ตอนที่ 9.1 คู่อริ (1/2)

4002 Words
เคยได้ยินกันมาก่อนหรือไม่? คนไม่ใช่ทำอะไรก็ผิด ดูอย่างเรื่องที่นางถูกถอนหมั้นนั่นปะไร มันหาใช่เพราะชื่อเสียที่นางพยายามปลุกปั่นจนเหม็นโฉ่ไปทั้งเมืองส่งผลให้นางกลายเป็นหญิงโง่หรอก หาใช่ความสัมพันธ์ระหว่างกันที่เปรียบเสมือนพี่น้อง และไม่ใช่เพราะฐานะลูกคหบดีหาใช่ขุนนางไม่อีกด้วย แต่เป็นเพราะนางไม่ใช่ ‘คน’ ที่จะนำบุรุษผู้นั้นขึ้นสู่ ‘จุดสูง’ ที่เขาหวังไว้ได้ต่างหาก และในเวลานี้ ชุนสี่ น้องสาวคนเล็กของนางก็กำลังได้ลิ้มรสชาติในแบบเดียวกัน หลังจากฟังความทั้งหมดที่ซือซือกระหืดกระหอบมาส่งข่าวให้นางอย่างเร่งรีบ ชุนเถียนฉีก็ได้ความว่า... ทันทีที่คุณหนูรองตระกูลชุนทราบข่าวว่าวันนี้พี่สาวตนขอลาหยุดพักจากการเป็นผู้นำชมเมืองให้กับคุณชายตง นางก็รีบจัดแจงอาบน้ำประแป้งแต่งเนื้อแต่งตัวออกจากบ้านไปเคาะประตูจวนฝั่งตรงข้ามตั้งแต่หัววัน หวังว่าจะเสนอตนเป็นตัวแทน ‘พี่สาวไม่ได้เรื่อง’ หวังพาคุณชายตงเที่ยวชมสำนักอักษร… หมายใจจะได้ใกล้ชิดชายหนุ่มรูปงาม ทว่า... เมื่อบ่าวทั้งหลายเห็นคุณหนูสามตระกูลชุนมาขอพบผู้เป็นนายก็เข้าไปรายงานนายท่าน ทันทีที่บ่าวผู้นั้นกล่าวว่า... ‘ผู้มาขอพบคือคุณหนูตระกูลชุน…’ บ่าวตัวน้อยยังไม่ทันจะพูดจบ คุณชายตงก็หน้าบานรีบจัดเสื้อผ้าผมเผ้าให้ดูเร้าอารมณ์ แล้วเร่งรุดออกมาต้อนรับนางถึงหน้าประตูทันที แต่เมื่อเห็นว่าที่แท้ผู้ที่มาเยือนคือ คุณหนูชุนสี่ ใบหน้าเบิกบานดุจวสันต์ ก็หุบฉับกลายเป็นเหมันต์ไปทันที ทั้งยังถามเพียงห้วนๆ ราวกับไม่ใคร่จะเสวนาด้วย ‘แม่นางชุนสี่ มีธุระอันใดถึงมาเยือนเรือนบุรุษตั้งแต่เช้า…’ คุณชายผู้รูปงามปานหยกสลักกล่าวเสียงตายด้านดวงตาเย็นชาสีหน้าว่างเปล่า ชุนสี่ได้เห็นได้ยินทั้งหมดนั่นก็ชักสีหน้าน้อยอกน้อยใจกล่าวตัดพ้อว่า ‘ไยคุณชายตงจึงได้เย็นชากับข้านักล่ะเจ้าคะ สี่เอ๋อเพียงหวังดีเห็นว่า พี่รองคงไม่มีความสามารถพาคุณชายตงไปเยือนสถานที่ที่น่าสนใจได้นอกจากย่านตลาดร้านค้าสามัญ วันๆ นางเอาแต่เที่ยวเล่นอย่างโง่เขลา ไม่สนใจสรรพวิชา ข้าเกรงว่าคุณชายจะเบื่อหน่ายที่เที่ยวดาดๆ พวกนั้น จึงจะมาเสนอพาท่านไปพบปะเหล่าบัณฑิตตามสถานที่ต่างๆ ที่น่าสนใจจริงๆ ในเมืองนี้เจ้าค่ะ’ ไม่เพียงเท่านั้น นางยังคุยโม้กลับไปอีกว่า ตัวนางนั้นรู้จักผู้คนกว้างขวางมากมายเพียงใด สามารถพาชายหนุ่มเข้านอกออกในจวนเหล่าผู้ดีและสำนักต่าง ๆ อันมีชื่อเสียงของเมืองได้ทุกหนแห่งและเป็นคนที่กว้างขวางมากเพียงไหน พอคุณชายตงได้ยินเช่นนั้นแล้ว