ความรู้สึกนี้อีกแล้ว…
สัมผัสกรุ่นร้อนรุกล้ำเข้ามาในโพรงปากของฉัน ปลายลิ้นร้ายเกี่ยวกระหวัดรัดรึงอย่างดุดัน กลืนกินลมหายใจของฉันไปทีละน้อย ฉันแทบตั้งตัวไม่ทัน หัวสมองอื้ออึง มึนงงกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
นี่มันอะไรกัน… เก้าทัพกำลังจูบฉันงั้นเหรอ?
“อื้อ!” ฉันร้องประท้วงทันทีที่ได้สติกลับมา มือข้างหนึ่งยกขึ้นผลักดันแผงอกแกร่ง ฉันอยากจะทุบเขา อยากข่วนเขา อยากจะสร้างความเจ็บปวดให้เขาหนัก ๆ แต่กลับไร้เรี่ยวแรงอย่างน่าประหลาด ยิ่งฉันพยายามอ้าปากร้องประท้วง ปลายลิ้นร้ายก็ยิ่งรุกล้ำเข้ามาอย่างหนักหน่วงมากขึ้นจนฉันแทบสำลักลมหายใจตัวเอง
ภาพความทรงจำที่ฉันพยายามลบเลือนมันไป ย้อนกลับมาในความคิด ร่างกายฉันเครียดเกร็ง สองตาเบิกกว้าง สั่นสะท้านไปทั้งตัว
“แฮ่ก…” ฉันหอบหายใจทันทีที่ริมฝีปากเป็นอิสระ เก้าทัพขยับใบหน้าออกห่าง หลุบตามองฉันด้วยสายตาเย็นชา
“เธอทำตัวเองนะจา เธอทำฉันโมโห”
พลั่ก
มือเล็กทุบไหล่เขาเต็มแรง ฉันก็โมโหเหมือนกัน โมโหจนจะบ้าตายอยู่แล้ว เขากล้าดียังไงถึงมาจูบฉัน เราเป็นอะไรกันเหรอ แฟนก็ไม่ใช่ คนรักก็ไม่ใช่ แล้วจูบบ้า ๆ นี่มันเกิดขึ้นได้ยังไง? !
“พี่ทำเกินไปแล้วนะ! ทำแบบนี้กับจาทำไม!”
จู่ ๆ น้ำตาโง่ ๆ มันก็ไหลออกมา ฉันพยายามปาดมันทิ้ง สองตาจ้องมองคนสูงกว่าอย่างเอาเรื่อง ริมฝีปากสั่นน้อย ๆ รสชาติเมื่อครู่ยังเจืออยู่ที่ปลายลิ้น ตอกย้ำว่าฉันถูกเก้าทัพจูบอีกแล้ว
ใช่… ฉันใช้คำว่าอีกแล้ว เพราะว่านี่มันไม่ใช่ครั้งแรกยังไงล่ะ!
“ทำไมจะทำไม่ได้ เธอเป็นของฉัน ฉันจะทำยังไงกับเธอก็ได้ ทำมากกว่านี้ก็ยังได้”
นั่นใช่คำตอบที่ควรตอบเหรอ? แล้วคำตอบแบบนั้นมันคืออะไร? ฉันเป็นของเขา? เขาจะทำยังไงกับฉันก็ได้งั้นเหรอ? นี่มันตรรกะบ้าบออะไรกัน ฉันทนไม่ไหวแล้วนะ!
“จาไม่ใช่ของพี่ และจะไม่มีวันเป็นด้วย” ฉันเค้นแต่ละคำออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งและจริงจังอย่างที่สุด คนคนนี้เกินเยียวยาแล้ว ฉันคงต้องพูดให้ชัดเจนสักที “ที่ผ่านมาจายอมพี่ก็เพราะไม่อยากมีปัญหา จาไม่อยากทะเลาะกับพี่ ไม่อยากให้พ่อแม่จาหรือพ่อแม่พี่ต้องคิดมากไม่อยากให้พวกท่านมองหน้ากันไม่ติด จาถึงได้ยอมพี่มาตลอด”
“…” เก้าทัพยืนนิ่งฟัง ดวงตาคมจับจ้องใบหน้าฉันตาไม่กะพริบ เรายืนอยู่ใกล้กันมาก ฉันพิงหลังกับบานประตู ส่วนเขายืนกั้นฉันทุกทาง
“สำหรับพี่ จาคืออะไร ตุ๊กตา? ของเล่น? หรือสิ่งของที่มันไม่มีหัวใจ ไม่มีความคิด ไม่มีความรู้สึกงั้นเหรอ?” คำถามของฉันไร้ซึ่งคำตอบ ฉันแสยะยิ้มสมเพชให้กับตัวเอง ผลักร่างสูงออกเพื่อจะเดินออกมาจากตรงนั้น ทว่าต้นแขนกลับถูกคว้าแล้วกระชากให้กลับไปยืนที่เดิม ฉันเงยหน้ามองเก้าทัพด้วยสองตาแดงก่ำ
ฉันเหนื่อย… เหนื่อยจริง ๆ นะ
“สำหรับฉัน ตุ๊กตาก็คือตุ๊กตา ไร้ความรู้สึก”
ฉันอยากจะขำให้กับคำตอบของเก้าทัพเหลือเกิน ตุ๊กตาก็คือตุ๊กตางั้นเหรอ… น่าบัดซบสิ้นดี!
