“แล้วยังติดต่อแพรไม่ได้อีกเหรอวะ?”
“อืม ไม่งั้นกูจะมานั่งแดกเหล้าแบบนี้ทำไม กูไม่เข้าใจแพรเลยว่ะ ทั้ง ๆ ที่แต่ก่อนมีเรื่องอะไรแพรก็ไม่เคยปิดบังกูเลย แต่ตอนนี้เหมือนกูไม่รู้อะไรเกี่ยวกับแพรเลย กูอยากจะรู้จริง ๆ ว่าสี่เดือนก่อนหน้านี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมแพรถึงหายไปจากชีวิตกูแบบนั้น แล้วพอเธอกลับมา กูยังต้องมาเจอเรื่องเหี้ย ๆ ที่กูโดนใส่ร้ายอีก”
วิศรุตถอนหายใจยาว ราวกับระบายความอึดอัดในอก เขานึกย้อนกลับไปในตอนนั้น ช่างเป็นจังหวะนรกชัด ๆ วิศรุตรู้ดีว่าสองแม่ลูกวางแผนเอาไว้ก่อนแน่นอน
“เอาเหอะ ไว้ค่อยว่ากันถ้าเจอเธออีกที” ธีรวุฒิพูดพลางลุกขึ้นยืน บิดไหล่เล็กน้อยอย่างเหนื่อยล้า “แต่ตอนนี้กูไม่ไหวละ ขอตัวกลับก่อนล่ะนะ” ธีรวุฒิเอ่ยปากฝากเพื่อนให้บาร์เทนเดอร์ดูแลต่อจากเขา
“มึงก็กลับได้แล้วเหมือนกันนะ แต่ถ้ายังอยากดื่มต่อก็เรียกแท็กซี่ให้ไปส่งที่คอนโดก็แล้วกัน เฮ้ยน้องชาย!! ฝากดูแลเพื่อนพี่หน่อยนะ ถ้าไม่ไหวก็เรียกแท็กซี่เดี๋ยวพี่โอนตังให้เอง”
เด็กหนุ่มผู้ให้บริการหลังเคาน์เตอร์พยักหน้ารับ หลังจากนั้นธีรวุฒิก็เดินออกไปพร้อมกับโทรเรียกแท็กซี่เพื่อให้ไปส่งตัวเองที่บ้าน เขาจอดรถทิ้งไว้ที่นี่โดยไม่คิดว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับเพื่อนของตัวเองอีก
วิศรุตยังคงดื่มต่อและพูดคุยกับบาร์เทนเดอร์หนุ่มเรื่องเขากับคนรัก ทำให้อีกฝ่ายกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ต้องอยู่เป็นเพื่อนเขาจนกระทั่งร้านใกล้ปิด
โดยไม่ทันได้คาดคิดกลับมีชายร่างใหญ่สองคนเข้ามาหิ้วตัวลูกค้าของตนไปต่อหน้าต่อตา
“นะ..นี่มันเกิดเรื่องอะไรกันครับ พวกคุณเป็นใครกัน!!”
เด็กหนุ่มหลังเคาน์เตอร์ร้องถามด้วยน้ำเสียงตกใจ ขณะมองชายแปลกหน้าสองคนที่จู่ ๆ ก็เข้ามารวบตัวเพื่อนของเจ้าของร้าน ที่เพิ่งฝากให้เขาดูแล
“มึงอย่าเสือกไอ้หนู!” หนึ่งในนั้นหันมาตวาดลั่น สีหน้าเหี้ยมเกรียม “พอดีกูอยากคุยกับเพื่อนหน่อย อย่ามาขัดขวางเลย ลุกขึ้นเดี๋ยวนี้นะเว้ย ไอ้หนุ่ม! เรามีเรื่องต้องเคลียร์กัน!” พูดจบมันก็กระชากแขนวิศรุตอย่างแรง ทำให้ร่างกายที่มึนเมาโซเซตามแรงดึงเดินตามออกมานอกร้าน
“เฮ้ย! มึงเป็นใครวะ!!” วิศรุตขืนตัวเต็มที่ แม้สภาพจะไม่พร้อมต่อสู้ แต่สัญชาตญาณป้องกันตัวก็ยังทำงานอยู่ เขาผลักใส่พวกนั้นจนเซถอยหลังไป
แต่ไม่ทันไร หมัดหนึ่งก็พุ่งเข้าใส่ใบหน้าเขาเต็มแรง
“นี่แน่ะ!! หมัดนี้คงช่วยให้มึงยอมตามกูไปดี ๆ ”
"เห้ย!! มึงจะทำร้ายมันไม่ได้นะเขาบอกให้จับตัวไปเฉย ๆ" หนึ่งในนั้นคว้าแขนเพื่อนตัวเองไว้ด้วยสีหน้าหงุดหงิด ขณะที่วิศรุตทรุดตัวลงกับพื้น เลือดไหลซึมจากมุมปาก
"ก็ไอ้นี่มันกวนตีนกูก่อนไง!”
พูดจบมันก็ไม่รอช้า ชายคนนั้นชกเข้าไปที่หน้าของวิศรุตเต็มแรง พวกมันได้รับค่าจ้างมาเพื่อแค่พาตัว ผู้ชายคนนี้ไป แต่เพราะเจ้าตัวดันไม่ยอมง่าย ๆ แถมยังฮึดสู้ทั้งที่กำลังกายไม่พร้อม ถ้าปล่อยให้ยื้อกันแบบนี้ต่อไป มีหวังได้คนแจ้งตำรวจแน่พวกมันก็เลยเลือกที่จะรุมทำร้ายทั้งสองคน
วิศรุตที่ถูกเล่นงานไม่ทันตั้งตัวพอถูกรุมก็ล้มพับลง แต่โชคดียังเป็นของเขาอยู่เมื่อแพรพรรณขับรถมาเจอ เธอจอดรถตะโกนเสียงดังลั่น
“หยุดนะ ปล่อยตัวเขาเดี๋ยวนี้นะ ไม่อย่างนั้นฉันจะโทรหาตำรวจ ช่วยด้วยมีคนถูกทำร้าย!!”
แพรพรรณตะโกนสุดเสียง เธอรีบกดโทรศัพท์ทันทีและโชว์หน้าจอที่กำลังต่อสาย 191 ให้พวกมันเห็น ถึงแม้เธอจะกลัวจนตัวสั่น มือไม้เย็นเฉียบ แต่เธอเข้าไปแบบนี้ไม่ได้แน่ ในตอนนั้นการ์ดของร้านก็วิ่งกรูเข้ามาช่วยพอดี
พวกมันชะงัก ก่อนที่คนหนึ่งจะสบถออกมาด้วยความโมโห
“แส่จริง ๆ นังคนนี้! เอาไว้คราวหน้ากูจะมาคิดบัญชีกับมึงใหม่ให้หน้าอ่อน!! ” พวกมันสบถหลายคำก่อนจะวิ่งหนีไป
ทั้งแพรพรรณและวิศรุตรู้ทันทีว่าใครเป็นคนส่งพวกนั้นมา
โชคดีที่แพรพรรณเพิ่งกลับจากธุระ และถนนเส้นนี้เป็นทางผ่านพอดี พอเห็นร่างสูงใหญ่ของใครบางคนถูกรุมทำร้าย เธอก็ไม่ลังเลแม้แต่วินาทีเดียว ลืมแม้กระทั่งความปลอดภัยของตัวเอง เพราะผู้ชายสองคนนี่ก็น่ากลัว หากพวกมันพกอาวุธมาไม่แคล้วเป็นเธอที่จะต้องอยู่ในอันตราย แต่เรื่องนั้นเธอกลับไม่สนใจเพียงเพราะเห็นว่าใครถูกทำร้าย
“รุต! คุณเป็นอะไรหรือเปล่า ลุกไหวไหมคะ?” เธอคุกเข่าลงข้าง ๆ ใช้มือประคองใบหน้าเขาอย่างเบามือ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความห่วงใย
“แพร...คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงเนี่ย ผมตามหาคุณแทบแย่” เสียงแผ่วของเขาสะท้อนออกมาพร้อมแววตาที่ทั้งเว้าวอนและอ่อนล้า มันทำให้แพรพรรณปวดหนึบในใจ
“อย่าเพิ่งพูดอะไรตอนนี้ค่ะ รีบขึ้นรถก่อนดีกว่า พี่คะ! ช่วยหน่อยค่ะ!”
เธอตะโกนเรียกการ์ดที่อยู่ใกล้ ๆ ให้เข้ามาช่วยพยุงอีกแรง ก่อนจะรีบเปิดประตูรถให้วิศรุตขึ้นไป แล้วพาเขาออกจากที่ตรงนั้นให้เร็วที่สุด ระหว่างทางในรถเงียบสนิทวิศรุตได้แต่มองหญิงคนรักด้วยความคิดถึง แพรพรรณขับมาสักพักก็แวะเข้ามาจอดที่ปั๊ม เพราะเธอรู้สึกขับต่อไม่ไหว เธอยังมือสั่นอยูเลย
“ผมดีใจที่ได้เจอคุณอีกครั้ง อย่าไปไหนอีกเลยนะแพร ผมรักคุณ และอยากมีคุณอยู่ข้าง ๆ ตลอดไป อยู่กับผมนะ” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นก่อนจะดึงเธอเข้ามากอดเอาไว้ หญิงสาวไม่ได้ตอบกลับคำใด ไม่มีคำพูดใดเล็ดลอดจากริมฝีปากของเธอ มีเพียงเสียงสะอื้นเบา ๆ ที่ดังขึ้นแทน ก่อนที่หยาดน้ำตาจะร่วงหล่นลงบนปกเสื้อของเขา ซึมผ่านเนื้อผ้าไปจนเปียกชื้น
วิศรุตไม่พูดอะไร เขาปล่อยให้เธอร้องไห้ ระบายความอัดอั้นจนพอใจ
เขาไม่รู้หรอกว่าการที่เธอหายไปนั้นเธอเจอเรื่องอะไรมาบ้าง แต่คิดว่าคงไม่ใช่เรื่องดี แล้วยังมีเรื่องศศิเข้ามาเป็นตัวก่อชนวนในใจของเธออีก ไม่ต้องพูดถึงแม่เลี้ยงของเธอ รายนั้นร้ายกาจเพียงใดทำไมเขาจะไม่รู้ เมื่อเสียงสะอื้นค่อย ๆ จางลง วิศรุตก็ค่อย ๆ ดันตัวเธอออกจากอก มือหน้ายกขึ้นปาดน้ำตาที่แก้มแดงระเรื่อด้วยความอ่อนโยน จากนั้นก็ก้มลงจูบแผ่วเบาลงบนแก้มข้างนั้น ราวกับจะปลอบโยน
แววตาของเขาเศร้าหมอง ในยามที่เห็นคนรักบอบช้ำถึงเพียงนี้
“ไปครับ เดี๋ยวผมขับรถให้”
เมื่อสลับที่นั่งกันเสร็จเรียบร้อย เคลื่อนก็เคลื่อนตัวออกไปช้า ๆ ก่อนจะถูกเร่งเครื่องยนต์ให้เร็วขึ้นกว่าเดิม เมื่อถนนเริ่มไม่มีรถราสัญจรไปมา แพรพรรณไม่รู้หรอกว่าเขาจะพาเธอไปที่ไหน เธอเพียงนั่งสงบอารมณ์ เรื่องราววุ่นวายยังไม่จบแค่นี้แน่ ไหนจะเรื่องที่เธอท้องอีก ตอนนี้เธอเองก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน ที่สำคัญสองแม่ลูกนั่นไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ แน่
ในขณะที่แพรพรรณจมดิ่งอยู่กับความคิดของตัวเอง จู่ ๆ คนข้างกายก็พูดขึ้น
“ผมไม่เข้าใจเลยแพร คนในบ้านคุณทำไมถึงได้ใจร้ายกันขนาดนั้น?” น้ำเสียงของวิศรุตเต็มไปด้วยความไม่พอใจ “คุณเป็นลูกสาวคนโตนะ! แล้วคุณก็โตแล้วด้วย จะไปยอมให้แม่เลี้ยงกับน้องสาวกดหัวอยู่ทำไมกัน”
เขาขบกรามแน่นด้วยความคับข้องใจ ยิ่งได้รู้เรื่องราวมากเท่าไร เขาก็ยิ่งเจ็บใจแทนเธอมากเท่านั้น
แพรพรรณหลุบตาลงต่ำ มือสองข้างบีบกันแน่น
“รุตคะ คุณไม่เข้าใจหรอกค่ะ ถึงแพรจะพูดไปมันก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรขึ้นอีก แพรเป็นคนที่ครอบครัวไม่ต้องการอยู่แล้วตั้งแต่แม่เสียไปคราวนั้น”
แพรพรรณพยายามกลั้นน้ำตาและไม่อยากย้อนคิดถึงเรื่องเดิม ซ้ำ ๆ เธออยู่ในบ้านไม่ได้มีสิทธิ์มีปากเสียงอะไรทั้งนั้น ยอมให้สองแม่ลูกพวกนั้นกดขี่มาโดยตลอด แต่ที่เธอไม่อยากออกไปเพราะเธอเองก็รักพ่อ พ่อคือคนเดียวที่ฉุดรั้งให้เธออยู่ ยังไงเขาก็เป็นผู้ให้กำเนิดถึงแม้บางครั้งการกระทำของเขาจะถือว่าลำเอียงก็ตาม
แต่เธอไม่อยากอกตัญญู อย่างน้อยเขาก็ส่งเสียเธอเรียนจนจบ มีที่อยู่ที่กิน ยิ่งคิดเรื่องราวในอดีตหญิงสาวก็ยิ่งจมดิ่งไปกับความรู้สึกที่อัดอั้น น้ำตาที่เหือดแห้งกลับไหลออกมาอีกครั้ง วิศรุตที่เห็นหญิงสาวร้องไห้ ก็โทษตัวเอง หากเขาไม่เอ่ยถึงครอบครัว เธอก็คงไม่ร้อง
“ขอโทษนะแพร คุณอย่าร้องเลยนะ เช็ดน้ำตาก่อนนะครับ” เขายื่นผ้าเช็ดหน้าให้พลางโทษตัวเองในใจที่เอ่ยเรื่องครอบครัวของเธอออกมา
แพรพรรณรับผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดน้ำตาอย่างเงียบ ๆ
“ผมเข้าใจ แต่ขอร้องคุณได้ไหม ต่อจากนี้เลิกยุ่งกับบ้านนั้นเถอะนะ แล้วก็ย้ายมาอยู่กับผม”