สีหน้ามืดครึ้มทันที ‘คุณหนูสี่ เจ้าเป็นเพียง ลูกเมียน้อยในเรือนหลัง มารดาเจ้าไม่เคยได้สั่งได้สอนหรือไรว่าให้รู้จักเจียมเนื้อเจียมตัว เจ้ากล้าดีอย่างไรบริภาษเรียกชื่อลูกเมียหลวงอย่างไม่ให้เกียรติต่อหน้าผู้อื่น ทั้งยังหน้าด้านยกตนโอ้อวดสรรพคุณ และเหนือสิ่งอื่นใด เจ้าช่างไม่รู้จักที่ทางของตน หน้าด้านหน้าทนมายืนเคาะประตูบ้านผู้ชายตั้งแต่หัววัน!’ ฟังจบชุนสี่ก็ตกใจเหลือประมาณ ไม่นานก็น้ำตาร่วงเผาะเนื้อตัวสั่นเทาพวกแก้มแดงระเรื่อ ท่าทางราวกับลูกนกตัวน้อยท่ามกลางสายฝนนั้นช่างดูน่าสงสารเห็นใจ ชุนสี่ตั้งแต่เล็กจนโตถูกบิดาและแม่รองตามอกตามใจจนเสียคนไปถึงลำไส้ ไม่มีทางที่นางจะยอมกลับไปเงียบ ๆ ทั้งที่ถูกว่ากล่าวถึงเพียงนี้ นางมองหน้าคุณชายตงด้วยใบหน้าเปื้อนน้ำตางดงามประดุจดอกหลีอันพร่างพรมด้วยหยาดพิรุณ มองแล้วชวนให้ใคร ๆ ต่างนึกสงสาร นางกล่าวตัดพ้อชายหนุ่มราวกับทั้งคู่เป็นคนรักกันแล้วกระนั้น ‘คุณชายตงไยท่านจึงกล่าวกับสี่เอ๋อเช่นนี้เจ้าคะ สี่เอ๋อเพียงหวังดีต่อท่านเท่านั้น ไยท่านจึงหักหาญน้ำใจข้าด้วยถ้อยคำรุนแรงเยี่ยงนี้ ทั่วทั้งเมืองนี้มีบ้านไหนหลังคาใดไม่รู้บ้างว่าพี่สาวข้าชื่อเสียงฉาวโฉ่เป็นสตรีโง่เขลาเบาปัญญาเพียงใด แต่ข้านั้นหาได้เหมือนนางไม่ ทั่วทั้งเมืองยกย่องข้าเป็นโฉมงามอันต้นๆ เพียบพร้อมด้วยกิริยามารยาทความรู้ความสามารถ สี่เอ๋อก็เพียงแต่พูดความจริงเท่านั้นหาได้ทำอันใดผิดไม่ ไยท่านต้องกล่าวหาสี่เอ๋ออย่างโหดร้ายด้วย’ คุณชายตงได้ยินเช่นนั้นก็หาใช่จะยอมอยู่เฉย เขาแสยะยิ้มเย็นชาหัวเราะในลำคออย่างเยาะเย้ย ‘สาวงามอันดับต้นๆ ? สตรีประพฤติตนเช่นหญิงงามเมืองอย่างเจ้าได้รับยกย่อง? ผู้คนรู้กันทั่ว?’ ชายหนุ่มเดาะลิ้นส่ายหน้าระอาใจ ‘ผู้ใดช่างกล้ากล่าว? เวลานี้มีเพียง ข้า ที่ได้ยินแต่เจ้าที่พูดเองเออเองทั้งนั้น อันว่า คำชม นั้นมีไว้ให้ผู้อื่นพูด สตรีที่กล้าเอ่ยวาจายกยอปอปั้นตนเองเช่นเจ้านี่นะหรือที่เรียกว่าสตรีดีงาม? ฟังให้ดีนะคุณหนูชุนสี่! ข้าจะพูดสิ่งนี้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น…’ ตงเจี๋ยชู่หยุดแสยะยิ้มเยือกเย็นแต่เต็มเปี่ยมไปด้วยไอสังหาร กลายเป็นภาพที่แลดูทั้งน่ากลัวและดึงดูดใจยิ่งนัก ‘สตรีดีงามเขาไม่มาเคาะประตูบ้านชายโสดแต่เช้าตรู่เช่นนี้ สตรีเพียบพร้อมไม่จำเป็นต้องถ่อเข้าหาบุรุษก่อนเช่นเจ้า สตรีผู้ดีมีมารยาทไม่พูดจานินทาว่าร้ายไม่ว่าจะเป็นคนนอกหรือคนในครอบครัว สตรีมีความสามารถย่อมไม่ขลาดกลัวจะไร้บุรุษสนใจ สตรีมีความรู้ย่อมต้องรู้ทุกสิ่งที่ข้ากล่าวมาทั้งหมดนี่ และไม่ต้องพูดถึงความงามที่เจ้ามี เจ้าตั้งแต่หัวจรดเท้ายังสู้เถียนฉีบ้านข้าไม่ได้แม้แต่ปลายก้อย! ‘เจ้าหาว่านางเป็นสตรีโง่เขลา แต่ข้ากลับว่านางช่างน่ารักใสซื่อประดุจผีเสื้อตัวน้อย ผู้อื่นหาว่านางไม่รู้จักแต่งเนื้อแต่งตัวให้สมฐานะ ข้ากลับมองว่านางสมถะมีหัวใจอิสระไม่ยึดติดสิ่งของ ผู้อื่นหาว่านางไม่สมเป็นกุลสตรีไม่รู้จักรักนวลสงวนตัวเก็บเนื้อเก็บตัวอยู่ในหอห้อง แต่ข้ากลับมองว่าเปรียบเทียบกับเหล่าสตรีที่ยังไม่รู้จักข้าดีก็รี่ปรี่เข้าหาให้ท่าข้าจนออกนอกหน้าไร้ความละอาย ในสายตาข้านางยังบริสุทธิ์สะอาดไร้มลทินเสียยิ่งกว่า นางไม่เคยให้ท่าข้า! เป็นข้าที่ต้องคอยให้ท่านางเสียด้วยซ้ำ! หากเจ้าว่านางฉาวโฉ่ คุณหนูเช่นเจ้าและเหล่าสตรีทั่วเมืองนี่ก็ไม่ต่างจากนางโลมแล้ว!’ “...” ชุนเถียนฉีอ้าปากค้างอย่างไม่รู้ตัว และนั่นก็คือเรื่องราวทั้งหมด ส่วนที่เหลือไม่ต้องให้ซือซือเล่าต่อนางก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ถึงสิ่งที่คุณชายตงพูดมันจะจริงไปถึงกระดูกดำเลยก็ตามเถอะ…แต่นี่มันไม่เท่ากับว่าคุณชายตงประกาศสงครามกับเหล่าคุณหนูทั่วทั้งเมืองหอมบุปผาหรอกหรือ?! ชุนเถียนฉีได้แต่ถอนหายใจให้กับความใจกล้าบ้าบิ่นของคุณชายผู้นี้ ไม่รู้ว่าบุรุษผู้นี้ โง่ บ้า หรือน่าทึ่งกันแน่ แต่ว่าก็ว่าเถิด…หากว่าคนในเรื่องนี้มิใช่ชุนสี่นางคงจะยังพอมีใจชื่นชมความสามารถในการเล่าเรื่องอันน่าเหลือเชื่อของซือซืออยู่บ้าง เพราะแม่สาวใช้ของนางไม่เพียงปากว่าธรรมดา แต่ทำท่าทำทางและน้ำเสียงประกอบเสียจนนางเห็นภาพที่เกิดขึ้น ราวกับได้อยู่ในสถานการณ์จริงเลยทีเดียว เรื่องในเช้านั้นดังกระฉ่อนขจรขจายไปทั่วเมืองยิ่งกว่าไฟลามทุ่ง ยังผลให้นายท่านชุนต้องสั่งกักบริเวณลูกสาวคนเล็กที่ทำตัวเหลวไหลและเมียรองที่เข้าข้างลูกอย่างไม่ลืมหูลืมตา อีกทั้งยังเรียกหาชุนเถียนฉีให้ตามตนนำข้าวของไปขอโทษขอโพยคุณชายตงเป็นการใหญ่ “ฮึ! ข้าไม่เข้าใจเลยว่าบุรุษอย่างคุณชายตงผู้นั้นเห็นดีอะไรในตัวสตรีโง่เง่าอย่างชุนเถียนฉีกัน!” เสียงฉุนเฉียวของสตรีนางหนึ่งดังขึ้นห่างออกไปไม่ไกล ขณะที่สายตาของนางจับจ้องมองไปยังร่างสูงที่เดินตามร่างเล็กต้อยๆ ราวกับลูกหมาเชื่องๆ ทั้งยังคอยชี้ชวนนางดูนั่นดูนี่อย่างเอาอกเอาใจ “ฮึ! ก็อีกแค่ไม่นานหรอก สตรีอย่างชุนเถียนฉีจะไปดึงดูดใจยอดบุรุษเช่นนั้นได้อย่างไร รอให้คุณชายตงผู้นั้นเบื่อหน่ายความงามดาดๆ ของนางก่อนเถิดและขอให้ได้ยินเรื่องฉาวของนางมากกว่านี้ ขี้คร้านแม้แต่หน้าก็ไม่อยากจะชายตามอง” คุณหนูอีกท่านป้องปากตอบเพื่อนของนาง ทั้งยังเบะปากมองชุนเถียนฉีอย่างดูแคลน เหล่าสตรีต่างก็ส่งสายตาทิ่มแทงคนละสองข้างหนึ่งคู่จี้ตามหลังคนที่พวกนางต่างมองอย่างดูถูกมาอย่างริษยา จ้ะ…คนละฮึ! สองฮึ! เลยนะ แสบหลังไปหมดแล้ว… ชุนเถียนฉีถอนหายใจ รู้สึกอัศจรรย์ใจอยู่หน่อยๆ กับสิ่งที่เผชิญ ความงดงามของบุรุษนั้นช่างนำมาซึ่งผลลัพธ์อันพลิกผันจริง ๆ แม้เรื่องที่เกิดขึ้นกับชุนสี่จะไม่ทำให้คุณชายตงกลายเป็นศัตรูอันดับหนึ่งของเหล่าคุณหนูผู้ถูกบริภาษร่วมกับน้องสาวของนางอย่างที่นางคิดก็ตาม แต่ที่น่าแปลกยิ่งก็คือ ความนิยมของเขายิ่งพุ่งสูงขึ้นอย่างน่าประหลาดใจ รู้ได้อย่างไรน่ะหรือ? ก็ความริษยามันหลุดออกจากดวงตาของพวกนางมาทิ่มหลังข้าแล้วอย่างไรเล่า! หลังจากที่นางพาคุณชายตงออกมาเดินเล่นเป็นการขอโทษที่น้องสาวทำเสียมารยาทเมื่อหลายวันก่อน เหล่าคุณหนูทั่วเมืองก็เริ่มที่จะหมดน้ำอดน้ำทนกับความสัมพันธ์ที่ไม่คืบหน้าของตนกับคุณชายผู้นี้ ไม่เพียงไม่อาจลอบตีสนิทได้ ยังถูกชายหนุ่มตอกกลับจนหน้าหงาย กลายเป็นกองเศษซากใบหน้าเกลื่อนกลาด แผนการและวิธีการทั้งหมดที่พวกนางขุดกรุสรรหามาล้วนพังพินาศยับเยินไม่มีชิ้นดี และที่เสียหายยิ่งกว่าหลายแสนตำลึงก็คือศักดิ์ศรีที่ไม่รู้ว่าพวกนางเข้าใจผิดคิดว่าตนมีอยู่นั่นแหละที่กองเกลื่อนเหมือนซากความเสียหายหลังสงคราม เมื่อความรู้สึกขัดใจมันอึดอัดคับแน่นอยู่เต็มอก พวกนางก็หาทางยกออกโดยเอาความแค้นมาถมลงที่ชุนเถียนฉี นี่สินะที่เขาเรียกกันว่า…แพ้แล้วพาล… คำพูดเสียดสีพวกนี้ไม่ทำให้ชุนเถียนฉีรู้สึกร้อนหนาวอันใด เพราะนางชินเสียแล้วกับขี้ปากชาวบ้านที่อยากจะพูดอันใดก็พูดไปได้เป็นทุนเดิม คำเหล่านั้นจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่จริงก็หาได้มีผู้ใดสนใจไม่ตั้งแต่แรก ขอเพียงตนได้พูดต่อเสริมแต่งความให้สมใจอยากก็เป็นพอ มันคือธรรมชาติของมนุษย์ที่ทำเพื่อเติมเต็มความต้องการมีตัวตนของตนในสังคม มันคือเรื่องปกติที่นางเข้าใจแล้วยอมปล่อยให้เลยตามเลยไป หากไม่นำคำพูดเหล่านั้นมาใส่ใจ มันก็แค่ลมปากที่พัดผ่านไปเบามากเสียจนไม่ได้ให้ความรู้สึกอันใด ไม่แม้แต่จะพัดมาถึงนางเสียด้วยซ้ำ หากเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เสีย ไม่สนใจคำสบประมาทเลื่อนลอยเหล่านั้น นางก็ไม่เจ็บไม่ร้อนไม่แสบไม่คันอันใด แต่ดูเหมือนว่าคนที่เดินตามนางต้อยๆ ผู้นั้นต่างหากที่หาได้คิดเช่นเดียวกันกับนางไม่... ทันทีที่พวกคุณหนูเหล่าจบประโยค