“จาไม่ใช่ตุ๊กตา จาก็มีความรู้สึก มีหัวใจเหมือนกันนะ” ฉันโต้ตอบเขากลับ ไม่หวังว่าเขาจะเข้าใจหรอก คนอย่างเก้าทัพไม่เคยเข้าใจใครอยู่แล้ว เขามองเห็นแค่ตัวเองเท่านั้น
“ถ้าเธออยากมีความรู้สึกก็บอก เดี๋ยวทำให้ ไม่ต้องแล่นไปให้คนอื่นทำ”
“…”
“อย่าหาทำ เข้าใจป่ะ”
เห็นไหม… เขาไม่เคยเข้าใจอะไรเลย พูดกับคนอย่างเขาไปก็เหนื่อยเปล่า
ฉันสะบัดแขนออก เงยหน้ามองเขา
“คนอย่างพี่ ทำได้ดีแค่บังคับจา”
“…”
“มองจาให้ชัด ๆ สิ ตอนนี้จารู้สึกดีกับพี่แค่ไหนเหรอ?”
ฉันทั้งสะอิดสะเอียน ทั้งอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก แม้แต่หน้าเขา เสียงของเขา ฉันก็ไม่อยากจะเห็นหรือได้ยินแล้ว ฉันอยากเป็นอิสระจากเขามาก ๆ อยากให้เขาปล่อยฉันไปสักที
“เธอพูดอะไร รู้สึกดีแล้วยังไง รู้สึกไม่ดีแล้วยังไง มันไม่ได้สำคัญอะไรกับฉันสักนิด เธอจะคิดอะไร รู้สึกยังไง สุดท้ายเธอก็หนีไปจากฉันไม่พ้นอยู่ดี”
ตรรกะของเขาป่วยเกินเยียวยาจริง ๆ ฉันจะไม่พูดกับเขาอีกต่อไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีกแล้ว
“ออกไป”
“นี่เธอไล่ฉันเหรอจา…”
“ออกไปจากห้องจาเดี๋ยวนี้!” ฉันตวาดเสียงใส่พร้อมเปิดประตูแล้วผลักเก้าทัพออกไปจากห้อง ร่างสูงหันกลับมามองด้วยแววตาน่ากลัวไม่แพ้กัน แต่ฉันไม่แคร์อีกแล้ว “ต่อไปนี้อย่ามาที่ห้องจาอีก ไม่งั้นจาจะฟ้องพ่อกับแม่ ฟ้องป้าขิม ฟ้องลุงเสือ จาจะฟ้องทุกคนเลย!”
ปัง!
พอกันที… ฉันจะย้ายไปจากที่นี่!
.
.
.
สองวันต่อมา
“เรื่องที่จาจะย้ายไปอยู่หอใกล้มอ พ่อกับแม่คิดไว้บ้างหรือยังคะ” ฉันถามขึ้นในตอนเช้าของวันแรกหลังจากพ่อแม่กลับมาบ้านแล้ว ต้องบอกก่อนว่าสองวันที่ผ่านมานี้ฉันหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับเก้าทัพมาตลอด ฉันไปเรียนเอง กลับบ้านเอง และเก้าทัพก็ไม่ได้ไปเฝ้าฉันที่โรงละครเหมือนทุกที นับว่าเป็นเรื่องดีมาก ๆ
“เรื่องนั้น… พ่อกับแม่ปรึกษากันแล้ว เราอนุญาตให้ลูกย้ายออกไปอยู่ข้างนอกได้จ้ะ” แม่เพียวยิ้มใจดี หัวใจฉันเต้นแรงอย่างลิงโลด ราวกับมีปีกผุดออกมาจากกลางหลังก็ไม่ปาน ฉันกำลังจะมีอิสระจากเก้าทัพแล้ว
“แต่ว่าลูกต้องไปอยู่คอนโดที่พ่อแม่จัดเตรียมไว้ให้เท่านั้นนะ”
ว่าไงนะ…