บทที่ 4 ค่าตัวห้าร้อยเอง

1804 Words
แทนที่ภูวิศจะได้เข้าไปในงานกลับต้องมานั่งเลี้ยงเด็กกินจุอยู่ในห้องอาหารของโรงแรม ภาพตรงหน้าทำให้เขาแอบอมยิ้ม เพราะเจ้าป่ากินไก่ทอดจนเลอะปาก มือซ้ายถือน่องไก่ มือขวาถือพิซซา “ชื่ออะไรนะเรา แนะนำตัวให้ลุงรู้จักหน่อยสิ” ทั้งที่รู้อยู่แล้วแต่ก็ยังอยากถาม ภูวิศจ้องมองใบหน้าของเจ้าป่าแล้วอดคิดถึงหลานๆ ของตนเองไม่ได้ ว่าไปแล้วเจ้าป่าก็แอบคล้ายกับพี่มาดี้และน้องพอดี้เหมือนกัน ก็แน่สิ ในเมื่อเขากับพ่อของสองแสบเป็นลูกพี่ลูกน้องที่มีใบหน้าคล้ายกัน ส่วนเด็กสองคนนั้นเกิดมาหน้าเหมือนพ่อเปี๊ยบ “ไม่คุยกับคนแปกหน้าหยอก” ไม่อยากคุยกับเขาแต่กินของที่เขาซื้ออย่างเอร็ดอร่อยทำให้ภูวิศหลุดขำออกมาด้วยความเอ็นดู เด็กอะไรก็ไม่รู้น่าจับมาตีก้นจริงๆ “แต่เรารู้จักกันแล้ว ไม่ใช่คนแปลกหน้าหรอกจริงไหม” คำพูดของภูวิศเริ่มทำให้เจ้าป่าไขว้เขว ดวงตากลมโตจับจ้องใบหน้าผู้ชายที่นั่งตรงหน้าไม่วางตา ก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วย ในเมื่อรู้จักกันแล้วก็ย่อมไม่ใช่คนแปลกหน้า เจ้าหมูก้อนตัวแน่นจึงละทิ้งความระแวง จากนั้นก็แนะนำตัวอย่างเป็นทางการ หลังจากที่เคี้ยวเนื้อไก่ทอดลงคอเรียบร้อย “เจ้าป่าชื่อเด็กชายเจ้าป่า” เสียงเล็กๆ ตอบก่อนจะยัดพิซซาเข้าไปในปากแล้วเคี้ยวตุ้ยๆ พนักงานที่เดินผ่านไปผ่านมาเห็นแล้วยังยิ้มให้เด็กน้อย ที่ถืออาหารเอาไว้ทั้งสองมือเหมือนกลัวใครจะแย่งไป ภูวิศจึงถามต่อด้วยความอยากรู้ “เจ้าป่าอายุกี่ขวบแล้วครับ” ทว่าเด็กกำลังเคี้ยวพิซซากลับส่ายหน้าไม่ยอมตอบพร้อมกับเอามือชี้ที่ปาก ประมาณว่าตนเองกำลังกินอยู่พูดไม่ได้หรอก กระทั่งเคี้ยวเสร็จและกลืนอาหารเรียบร้อยถึงได้อ้าปากบอก “กินอยู่ห้ามพูด มี้บอกนิฉัยไม่ดี” คนแก่ผมดำถูกเด็กสอนไปหนึ่งยก ภูวิศอึ้งไปเล็กน้อยก่อนจะหัวเราะออกมาด้วยความชอบใจ ไอ้เด็กคนนี้แสบและซ่าจริงๆ “ในปากไม่มีอะไรแล้ว ตอบมาได้ยัง เราอายุกี่ขวบแล้ว” “อายุฉองขวบ” นิ้วเล็กที่ชูขึ้นมาตามจำนวนอายุทำให้ภูวิศรู้สึกทึ่ง เจ้าเด็กนี่โคตรฉลาดเลย พูดก็เก่งแถมยังรู้จักเลขด้วย “ไม่น่าจะสองขวบแล้วมั้ง โตขนาดนี้ พูดก็เก่ง” เขาหรี่ตามองอย่างไม่อยากเชื่อ แต่คิดว่าอาจจะเป็นไปได้เพราะเด็กสมัยนี้โตเร็วมาก แถมยังฉลาดอีกต่างหาก “จีงงง ฉองขวบ ฉองเดือน” คราวนี้เจ้าหนูชูสองนิ้วทั้งมือซ้ายและมือขวาเพื่อยืนยันว่าตนเองนั้นอายุตามที่บอก จริงๆ แล้วเจ้าป่าอายุสองขวบแปดเดือน ปีหน้าก็จะเข้าไปเรียนชั้นอนุบาลหนึ่ง ภูวิศพยักหน้าเข้าใจก่อนจะถามต่ออีก “แล้วเจ้าป่าเรียนอยู่ที่ไหนครับ” “ที่ตึกคับ” “ฮ่าๆๆๆ ก็ไม่ผิด” คนแก่กว่าหลายสิบปีขำก๊ากกับคำตอบ ในขณะที่คนถูกถามกลับไปตั้งหน้าตั้งตากินไก่ที่เหลือต่อ ด้วยความที่เป็นเด็กมีน้ำใจเจ้าตัวจึงยื่นของกินไปให้คนตรงหน้า “ยุงกินไหมเจ้าป่าแบ่งอันนี้ เจ้าป่าไม่งก” “แบ่งกระดูกอะนะ ลุงเป็นคนไม่ใช่หมา” ถึงจะบอกแบบนั้นแต่ภูวิศก็ยอมยื่นมือไปรับไก่จากเจ้าป่ามากิน แม้ว่าเนื้อไก่จะเหลืออยู่น้อยนิดแต่ก็ยังกินได้ สองคนกินปีกไก่ทอดในจานจนไม่เหลือ เด็กชายเจ้าป่าเหมือนจะอยากกินอีกกำลังจะอ้าปากบอกแต่รู้สึกเจ็บตรงคอจึงอุทานออกมา “โอ๊ยเจ็บ มี้คับเจ้าป่าหามี้ ต้องเอายาทา” รู้ด้วยว่าเจ็บแล้วต้องหายามาทา เด็กฉลาดมองซ้ายมองขวาเพื่อหาแม่แต่ไม่เจอ “เจ็บตรงไหน เจ็บอะไร ไหนลุงขอดูหน่อย” “ตงนี้คับ มี้อยู่ไหนเจ้าป่าหามี้” “เดี๋ยวมี้มา เจ้าป่าให้ลุงดูหน่อยครับ” เด็กชายเจ้าป่าเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะให้ภูวิศดูตรงจุดที่ตนเองรู้สึกเจ็บ ชายหนุ่มถึงกับหัวร้อนเมื่อเห็นรอยขีดข่วนเป็นทางยาวบริเวณลำคอ จำเรื่องที่ผู้หญิงคนนั้นพูดได้ขึ้นมาทันที เจ้าป่าทะเลาะกับเด็กที่ชื่อกำปั้น ทางครอบครัวของฝ่ายนั้นจะเอาค่าทำขวัญกับค่ารักษา ลูกตัวเองทำผิดก่อนยังมีหน้าจะมาเรียกร้องค่าเสียหายจากลูกคนอื่นอีก “เจ็บมากไหมครับ คอแดงเลย” “เจ็บมากคับ เจ้าป่าหามี้” “เดี๋ยวมี้ก็มาครับ รอหน่อยนะ” “เจ้าป่าหามี้ มี้คับ” หากแต่ไม่ทันที่ชายหนุ่มจะเอ่ยคำใด มารดาของเด็กอ้วนก็ปรากฏตัว กระปุกเลิกงานเสร็จก็รีบเดินมาหาทั้งสองคน เธอเห็นเขากำลังลูบบริเวณต้นคอของลูกชายจึงรีบเข้าไปดูด้วยความเป็นห่วง “เกิดอะไรขึ้นคะ มองอะไรอยู่เหรอคุณ” “เจ้าป่าบาดเจ็บน่ะ” “น้องเจ็บตรงไหนลูก มาให้มี้ดูหน่อยครับ” “ตรงคอเป็นรอยแดงยาวเลยคุณ น่าจะโดนข่วน ผมว่าพาไปหาหมอดีกว่า” เขาบอกด้วยน้ำเสียงกังวลกลัวเด็กตรงหน้าจะเป็นอะไรไป ถึงแผลจะไม่ได้หนักมากแต่ไม่อยากไว้ใจ แต่คนเจ็บกลับส่ายหน้าพรืดเมื่อได้ยินคำว่าหมอ “ไม่เอา ไม่ไปคับ เจ้าป่าไม่ชอบหมอ” เด็กไม่ชอบโรงพยาบาลส่ายหน้าเป็นพัลวัน ในหัวมีแต่ภาพเข็มฉีดยา ดวงตากลมโตเริ่มมีน้ำใสคลอหน่วยบ่งบอกว่ากลัวจริงๆ “ครับ ไม่ไปก็ไม่ไปไม่ต้องกลัว” กระปุกกอดปลอบหลังจากสำรวจบาดแผล เธอคิดว่าแผลเล็กน้อยไม่จำเป็นต้องไปหาหมอ แค่ทายาก็พอแล้ว จากนั้นก็คอยดูอาการหากยังไม่หายค่อยพาไปโรงพยาบาล “ถ้าไม่ไปเกิดติดเชื้อขึ้นมาจะทำยังไงคุณ ลูกยังเล็กอยู่นะ” ภูวิศเอ่ยด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด จ้องหน้ากระปุกด้วยสายตาไม่พอใจ ถ้าเป็นเขาไม่มีทางตามใจลูกแบบนี้หรอก เขาต้องพาลูกไปหาหมอเท่านั้นเพื่อความสบายใจ “แค่นี้ไม่เป็นไรหรอกค่ะ กลับไปทายาก็พอแล้ว” “เฮ้อ แค่ทายาจะหายจริงเหรอคุณ ไปโรงพยาบาลดีกว่า” “ทายาก็พอค่ะ ไม่ต้องไปหรอกโรงพยาบาล ใช่ไหมครับลูก” “คับมี้ เจ้าป่าไม่ไปโยงบาล ไม่เอาหมอจะอยู่กับมี้คับ” เด็กขี้อ้อนเอาหน้าไปถูไถกับแขนของมารดา ดวงตายังคงมีน้ำใสเคลือบคลอ หากแม่ยังบอกว่าจะพาไปโรงพยาบาลเจ้าป่าก็พร้อมที่จะแหกปากร้องไห้ทันที “มี้ก็จะอยู่กับเจ้าป่าครับ เรากลับกันเถอะ ไม่รู้ตอนนี้ทางพ่อแม่กำปั้นจะว่ายังไง” “อย่าไปยอมสิคุณ เด็กคนนั้นมาว่าลูกของเราก่อนนะ” “ลูกของเรา คุณรู้ได้ยังไงว่าเจ้าป่าเป็นลูกคุณ” “เพราะผมฉลาดไงคุณ เจ้าป่าหน้าคล้ายผมขนาดนี้คงเป็นลูกของคนอื่นหรอก” ชายหนุ่มยิ้มอย่างชอบใจเมื่อเห็นหญิงสาวหน้าเจื่อน กระปุกไม่มีอะไรจะแก้ตัวเพราะมันคือความจริงทุกอย่าง เจ้าป่าคือลูกชายของภูวิศ “ฉันยังไม่พร้อมคุยเรื่องนี้ ฉันกับลูกขอตัวก่อน” “คุณกลับยังไง ขับรถมาเหรอ แล้วรถจอดอยู่ชั้นไหน” “นั่งยดเมคับยุง เจ้าป่าชอบยดเม” แต่แม่ไม่ชอบเลยลูก หญิงสาวโอดครวญในใจก่อนจะส่งยิ้มให้ชายหนุ่มที่กำลังขมวดคิ้วคล้ายจะไม่เชื่อว่าเธอจะพาลูกชายกลับด้วยรถเมล์ ครู่เดียวสามคนพ่อแม่ลูกก็มายืนอยู่ตรงหน้าป้ายรถเมล์ที่เต็มไปด้วยผู้คน เพราะเป็นเวลาของการเลิกงานพอดี “ยดเมคับจอดก่อน เจ้าป่าไปด้วยคับ” “คนเยอะขนาดนี้จะไปยังไงคุณ” “ก็ต้องรอให้คนน้อยๆ หน่อยแล้วค่อยขึ้น” “ยดเมคับจอดหน่อย เจ้าป่าไปด้วย” เจ้าตัวยุงที่โดนคุณพ่ออุ้มทำมือโบกรถเมล์เลียนแบบผู้ใหญ่ ถึงแม้รถจะจอดแต่ก็ก้าวขาขึ้นไปไม่ได้เพราะจำนวนคนที่แออัดยิ่งกว่าปลากระป๋อง ภูวิศเงยหน้ามองท้องฟ้า เห็นกลุ่มก้อนของเมฆจึงตัดสินใจยกโทรศัพท์ออกมา แล้วบอกคนขับรถให้มารับตนเองที่หน้าป้ายรถเมล์ คราแรกกระปุกอิดออดแต่ฝนเริ่มลงเม็ด เมื่อรถของภูวิศมาถึงจึงกระโดดขึ้นไปอย่างไม่ลังเล “โดนฝนแบบนี้เจ้าป่าจะป่วยไหมคุณ” “ไม่ป่วยหยอกน่า เจ้าป่าแข็งแยงมากเยย” “พูดเพราะๆ ครับลูก เป็นเด็กต้องพูดมีหางเสียง” “คับมี้ เจ้าป่าง่วงแย้ว หาว” อยู่ๆ แบตก็อ่อนขึ้นมา เด็กน้อยค่อยๆ ซบลงบนอกแม่จากนั้นก็ผล็อยหลับไป ภูวิศเห็นว่าอีกนานกว่ารถจะขับไปถึงที่พักของทั้งสองจึงตัดสินใจช้อนตัวเด็กอ้วนมานอนบนตักของตนเอง “แกหนักนะคะคุณจะอุ้มไหวเหรอ” “หนักแค่นี้ไม่มีปัญหาหรอก ผมออกกำลังกายบ่อย” “ขอบคุณนะคะที่มาส่งเราสองคน” “คุณท้องแล้วทำไมไม่บอกผม” “ฉันไม่รู้ว่าคุณคือใคร ฉันไม่รู้จักคุณ” “ฮะ! คุณชวนผมขึ้นเตียงทั้งที่ไม่รู้ว่าผมคือใคร” “ค่ะ ฉันเข้าใจว่าคุณเป็นเอ่อ...เป็น” “เป็นอะไร เป็นใคร” “ผู้ชายขายตัว” เกิดความเงียบขึ้นมาระหว่างสองหนุ่มสาวหลังจากกระปุกเอ่ยจบ ภูวิศถึงกับพูดไม่ออกเมื่อคิดถึงเหตุการณ์ของเช้าวันต่อมา เธอจากไปก่อนที่เขาจะตื่นและได้ทิ้งเงินเอาไว้ห้าร้อยบาท ขอย้ำ ห้าร้อยบาทถ้วน ค่าตัวของเขามีค่าแค่นี้เองเหรอ “ตัวผมมีค่าแค่ห้าร้อยเองเหรอคุณ ทำไมมันน้อยจัง” เขาไม่อยากจะเชื่อเลย ชายหนุ่มกะพริบตาปริบๆ ราวกับน้อยใจ เมื่อนึกถึงแบงก์สีม่วงใบนั้น “ก็ฉันไม่มีเงิน ทั้งเนื้อทั้งตัวมีอยู่พันเดียวเองค่ะ ฉันแบ่งให้คุณห้าร้อย เก็บไว้เองห้าร้อย” “แล้วทำไมถึงอยากนอนกับผม” “ก็เพราะฉัน...”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD