“เหนื่อย” เพื่อนลูกชายเศรษฐีบ่นออกมาดัง ๆ เขาทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาอย่างอ่อนแรง เพราะกว่าจะทำความสะอาดห้องเสร็จก็เกือบเที่ยง
ปัทมนต์มัดถุงขยะสีดำเตรียมเอาไปทิ้งด้านล่างคอนโด โชคดีไม่เจอยาเสพติดอย่างที่คาดไว้ มีแต่เศษบุหรี่ยัดไส้ก***าเท่านั้น
“เป็นยังไงล่ะ ผลของการต้องมาตามล้างตามเช็ดเรื่องคนอื่น คราวต่อไปเลือกคบเพื่อนหน่อยนะ ที่นิสัยไม่ดีเอาไว้ห่าง ๆ เลย”
“เห็นจะยากนะแป๋ง” ดนัยวุธยักไหล่ “บังเอิญที่เจอก็เป็นคนประเภทนี้ทั้งนั้น ชอบทำอะไรเสี่ยง ๆ วัดบารมีพ่อแม่ คนพวกนี้ฉันคบแค่ผิวเผิน เราคุยกันด้วยภาษาเงินและธุรกิจเท่านั้น”
“เรื่องนิสัย ถ้าไม่แย่จนเกินเอือมก็พอรับได้” เธอปลดผ้าเช็ดหน้าที่คาดปากออก มองเพื่อนอย่างเห็นใจ ทุกข์ของคนรวย มีเงินแต่ไม่มีเพื่อนแท้ ทุกอย่างเป็นเงินทองผลประโยชน์ไปหมดแม้กระทั่งมิตรภาพ
“เรื่องเงินเดี๋ยวโอนเข้าบัญชีเดิมนะ เที่ยงแล้วโทรสั่งพิซซามาเลี้ยงแล้วกัน”
ดนัยวุธเป็นนายจ้างที่มักมีน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ เสมอ ข้อนี้เธอนึกชมเขาในใจ
“ไม่เอาหรอก ไม่อยากกินพิซซากลัวติดคอ ยังเหนื่อย ๆ อยู่”
“แต่ฉันหิวนี่ ไส้จะขาดอยู่แล้ว ไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เช้า” คนบ่นที่อยู่โซฟาเริ่มบ่นเอาแต่ใจ
“งั้นก็ตามใจแก”
หญิงสาวเลี่ยงไปห้องน้ำ นึกถึงตัวเลขในบัญชีที่กำลังจะเพิ่มขึ้นแล้วอมยิ้มสุขใจ เงินเหล่านี้เป็นทุนรอนในการดำเนินชีวิตหลังผ่านพ้นรั้วมหาวิทยาลัยออกไป
“เดี๋ยวแกนั่งรถไปมหา’ลัยกับฉันนะ” เพื่อนสั่งขณะเพลิดเพลินกับพิซซาถาดใหญ่ เธอดูดน้ำอัดลมผ่านหลอดจากแก้วพลาสติกใบโต “จะไปเจออาจารย์คุยเรื่องโปรเจกต์อยู่เหมือนกัน”
“ไม่เอาหรอก เดี๋ยวแกปล่อยฉันลงก่อนถึงมหา’ลัยอีก”
เพราะเธอไม่สวยพอที่จะเป็นตุ๊กตาหน้ารถราคาแพงโฉบเฉี่ยวในมหาวิทยาลัยของเขาได้ จึงต้องลงที่ป้ายรถเมล์เพื่อไม่ให้เสียเกียรติประวัติหนุ่มหล่ออย่างเขา
“ฉันชอบตรงแป๋งเข้าใจเรื่องศักดิ์ศรีเดือนมหาวิทยาลัยของฉันนี่แหละ”
ดนัยวุธพล่ามเรื่องสาว ๆ ที่ได้มีโอกาสมานั่งบนรถคันโก้ของตนอีกนานจนเธอได้แต่อ่อนใจ ทุกข์ของคนรวยอีกประเภทหนึ่ง คือโรคหลงตัวเอง จะทนไม่ได้ถ้ามีสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่คู่ควรกับเขา
“ฉันขึ้นรถเมล์ไปเองดีกว่า เดี๋ยวแวะห้าง เปลี่ยนชุดนักศึกษาด้วย” เธอหยิบกระเป๋าใบโตซึ่งใส่ชุดเตรียมพร้อมขึ้นมา แม้คุ้นเคยกับดนัยวุธและห้องนี้เพียงใด แต่กระดากใจที่ต้องมาเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องของผู้ชาย
“ก็ตามใจ” เพื่อนไม่ขัด เคี้ยวพิซซาตุ้ย ๆ ต่อไป
“โปรเจกต์เป็นยังไงบ้างแป๋ง ผ่านหรือเปล่า” เชอรี่ทักทันทีที่เห็นปัทมนต์เดินมานั่งบนม้าหินภายในบริเวณมหาวิทยาลัย
“ผ่านเรียบร้อยแล้ว” เธอรายงานผล หลังจากตรงเข้าไปพบอาจารย์ที่ปรึกษา ก่อนมาเจอเพื่อน
“ดีจังเลยวะ” หลายคนที่นั่งในกลุ่มแสดงความยินดีเซ็งแซ่
เพื่อนอีกคนชื่อหมี แต่ตัวเล็กพึมพำ “ของฉันต้องแก้แล้วแก้อีก”
“เอาน่า ถ้าตั้งใจทำ เดี๋ยวก็เสร็จ” สาวสวมแว่นชื่อแก้มปลอบ
“ต่อไปจะได้อ่านหนังสือวิชาอื่นบ้าง” ปัทมนต์กล่าวอย่างโล่งอก
ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ก็แผดดังขึ้น เธอรีบควานหาเจ้าเก่าเครื่องเก๋ากึ๊กคู่ชีพจากกระเป๋ามารับสาย
“ฮัลโหล”
[“แป๋งเหรอ นี่ฉันเองนะ”] เสียงวางอำนาจแบบนี้มีคนเดียว
“มีอะไรหรือเปล่า” เธอรีบใช้มือป้องโทรศัพท์เดินออกห่างจากกลุ่มเพื่อน ใจเต้นตุ้ม ๆ ต่อม ๆ ว่าเรื่องบุหรี่ยัดไส้เมื่อเช้าจะแผลงฤทธิ์อะไรอีกหรือเปล่า
“ช่วยพิมพ์รายงานเพิ่มให้หน่อย มีค่าตอบแทนเหมือนเดิม”
คำว่า ‘ช่วยพิมพ์รายงาน’ ของดนัยวุธนั่นหมายถึง ‘ฉันจะจ้างแกทำรายงานทั้งหมด’
ดนัยวุธเป็นบ่อเงินบ่อทองของเธอมานาน นับตั้งแต่พบเขาที่ห้องสมุดกลางของมหาวิทยาลัยตอนปีหนึ่ง ตอนนั้นเขากำลังหัวเสียกับการพิมพ์งานในโน้ตบุ๊กราคาแพง เพราะไม่คุ้นเคย เมื่อเขาเงินถึงเธอจึงเป็นมือปืนรับจ้างในการทำงานต่าง ๆ เสมอ
‘หน้าอย่างแป๋งไม่เข้ากับรสนิยมของฉัน เป็นเพื่อนกันน่ะดีแล้ว’
ปัทมนต์ได้ฟังคำวิจารณ์เกี่ยวกับตัวเองแล้วเจ็บจี๊ด ไม่อยากบอกเลยว่าตอนปีหนึ่งเธอเคยหลงปลื้ม เพราะความหล่อของหมอนี่อยู่พักหนึ่ง พอได้สัมผัสนิสัยที่แท้จริง ความหลงใหลที่เคยมี ไม่รู้หายไปไหนหมด เหลือแต่ความเฉยชา จนบางครั้งรำคาญในความไม่รู้จักรับผิดชอบของเพื่อนคนนี้
“งั้นเจอกันที่ห้องสมุดล่ะกัน” เธอนัด คนปลายสายก็เห็นดีด้วย
ดนัยวุธเป็นหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง ผิวขาว ทรงผมระหน้าผากสไตล์เกาหลีรับกับใบหน้าหล่อเหลา เขามักมีออปชันเสริมแสดงความเป็นหนุ่มเจ้าเสน่ห์เสมอ ไม่ต่างหูก็สร้อยข้อมือหรือสร้อยคอ
อย่างวันนี้มาในชุดนักศึกษาที่ดูอย่างไรก็เหมือนหนุ่มเจ้าเสน่ห์อย่างไรอย่างนั้น ต่างกับหนุ่มหัวยุ่งเสื้อกล้ามที่ช่วยเธอทำความสะอาดห้องเมื่อเช้า
คนที่เดินมาพร้อมกันคือณวัตร เพื่อนของดนัยวุธ มีดีกรีความหล่อไม่แพ้กัน นิสัยดูเหมือนจะดีกว่า แต่ยังแปลกใจ ทำไมผู้หญิงเมื่อเป็นแฟนณวัตรแล้ว พอเจอกับดนัยวุธก็ทิ้งมาหาหมอนี่ทุกที
แม้จะมีเรื่องขัดกันเรื่องผู้หญิง แต่ทั้งสองคนยังคบเป็นเพื่อนกันได้ เธอไม่เข้าใจผู้ชายเลยจริง ๆ ถ้าเป็นผู้หญิงคงไม่มองหน้ากันอีกเลย
ดนัยวุธวางกระดาษเอสี่แม็กติดกันสองแผ่นลงตรงหน้า หญิงสาวรู้หน้าที่ตัวเองดี หยิบข้อมูลที่น่าจะเรียกว่าแค่หัวข้อรายงานขึ้นมาดู ขี้เกียจบ่นในความฉุกละหุกของงาน เมื่อเช้าก็ทีหนึ่งแล้ว ยังมีนี่มาอีก
“ส่งเมื่อไร” เธอถามก่อนที่สองหนุ่มจะนั่งลงตรงข้าม
“อาทิตย์หน้า”
ดีจัง เธอยังพอมีเวลา
“พรีเซนต์เมื่อไร”
นายจ้างเริ่มเหล่หญิงรอบข้างตอบ “วันที่สามหลังจากส่ง”
หญิงสาวพยักหน้าเข้าใจ