ดวงตาคู่คมจากร่างสูงก็ปราดไปที่พวกนางทั้งสอง หาใช่ปรายตามองอย่างเสน่หา แต่เป็นการมองกลับไปอย่างเชือดเฉือนด้วยสายตาเย็นชาราวกับกระบี่แฝงไอสังหารเข้มข้นจนสตรีทั้งสองเข่าอ่อนล้มลง… เป็นลม “ว๊าย! คุณหนู!!” เหล่าบ่าวรับใช้ของพวกนางต่างก็ร้องอุทานด้วยความแตกตื่นตกใจ รี่ตรงเข้าไปช่วยเจ้านายของตนที่นั่งตัวสั่นระริกน้ำตานองหน้า “ฮึ!” ร่างสูงพ่นลมหายใจออกมาอย่างขุ่นเคือง ก่อนที่สีหน้าเย็นชานั้นจะละลายหายไปเพียงชั่วพริบตายามหันกลับมาที่ชุนเถียนฉี เหอะๆ เปลี่ยนไวราวกับไอหมอกต้องแดดเลย… ชุนเถียนฉีส่ายหน้าอย่างระอาใจกับบุรุษผู้นี้จริงๆ อาการเปลี่ยนโฉมหน้าต่อหน้านางอย่างตรงไปตรงมาไม่คิดปิดบังเช่นนี้…ช่างน่าเลื่อมใสยิ่งนัก เขาเองก็ได้ยินแล้วว่าชื่อเสียงนางในเมืองนี้หาใช่ดีอะไร นางรู้ว่าเขาสงสัย แต่ไม่เพียงเขาจะไม่ถามไถ่หาความ เขายังตามนางไปทั่วเหมือนลูกเจี๊ยบตามแม่ไก่เช่นเดิม แถมในเวลานี้ก็ยังแย่งบทแม่ไก่แล้วโยนบทลูกเจี๊ยบมาให้นางเสียแล้วนั่นปะไร คอยส่งสายตาขู่อาฆาตทุกคนที่พูดจาว่าร้ายนาง ทำให้หลายวันมานี้ เสียงซุบซิบนินทาเกี่ยวกับนางอย่างเปิดเผย (?) จะลดน้อยถอยลงไปมากเลยทีเดียว หญิงสาวถอนหายใจอีกคำรบให้กับเหล่าสตรีที่เห็นโลงศพจนต้องหลั่งน้ำตาทั้งหลาย อดไม่ได้ที่จะบ่นพึมพำออกมา “ท่านกำลังทำให้ความพยายามหลายปีของข้าสูญเปล่า” คำพูดนี้นางหาได้พูดกับชายหนุ่มที่ทำตัวเป็นโลงศพเคลื่อนที่ นางเพียงแค่กระซิบเบาๆ กับตนเองเท่านั้น ทว่า… “แต่พวกนางน่าชังนัก คำพูดของพวกนางก็น่ารังเกียจยิ่ง…เจ้าไม่คิดเช่นนั้นหรือ?” ชายหนุ่มกระซิบข้างหูนาง ท้ายประโยคน้ำเสียงทุ้มต่ำอ่อนโยนราวกับแสงตะวันในยามรุ่ง อ่อนหวานเสียยิ่งกว่าน้ำผึ้ง ทำให้ชุนเถียนฉีสะดุ้งหันกลับไปมองหน้าที่บัดนี้ส่งสายตาออดอ้อนกลับมาราวกับลูกสุนัขตัวน้อยที่ถูกเจ้านายดุด่า ชุนเถียนฉีสืบเท้าถอยหลังห่างออกมาอย่างแนบเนียน รู้สึกเก้อกระดากกับระยะที่ตงเจี๋ยชู่ประชิดเข้าหา แล้วแสร้งเอ่ยเปลี่ยนเรื่อง “คุณชายตง แขนขาของท่านแม้จะหายดีแล้วก็จริง แต่ท่านไม่ได้เคลื่อนไหวมานานไม่ใช่หรือ ท่าน ควรที่จะ ยัง-เดิน-ได้-ไม่-ถนัด ยังไม่ควรออกแรงมาก อีกทั้งท่านยังไม่ควรเดินมากเกินไปจนกลายเป็นผลร้าย” เป็นจริงอย่างที่นางพูดทุกประการ แต่สิ่งที่ชุนเถียนฉีไม่รู้คือเขาฝึกวิชาพิสดารมาก่อน ผลของมันทำให้ร่างกายของเขาแข็งแกร่งยิ่งนัก อาการบาดเจ็บใดๆ จะหายไวกว่าคนแข็งแรงปกติทั่วไปถึงสองเท่า เมื่อไม่นานมานี้เขายังให้หมอประจำตัวซึ่งเป็นหนึ่งในลูกพรรคคนสนิทตรวจร่างกายให้ พบว่า…ตนหายดีราวกับไม่เคยเกือบไปเยือนเหยียนหลัวหวางมาก่อนทั้งพิษที่อยู่ในร่างก็ถูกกำจัดออกไปจนหมดสิ่ง ที่สำคัญคือผิวพรรณของเขายังดูผุดผ่องขาวกระจ่างราวกับไม่เคยตรากตรำฝึกยุทธมาก่อน ทำให้หมอประจำตัวของเขาผู้นั้นถึงกับอัศจรรย์ใจ ตงเจี๋ยชู่ได้ยินนางพูดเช่นนั้นก็แย้มยิ้มจนเต็มใบหน้าเอ่ยออกมาว่า… “ไม่เลย! วิชาการรักษาและยาของเถียนฉีนั้นยอดเยี่ยมยิ่งนัก ข้าไม่รู้สึกว่าแขนและขาของข้ามีปัญหาแต่อย่างไร” ชายหนุ่มพูดเสียงไม่ได้เบา ทำเอาชุนเถียนฉีตาตื่นตกใจ รีบหันไปตะครุบปากร่างสูงแทบไม่ทัน “นี่!! ท่าน!” นางตะคอกแต่เสียงเป็นกระซิบ นางต้องกัดฟันเอาไว้แน่นเพราะต้องสะกดกลั้นคำพูดที่อยากจะว่ากล่าวเขาออกมา เรื่องที่นางเป็นวิชาแพทย์นั้นเป็นความลับสุดยอดของนางที่ไม่อาจเปิดเผยได้อย่างเด็ดขาด! มิฉะนั้นเรื่องที่นางแกล้งโง่หลอกผู้อื่นมาตลอดคงเป็นอันพังพินาศไม่มีเหลือหลอ หากถูกจับได้แล้วถูกโกรธถูกเกลียดถูกตัดหางก็ยังดีไป แต่ถ้าเกิดมีผู้ใดคิดหาผลประโยชน์กับนาง อิสระที่โหยหาปูทางมาจนถึงบัดนี้มิพังกันพอดีหรอกหรือ! คนละโมบพวกนั้นย่อมไม่ปล่อยนางให้จากไปโดยง่ายเป็นแน่!! ดวงตากลมโตของหญิงสาวมองเขาอย่างขุ่นเคือง ดวงตาเรียวคมของชายหนุ่มแพรวพราวระยิบระยับ ยิ่งมองนาง ยิ่งถูกใจ มือบางๆ คู่นั้นช่างนุ่มนิ่ม แม้แต่ใบหน้าขึ้งโกรธยังแสนน่ารักน่าชัง ปากจึงไม่อาจอดกล่าววาจาหยอกเย้าอย่างสนิทสนมออกไปได้... “เถียนฉี เจ้ามือไวนัก ข้าก็เขินอายเป็นนะ” เมื่อสองอาทิตย์ก่อน ยามที่เขาย้ายเข้าจวนฝั่งตรงข้ามบ้านนาง เขารีบนำข้าวของไปเยือนจวนของนางเป็นครั้งแรกทันทีเพื่อที่จะพบบิดามารดาของนาง อีกทั้งเขายังปรารถนาจะได้พบหน้านางที่ไม่ได้เจอกันมาหลายวันนับตั้งแต่ที่นางประกาศว่ารักษาเขาจนหายดีเป็นที่เรียบร้อยแล้วและจากไปไม่กลับมาเยือนเขาที่กระท่อมอีกอีกด้วย และเขาก็ได้สมความปรารถนาอีกประการนั่นก็คือ ยามนางเดินเข้าประตูจวนมา ใบหน้าของนางปราศจากผ้าคลุมหน้าใดๆ ดังที่เสี่ยวซือถงและเสี่ยวซือถูรายงานไว้จริง ๆ ดวงหน้านั้นงดงามเหนือจินตนาการยิ่งว่าที่เขาจดจำได้มากมายนัก ความเสียดายที่หลายวันก่อนหน้านี้ เขาไม่ได้เห็นนางปลิดปลิวไปจนสิ้น…เหลือเพียงหัวใจที่เต้นอย่างรุนแรงด้วยความดีใจ แต่ถึงกระนั้น…หลังจากผ่านไปได้ไม่นานเท่าไหร่ความริษยาก็มาเยือน และด้วยเหตุนี้… เสี่ยวซือถงและเสี่ยวซือถูที่ถูกส่งมาสังเกตและดูแลนางจึงถูกกักบริเวณในห้องมืดนานเป็นเวลาสิบสี่วันโดยที่เจ้าตัวทั้งสองไม่ทราบสาเหตุ กล้าดีอย่างไรได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของนางก่อนข้า! เมื่อนึกถึงเหตุการณ์นั้น ก็ทำให้ดวงตาของตงเจี๋ยชู่ตีเป็นวงโค้งแววตาระยิบระยับอยู่ภายใน... เขารู้อยู่แล้วว่านางงดงาม แต่เมื่อปราศจากผ้าปิดหน้า ความงามของนางยิ่งกว่าภาพฝันในยามหลับและความทรงจำในยามตื่น เขาแทบไม่อาจถอนสายตาออกจากนางได้ ทั้งๆ ที่ตอนนี้นางมีสีหน้าตกใจซึ่งค่อยๆ เปลี่ยนเป็นกึ่งโกรธกึ่งลำบากใจอยู่แท้ๆ เฮ้อ...หากใบหน้าน้อยๆ นี้ หากแย้มยิ้มแล้ว โลกใบนี้จะงดงามสดใสเพียงใด ให้ตายสิ ข้านึกคำอื่นนอกจากคำว่า เถียนฉี [1]ไม่ออกเลยจริงๆ แม้แต่ใบหน้าบูดบึ้งที่นางทำอยู่ตอนนี้ก็ยังน่ารักน่าใคร่เหลือเกิน ใช่แล้ว…งดงาม คิ้วงามขมวดน้อยๆ ไม่ได้ทำให้ใบหน้านางหมดความงาม ใบหน้าของนางเชิดขึ้นเพราะความสูงของทั้งสองแตกต่างกัน ริมฝีปากสีหวานเม้มเข้าหากันแสดงความขัดเคือง สองแก้มแดงระเรื่อยิ่งขึ้นเล็กน้อย ดวงตากลมโตของนางในยามนี้สะท้อนเพียงภาพของเขา ชวนให้เขาหลงใหลเคลิบเคลิ้ม ทว่า… “ตายแล้ว!!” “ดูสิ หน้าไม่อาย” “ใช่ๆ หน้าไม่อายจริงๆ นางเป็นสตรีโง่เขลาแถมยังไร้ยาง กลางวันแสก ๆ ยังเข้าไปแตะเนื้อต้องตัวผู้ชาย!” เสียงซุบซิบรอบข้างที่ดังเข้าหูกลบช่วงเวลาดีๆ ของตงเจี๋ยชู่จนเสียหายหมดสิ้น มือบางปล่อยมือออกจากปากของเขา ใบหน้างามสะบัดหันหลังให้ ใบหน้าของตงเจี๋ยชู่เปลี่ยนเป็นบูดบี้งโดยพลันที่โลกส่วนตัวถูกล่วงล้ำ ไอสังหารรุนแรงแผ่ไปทั่ว ดวงตาคมกริบปาดซ้ายปรายขวาราวกับจะเชือดเฉือนผู้คนปากมากที่รายล้อมพวกตนให้ดับดิ้น ทำให้ผู้คนรอบข้างต่างหนาวสะท้านไปตามๆ กัน คนที่ไร้วรยุทธยืนตัวแข็งบ้างก็ล้มลงด้วยความหวาดกลัว เหล่าสตรีที่ซุบซิบเสียงดังอยู่เมื่อครู่ถึงกับหวาดกลัวจนตัวแข็งฉี่ราด บ้างถึงขั้นหมดสติ “พวกเจ้าทั้งหมดไม่มีอันใดต้องทำกันแล้วรึ วันๆ เอาแต่นินทากล่าวหาว่าผู้อื่นไร้ยางอาย แล้วพวกเจ้าล่ะมีรึไม่! วันๆ ดีแต่รวมหัวกันนินทาว่าร้ายผู้อื่น! หึ! สันดานหมาหมู่ชอบรุมรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่า! ใครกันแน่ที่หน้าไม่อาย! ข้าว่าพวกเจ้านี่แหละที่หน้าไม่อาย เกิดมาก็ไร้ยางอายแล้ว! พ่อแม่พวกเจ้าก็ไร้ยางอายด้วย! เพราะไม่รู้จักสอนให้ลูกชั่วอย่างพวกเจ้ามียางอาย!” ตงเจี๋ยชู่จะใช้วาจาเชือดเฉือนให้สตรีเหล่านั้นอับอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี แต่ทว่า... “คุณชายกล่าวเช่นนี้ออกจะมากเกินไป!” เสียงหวานไพเราะเสนาะหูดังออกมาจากหมู่ผู้คน