ตอนนี้เหลือเวลาอีกไม่กี่สัปดาห์ก็จะถึงงานกิจกรรมประจำคณะแล้ว นอกจากคณะเรายังมีคณะอื่น ๆ ที่จัดกิจกรรมด้วย และทุกคนก็เข้าสู่ช่วงหัวหมุนกันอย่างเต็มตัว
“พี่คนนั้นมาอีกแล้วเหรอ” วายุมองไปทางพี่ไวน์ซึ่งนั่งอยู่แถวหน้าสุดของเก้าอี้คนดู ไม่ใช่แค่วายุที่มอง คนอื่น ๆ บนเวทีก็พากันหันมองเขาเช่นกัน เขาดังเหมือนกันนะเนี่ย
“เดี๋ยวนะ วันนี้มันวันอะไรเนี่ย ทำไมถึงมีหนุ่มฮอตมารวมตัวกันที่นี่ได้” พี่เบลล่าเดินเข้ามากระซิบกระซาบกับพี่ชาช่าซึ่งกำลังยืนบรีฟบทให้ฉันอยู่ ทั้งคู่พากันมองไปทางที่นั่งคนดู ฉันจึงหันมองตาม
“จริงด้วย ทั้งเอสจากดนตรีสากล ทั้งเอสจากแฟชั่นดีไซน์ โอ้โห… ออร่าความหล่อคือปังปุริเย่มากแม่!” พี่ชาช่าปิดปากกรี๊ดเบา ๆ
ฉันเม้มปาก มองสบตากับเก้าทัพซึ่งเดินล้วงกระเป๋ากางเกงลงบันไดมาตรงหน้าเวที เขาเงยหน้าจ้องมาที่ฉันตาไม่กะพริบ สร้างความอึดอัดไปทั่วบริเวณ
“เอ่อ น้องจาพักก่อนก็ได้นะ ดูเหมือนว่าเก้าทัพเขาจะมีเรื่องคุยกับน้องจานะ”
“ช่างเขาสิคะ จากำลังซ้อมอยู่ อย่าทำให้คนอื่นต้องล่าช้าไปด้วยเลยค่ะ”
“อุ้ย ไม่เป็นไรเลยจ้า พี่ซ้อมฉากอื่นก่อนได้ น้องจาไปคุยกับเขาก่อนดีกว่าเนอะ ไม่งั้นพี่ว่า เอ่อ บรรยากาศมันอาจจะติดลบมากไปกว่านี้แน่ ๆ”
สุดท้ายฉันก็ต้องหยุดซ้อมแล้วเดินอ้อมหลังเวทีมาหาร่างสูงผู้ที่ทำให้บรรยากาศภายในโรงละครเย็นยะเยือกไปหมด เก้าทัพยืนกอดอกรอฉันนิ่ง ๆ เขาไม่ได้ขยับเขยื้อนไปไหนสักนิด
“พี่มีอะไรหรือเปล่า มายืนจ้องจาแบบนี้ คนอื่นเขาอึดอัดนะ” ฉันมองหน้าคนตัวสูงกว่า เมื่อเช้าอุตส่าห์รีบออกจากห้องไว ๆ เพราะไม่อยากเจอหน้าเขาแท้ ๆ แต่ก็หนีไม่พ้นอยู่ดีสินะ
“เดือนหน้าเอกฉันจะจัดงานแฟชั่นโชว์ เป็นโปรเจคจบของเทอมนี้” เขาพูดเข้าเรื่องด้วยน้ำเสียงเฉยเมยเหมือนทุกที ถ้าพูดถึงงานแฟชั่นโชว์ละก็… คงจะมาสั่งให้ฉันเตรียมตัวเป็นตุ๊กตาลองชุดให้เขาอีกสินะ
“แล้วยังไงคะ เอกพี่มีแฟชั่นโชว์ เอกจาก็มีงานแสดงเหมือนกันนี่”
“ฉันไม่ได้มาบอกเล่า แต่มาสั่งให้เธอเตรียมตัวไว้”
นั่นไง ฉันทายผิดซะที่ไหน
“เตรียมตัวอะไรคะ ถ้าพี่หมายถึงเรื่องให้จาเป็นตุ๊กตาลองชุดให้พี่ และเดินแฟชั่นโชว์ให้พี่ จาคงต้องขอปฏิเสธ” ฉันตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา เงยหน้ามองสบตากับเก้าทัพ สีหน้าไร้ความหวั่นไหวใด ๆ
ฉันบอกแล้วไงว่าฉันจะเปลี่ยนแปลงตัวเองใหม่ จะไม่ยอมให้เขามาบังคับหรือบงการชีวิตฉันอีกแล้ว
“ปฏิเสธงั้นเหรอ?” เก้าทัพขบกรามเล็กน้อย แววตาเย็นชาขึ้นหลายส่วน “ฮึ…”
ร่างสูงขยับเข้ามาใกล้ ก่อนโน้มตัวลงมาช้า ๆ ระยะห่างระหว่างเราลดลงจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจเจือกลิ่นบุหรี่จากเขา เก้าทัพมองสบตากับฉัน รอยยิ้มหยันปรากฏมุมปากหนา
“คิดว่าเธอจะดื้อ… กับฉันได้สักแค่ไหน?”
