารมณ์ดียิ่ง ห๊ะ!!! ทั้งกลุ่มหันมองนายท่านอย่างพร้อมเพรียงแทบไม่เชื่อหูตนเอง มีคนกล่าวว่า ความรัก มักทำให้คนตาบอด จริงอยู่ที่ว่านายท่านนั้นก็เหมือนกับบุรุษทั่ว ๆ ไปที่มีความต้องการในเรื่องทางเพศ ไม่เช่นนั้นคงไม่พลาดท่าถูกมือสังหารปลอมตัวเป็นนางโลมวางยาพิษลอบสังหารจนเกือบตายมาเช่นนี้ แต่ถึงกับมองเรื่องแม่นางชุนเป็นเรื่องสำคัญอันดับหนึ่งนี่ ออกจะไม่เกินไปหน่อยหรือ? ทว่าพอเหล่าเงาได้เห็นสีหน้ายิ้มกริ่มอย่างมีความสุขของนายท่านแล้วอู๋เยว่ก็ได้แต่พยักหน้า นั่นสินะ เรื่องความสุขชั่วชีวิตของนายท่านย่อมที่จะต้องเป็นเรื่องสำคัญที่สุดสิ… คนทั้งกลุ่มเห็นพ้องต้องกันว่า นับแต่นี้ไปคงจะต้องเรียกแม่นางชุนว่า ‘นายหญิง’ เสียแล้ว บ้างก็คิดเพ้อเจ้อไปว่าหลายวันที่พวกเขาตระเวนตามหานายท่าน นายท่านได้คุณหนูชุนผู้มีพระคุณช่วยเหลือ ไม่แน่ว่าหนุ่มหล่อสาวงามท่ามกลางป่าเขาอาจจะมีเรื่องราวลึกซึ้งอะไรเกิดขึ้นก็เป็นได้ ก็นั่นคือนายท่านของพวกเขาทั้งคนเชียวนะ! นายท่านคนที่คนทั้งยุทธภพรู้ว่า “ใครฝืนข้าฆ่า ใครค้านข้าตาย” คนนั้นเชียวนะ คนที่แม้แต่ราชสำนักยังต้องเบือนหน้าหนี ขอเพียงนายท่านต้องการย่อมต้องได้ไม่ว่าคนผู้นั้นจะเป็นใครอยู่แล้ว พวกเขาเออออกันเองเช่นนั้นในใจ หลังจากที่ฟังรายงานทั้งหมดที่เสี่ยวซือถูสืบมาจนจบ ภายในกระท่อมไม้ไผ่ก็เงียบกริบ ความเงียบกลายเป็นความกดดัน ก่อให้ความรู้สึกของผู้ใต้บัญชาทั้งสิบหนักอึ้งขึ้นมา “เสี่ยวซือถู เสี่ยวซือถง พวกเจ้าคอยติดตามดูนางต่อไป…อู๋เยว่ เจ้านำเงาที่เหลือไปดูทีท่าของเจ้าเมืองแปดบุปผาคนใหม่ต่ออีกสักนิดว่ามาดีหรือมาร้าย ทำไมจึงต้องการพบข้า และ… “เรื่องตงอี้ชางปล่อยให้มันหลงระเริงไปก่อน ส่งคนจับตาดูมันเอาไว้ก็พอ รอให้พวกนั้นได้ใจกันถึงขีดสุดกันไปก่อน เมื่อนั้นมันก็จะได้รู้เองว่าจ้าวนรกเช่นข้ากำลังหายใจรดหัวพวกมันอยู่ หึ…ปล่อยให้พวกมันคิดว่าตนกำลังไต่ขึ้นสูง แล้วข้านี่แหละจะเป็นคนถีบมันหล่นจากที่สูงนั่นเอง! หึหึหึหึ” ชายหนุ่มกระตุกมุมปากเป็นรอยยิ้ม เหล่าเงาต่างตัวสั่นสะท้านไปตาม ๆ กัน แววอาฆาตคมปลาบที่วิ่งผ่านเข้ามาในดวงตาคมกริบคู่นั้นของผู้เป็นนายบวกกับรอยยิ้มร้ายกาจไม่ปิดบังปรากฏขึ้นบนใบหน้าหล่อเหล่าทำให้ใบหน้านั่นช่างดูน่าพรั่นพรึง เสียงหัวเราะกระหึ่มในลำคอนั้นผสานกำลังภายในทำให้กระท่อมไม้ไผ่ทั้งหลังเขย่าอย่างน่ากลัวว่าจะพังลงมา ทำให้เหล่าเงาปวดหูไปตามๆ กัน ไม่นานตงเจี๋ยชู่ก็สงบลงและตกอยู่ในความคิดของตนอีกครั้ง เขาโบกมือให้กับเหล่าเงาพร้อมกับออกคำสั่งออกไปเพียงสั้นๆ “ไปได้” เงาทั้งสิบก็หายไปจากห้องในพริบตาเดียว ชายหนุ่มหมกมุ่นอยู่กับความคิดของตนครู่ใหญ่ ก่อนจะค่อยๆ ยกยิ้มให้กับตนเอง ครั้งนี้ มุมปากกดลึกหยักขึ้นเกิดเป็นรอยยิ้มเปี่ยมเสน่ห์ที่ดูอ่อนหวานยิ่งนัก ตงเจี๋ยชู่ถอนหายใจ นางช่างมากไปด้วยปริศนาที่เขาไม่อาจมองข้ามได้ และนางก็อาจไม่ใช่อย่างที่เขาเห็น แต่ถึงแม้ว่านางจะมีปูมหลังเช่นไร... ความจริงที่ว่านางได้ช่วยชีวิตเขาเอาไว้นั้นไม่เปลี่ยนแปลง ดวงตาคมเปี่ยมเสน่ห์ค่อยๆ ปิดลง ร่างกายที่นอนพักรักษาตัวมาได้ระยะหนึ่งจนเริ่มเพรียวขึ้นไม่กำยำเหมือนก่อน เอนตัวลงนอนช้าๆ อย่างระมัดระวัง ข้ารู้ว่าท่านหาได้สนใจข้าไม่ นางฟ้าน้อย… แต่ข้านั้นสนใจท่านยิ่งนัก -------------------- โปรดติดตามตอนต่อไป
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD