“หิวหรือยัง”
นั่งรถมาได้สักพัก คนขับก็ถามขึ้น ฉันละสายตาจากนอกหน้าต่างมาที่เขา ส่ายหัวเบา ๆ
“สเต๊กไหม?”
เอ๊ะ… เมื่อกี้ฉันส่ายหัวไปแล้วนะว่าไม่หิว อะไรของเขาเนี่ย
“จาไม่หิว” ฉันตอบแล้วหันกลับไปมองนอกหน้าต่างตามเดิม
“งั้นเย็นนี้ทำสเต๊กละกัน”
ให้ตายสิ คนคนนี้เคยฟังคนอื่นบ้างไหม? พูดเองตอบเองทุกอย่าง แล้วจะถามฉันตั้งแต่แรกทำไม? งงใจกับผู้ชายคนนี้จริง ๆ
กลับมาถึงบ้าน ความเงียบทำฉันขมวดคิ้วแปลกใจ ปกติป้าขิมจะอยู่บ้านแทบตลอดเพราะท่านทำธุรกิจส่วนตัวไม่จำเป็นต้องออกไปทำงานทุกวันก็ได้ เวลาส่วนใหญ่ท่านจึงมักจะอยู่บ้านคอยดูแลทุกคน
“พ่อแม่มีธุระด่วน วันนี้ไม่กลับ” ดูเหมือนเก้าทัพจะเดาความคิดฉันออก คำบอกเล่าของเขาสร้างความกังวลให้ฉันเล็กน้อย
นั่นหมายความว่าคืนนี้ฉันต้องอยู่กับเก้าทัพสองต่อสองงั้นเหรอ…
“ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วลงมากินข้าว”
“จาบอกแล้วไงว่าไม่หิว” ฉันจ้องตาเก้าทัพ ทำไมเป็นคนเข้าใจอะไรยากแบบนี้นะ
“ไม่หิวก็ต้องกิน”
“อะไรของพี่ จาไม่อยากกินนี่ ทำไมต้องบังคับ”
ฉันมองร่างสูงที่เดินเข้าไปหลังเคาน์เตอร์ครัว เขาที่อยู่ในชุดนักศึกษาหยิบผ้ากันเปื้อนมาสวม มือข้างหนึ่งกำลังม้วนแขนเสื้ออีกข้าง ท่าทางทะมัดทะแมงขัดกับลุคคุณชายของเขามาก บอกตรง ๆ เห็นกี่ครั้งก็ยังไม่ชิน ภาพเก้าทัพเข้าครัวเนี่ย…
“ช่วงนี้เธอผอมเกินไปแล้ว บอกให้กินก็กินสิ ถ้าอีกหนึ่งชั่วโมงเธอไม่ลงมา ฉันจะขึ้นไปตามเอง”
เอาเถอะ ฉันเหนื่อยจะเถียงกับเขาแล้ว อยากทำอะไรก็ทำเลยงั้น
หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ฉันนั่งกดโทรศัพท์แชทคุยกับเพื่อน ๆ สักพัก เสียงเคาะประตูดังขึ้น ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าใคร
“อาหารเสร็จแล้ว”
เขาเหมือนแม่ฉันชะมัด…
ฉันเดินตามเก้าทัพลงมาชั้นล่าง ชะงักเล็กน้อยตอนเดินมาถึงโต๊ะอาหาร นี่เขาทำสเต๊กจริงดิ? มื้อเย็นแบบนี้มันหนักท้องเกินไปหรือเปล่า
“จาไม่หิว…”
“นั่งลง”
เก้าทัพถอดผ้ากันเปื้อนออกแล้ว เขานั่งฝั่งตรงข้ามฉัน สั่งทางสายตาว่าห้ามปฏิเสธอีก ฉันเม้มปากยอมนั่งอย่างไม่ค่อยเต็มใจ มองจานสเต๊กตรงหน้า ลอบกลืนน้ำลาย
ยอมรับว่าเก้าทัพทำอาหารอร่อย ฉันเป็นคนชอบกินหวาน เรียกว่าหวานแบบไม่เหมือนชาวบ้านชาวช่อง อาหารทั่วไปจึงไม่ค่อยถูกปากฉันเท่าไหร่ แต่ถามว่าทานได้ไหมก็ทานได้แหละ แค่ไม่ค่อยถูกปาก ต่างจากอาหารของเก้าทัพ เขารู้ว่าฉันชอบทานรสชาติแบบไหน และรู้ว่าฉันชอบหรือไม่ชอบอะไร เวลาที่เขาทำอาหารให้ฉันทาน รสชาติจึงค่อนข้างถูกปากฉันมาก ๆ
และที่สำคัญคือเขาไม่เคยทำอาหารให้ใครทานเลยแม้แต่ลุงเสือกับป้าขิมก็ตาม
น่าแปลกไหมล่ะ
ครืด…
ฉันจับมีดกับช้อนส้อมขึ้นมาถือ ทว่ายังไม่ทันจะเริ่มทาน จานตรงหน้าถูกดึงไปทางเก้าทัพ เงยหน้ามองเขางุนงง ก่อนจะเข้าใจทันทีที่เห็นคนตรงหน้าเริ่มหั่นเนื้อบนจานให้ทีละชิ้น
เขาทำแบบนี้ให้ฉันตั้งแต่ยังเด็ก จำได้ว่ามีครั้งหนึ่งที่ฉันเคยอ้อนให้เขาหั่นเนื้อให้ ตอนนั้นเขามองฉันด้วยสายตารำคาญแต่ก็ยอมทำตามคำขอ หลังจากนั้นมาเวลาที่เราทานสเต๊กด้วยกัน เขาก็มักจะดึงจานฉันไปหั่นเนื้อให้เสมอจนกลายเป็นภาพชินตาของครอบครัวพวกเราไปแล้ว
“…” สีหน้าและท่าทางการหั่นของเก้าทัพนิ่งสงบมาก เขาดูใจเย็นและบรรจงหั่นมันอย่างตั้งใจ จนกระทั่งหั่นเสร็จเขาก็ดันจานกลับคืนตรงหน้าฉัน ฉันกระแอมเบา ๆ กลบเกลื่อน รีบดึงสายตากลับมามองจานสเต๊กของตัวเองแทนใบหน้าหล่อ ๆ ของเขา
เมื่อกี้ฉันเผลอเคลิ้มอะไรน่ะ… บ้าจริง
“ขอบคุณ แต่ต่อไปไม่ต้องหั่นให้จาแล้วนะ จาทำเองได้”
แกร็ง!
ฉันสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อจู่ ๆ คนตรงหน้ากระแทกช้อนส้อมกับจานของเขา สีหน้าเก้าทัพอึมครึมขึ้นมา เขากำลังไม่พอใจ และดูจะหงุดหงิดมากด้วย ฉันก้มหน้าจิ้มเนื้อในจานเข้าปาก เสสายตาหนีไปทางอื่น
อืม… อร่อยเหมือนเดิมเลยแฮะ
.
.
.
หลังทานอาหารเสร็จ ฉันอาสาล้างจานเอง พอล้างเสร็จก็กลับขึ้นห้อง เก้าทัพขึ้นห้องไปตั้งแต่ทานเสร็จแล้ว คงขึ้นไปอาบน้ำนั่นแหละ ฉันก็ไม่ควรจะอยู่ชั้นล่างนาน ๆ รีบเข้าห้องล็อกประตูนอนดีกว่า
ก๊อก ๆ ๆ
ประมาณสามทุ่มกว่า เสียงเคาะประตูเรียกสายตาฉันจากบทละครในมือ เป็นเก้าทัพแน่นอน ฉันนั่งเงียบไม่ขยับตัว ให้เขาเข้าใจว่าฉันหลับไปแล้วยิ่งดี
“ฉันรู้นะว่าเธอยังไม่นอน เปิดประตูเดี๋ยวนี้” เสียงทุ้มเย็น ๆ ลอดมาจากบานประตู ฉันยังคงนั่งนิ่ง ไม่คิดจะลุกไปเปิดประตูให้เขา ด้านนอกเงียบไปสักพักก่อนจะได้ยินเสียงกรุ๊งกริ๊งของโลหะกระทบกัน
บ้าจริง… ฉันลืมไปซะสนิทว่าเขามีกุญแจห้องฉัน!
พรึ่บ
ฉันรีบปิดโคมไฟแล้วพุ่งลงนอนบนเตียงดึงผ้าห่มขึ้นมาห่ม เก้าทัพไขประตูเข้ามาแน่ ฉันต้องแกล้งหลับเพื่อตัดปัญหาซะ
แกร๊ก
หัวใจดวงน้อยเต้นตึกตัก ขณะได้ยินเสียงประตูเปิดออก เขาถือวิสาสะเข้ามาในห้องฉันอีกแล้ว มรรยาทไม่ดีจริง ๆ เลย!
“…” ฉันแสร้งหลับตานิ่ง หูก็ฟังเสียงเคลื่อนไหวภายในห้องไปด้วย ได้ยินเสียงลมหายใจของเขาเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อย ๆ แอบหรี่ตาขึ้นมองนิด ๆ ก่อนจะรีบหลับตาลงทันที หัวใจดวงน้อยเต้นระส่ำ
นั่นมันอะไรกัน… ทำไม… ทำไมเก้าทัพถึงก้มหน้าลงมาใกล้ฉันขนาดนี้กันล่ะ!