“…” หัวใจฉันเต้นระรัวขึ้นมา ฉันไม่ได้กลัวเขานะ แต่ปฏิกิริยาร่างกายมันตอบสนองต่อน้ำเสียงเย็น ๆ กับแววตาน่ากลัวของเขาเอง ฉันก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน
“ฉันพูดไว้แล้วว่าจะไม่บังคับเธอ เพราะงั้น… อย่าทำให้ฉันต้องกลับคำพูดซะล่ะ” เขาถอยตัวออกห่าง บนใบหน้ายังคงเย็นชา ทว่ามุมปากยกยิ้ม “เธอน่าจะรู้นะว่าคนอย่างฉัน ทำได้ทุกอย่างอยู่แล้ว”
เก้าทัพก็ยังคงเป็นเก้าทัพจริง ๆ ฉันไม่มีทางเอาชนะคนคนนี้ได้เลยหรือไงนะ
“จาต้องซ้อมละคร ต้องขึ้นแสดง จาไม่มีเวลาหรอกนะ” ฉันพยายามหาเหตุผลอื่นมาแย้ง เพราะรู้ว่าสู้สงครามเย็นกับเขาไม่ไหว
เก้าทัพยิ้มกว้างขึ้น มันเป็นรอยยิ้มของผู้ชนะ น่าหงุดหงิดแฮะ…
“ไม่เห็นเป็นไร ยังไงซะเธอกับฉันก็อยู่ร่วมห้องกันอยู่แล้ว”
ก็จริง… เราอยู่คอนโดเดียวกัน กลับห้องไปก็ต้องเจอหน้ากันอยู่แล้ว จะหาเวลาลองชุด ตัดชุดนั้นไม่ยากเลยสักนิด
โอ๊ย… นี่ฉันหมดหนทางปฏิเสธแล้วใช่ไหมเนี่ย
“อีกอย่าง… สัดส่วนเธอฉันก็รู้ทั้งหมด หลับตาตัดชุดให้เธอใส่ฉันยังทำได้เลย”
ฉันอ้าปากค้าง เงยหน้ามองเก้าทัพที่หลุบตาลง จุดโฟกัสสายตาของเขาปราดลงตั้งแต่หน้าอกไปถึงสะโพกก่อนจะเลื่อนขึ้นมาสบตากันอีกครั้งพร้อมรอยยิ้มร้าย เสียงฮึในลำคอตอกย้ำทิ้งท้ายแล้วหมุนตัวเดินจากไป ทิ้งฉันให้ยืนตัวสั่น กำมือแน่น แทบจะกรี๊ดออกมา
ผู้ชายคนนี้… โคตรน่าโมโหที่สุดในโลกเลย!!
.
.
.
ฉันกลับมาถึงห้องตอนค่ำ ๆ หลังเลิกซ้อมทุกคนชวนกันไปกินปิ้งย่าง ตอนแรกฉันจะปฏิเสธ แต่ถูกลากไปด้วยจนได้ และที่มันน่าแปลกกว่านั้นก็คือพี่ไวน์เองก็ถูกชวนไปด้วยกันซะอย่างนั้น
.
.
Wine : ถึงบ้านหรือยัง พี่ถึงแล้วนะ
.
.
ฉันยิ้ม สายตาอ่านข้อความแชทจากพี่ไวน์ขณะเดินเข้าห้อง ทว่าเดินผ่านห้องรับแขกจะเลี้ยวเข้าห้องนอนตัวเอง ศีรษะกลับชนกึกเข้ากับแผงอกอบอุ่นของใครคนหนึ่ง ฉันหลับตา ถอยหลัง เงยหน้ามอง ในคอนโดนี้นอกจากฉันก็มีแต่เขาเท่านั้นแหละ
“มันเจ็บนะ มายืนทำอะไรหน้าห้องจา” ฉันลูบหัวตัวเองปอย ๆ
เก้าทัพยืนกอดอกพิงประตูห้องนอนฉัน สีหน้านิ่งเรียบหลุบมองโทรศัพท์ในมือฉันก่อนเลื่อนขึ้นมาจ้องตากัน
“คุยกับใคร”