จากนั้นผู้คนก็หลีกทางให้กับร่างในชุดสีม่วงอ่อนได้ย่างก้าวออกมา ชุนเถียนฉีได้ยินเสียงก็รู้ว่าเป็นเสียงของผู้ใด นางลอบถอนหายใจพลางยกมือขึ้นนวดขมับ ทีแรกก็แม่น้องสาวตัวดี คราวนี้ยังมีสตรีผู้เคยตั้งตนเป็นคู่แข่งปรากฏตัวออกมาอีก งิ้วโรงใดกันเล่านี้…เขียนเรื่องราวได้เข้มข้นจนน่าขันเช่นนี้ แน่นอนคนที่มาปรากฏตัวอย่างเอิกเกริกเช่นนี้จะใช่ใครอื่นไปได้นอกจากคุณหนูฉิง...ฉิงเยี่ยนหรู...คู่หมายที่ใกล้จะได้เป็นคู่หมั้นของอดีตคู่หมั้นของนาง สตรีผู้ชูคอก้าวออกมาจากฝูงคนมุงอย่างสง่างามพร้อมกับเหล่าสาวใช้และขบวนผู้คุ้มกันมองตงเจี๋ยชู่ด้วยรอยยิ้มงดงามที่มุมปาก แล้วหันไปมองชุนเถียนฉีด้วยสายตาเย้ยหยันว่างเปล่าราวกับนางเป็นฝุ่นผงในอากาศที่ไร้ความสำคัญ ท่วงท่าของคุณหนูฉิงดูสูงงามสง่า เครื่องแต่งกายของนางตั้งแต่หัวจรดเท้าล้วนล้ำค่าสมกับฐานะคุณหนูจวนแม่ทัพนับไปตั้งแต่ปิ่นทองงานฝีมือบนหัวลงมาจนถึงรองเท้าปักลายบุปผาที่เท้าสวม นางเชิดหน้าใส่หญิงสาวโฉมงามในชุดสมถะเรียบง่าย แล้วหันไปกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนกับบุรุษหนุ่มข้างๆ ผู้มีสีหน้าเย็นชายิ่งราวกับสลักมาจากน้ำแข็งพันปี ชุนเถียนฉีมองกิริยานั้นของนางอย่างปลงสังเวช พาลนึกถึงคุณชายหม่าเอ้อผู้กำลังจะถูกคู่หมายสวมหมวกเขียว[2]ให้ทั้งๆ ที่ยังไม่ทันได้หมั้นหมาย ดวงตาของคุณหนูฉิงดูอย่างไรก็แปลออกได้เพียงอย่างเดียวว่า… อยากได้ ไม่มีใครในเมืองหอมบุปผาไม่รู้ว่าคุณหนูสกุลฉิงและคุณชายรองสกุลหม่า หม่าฉิงหลิน ‘อดีต’ คู่หมั้นของนาง เป็นคู่หมายกัน ทั้งยังพูดคุยเล่าลือกันปากต่อปาก ถึงขนาดที่นักเล่านิทานในโรงน้ำชาเอาไปแต่งเป็นนิทานกล่าวถึงความสัมพันธ์แสนหวานของทั้งสองราวกับเป็นตำนานรักนิรันดรแห่งเมืองหอมบุปผา ทว่า...ในตอนนี้ดูเหมือนว่า ดอกซิ่งแดงออกกำแพง[3]ไปเสียแล้ว [1] เถียนฉี แปลว่า นางฟ้า และแซ่ “ชุน” ของนางเอกใช้ตัวอักษร ฤดูใบไม้ผลิ [2] สวมหมวกเขียว (****) เป็นสำนวนจีนใช้กับบุรุษ หมายถึง “เมียมีชู้” หรือตรงกับสำนวนไทยเราก็คือ “ถูกสวมเขา” นั่นเอง [3] ดอกซิ่งแดงออกกำแพง (****) เป็นสำนวนที่มักพบได้ในนิยายจีนหลายเรื่อง มีความหมาย หมายถึง “สตรีวัยแรกรุ่นอยากมีคู่จึงเรียกร้องความสนใจหรือเสนอตัวให้ชายหนุ่ม” นอกจากนี้ เมื่อกล่าวถึง สตรีมีคู่ ยังมีอีกความหมายหนึ่ง นั่นก็คือ “สตรีไม่รักนวลสงวนตัว หรือ หญิงมีชู้”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD