ภูวิศยังไม่ทันจะได้คำตอบก็ต้องทำหน้ามุ่ย เพราะโทรศัพท์ของกระปุกดังขึ้นมาขัดจังหวะบทสนทนาเสียก่อน เขาเห็นชื่อบนหน้าจอถูกบันทึกไว้ว่า พี่ขุนเขา พลันคำถามก็ผุดขึ้นมาในใจ หรือแม่ของเจ้าป่าจะมีแฟนแล้ว
“ว่าไงคะพี่ขุน” เธอทักทายเสียงหวานในขณะที่ดวงตาจ้องมองไปยังนอกหน้าต่างของตัวรถจึงไม่ทันได้เห็นแววตาใคร่รู้ของภูวิศ
ถึงตาจะไม่ได้มองตรงๆ แต่หูกลับเงี่ยฟังอยู่ตลอด ชายหนุ่มไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าตอนนี้ตนเองทำตัวประหนึ่งลุงข้างบ้าน
“พี่กำลังออกเวร ว่าจะแวะไปหากระปุกกับลูก” นายแพทย์หนุ่มสุดหล่อที่เคยช่วยเหลือกระปุกเมื่อหลายปีก่อนอมยิ้มเล็กน้อย หลังจากได้ยินเสียงผู้หญิงที่ตนเองแอบชอบ
เขาไม่ได้เจอสองแม่ลูกหลายวันแล้ว คิดว่าวันนี้หลังออกเวรจะแวะไปทักทายพร้อมกับเอาของฝากไปให้เจ้าเด็กหวงแม่ แค่คิดถึงใบหน้าของเจ้าป่าเขาก็อยากจะหัวเราะออกมา สาเหตุหนึ่งที่กระปุกมีแฟนไม่ได้ก็เป็นเพราะเจ้าลูกชายตัวป่วน
“วันนี้หนูไม่ค่อยสะดวกค่ะ คือเจ้าป่าหลับไปแล้ว”
“เหรอครับ งั้นพี่ค่อยไปหาวันหลังก็ได้”
“ค่ะ แล้วมีอะไรอีกไหมคะ ถ้าไม่มีหนูจะขอวางสายก่อน”
“อย่าลืมพาเจ้าป่ามาฉีดวัคซีนด้วยนะ”
“เรื่องนี้หนูไม่ลืมแน่นอนค่ะ”
หญิงสาวคุยกับผู้ชายที่ชื่อขุนเขาอีกสองสามประโยคก็ขอวางสาย ทว่าเธอยังไม่ทันจะหันไปคุยกับภูวิศก็ต้องรับโทรศัพท์อีกครั้ง
คราวนี้เป็นมารดาของกำปั้นที่โทรมาทวงเงินค่าทำขวัญกับค่ารักษาพยาบาล คนไม่ค่อยมีเงินถึงกับหน้าซีดหลังจากได้ยินยอดตัวเลขที่ทางนั้นเรียกร้องมา จึงได้แต่บอกว่าอีกไม่นานจะถึงหอพักแล้วค่อยไปเคลียร์กันที่ห้อง ตอนนี้เธอไม่สะดวกคุย
“มีอะไรคุณทำไมหน้าซีดแบบนั้น” ชายหนุ่มเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย หลังจากหันมามองหน้าหญิงสาว เขาเห็นเธอกำมือแน่นก็อยากรู้ว่าเกิดอะไรร้ายแรงหรือเปล่า
กระปุกลังเลใจเล็กน้อย ไม่รู้สมควรบอกดีไหม แต่สุดท้ายก็ยอมพูดเพราะคิดว่าอย่างไรเสียภูวิศก็คือพ่อของลูก
“พ่อแม่ของกำปั้นจะเอาเงินสองหมื่นค่ะ”
“แล้วคุณจะให้พวกเขาเหรอ”
“ฉันจะเอาเงินที่ไหนให้ล่ะคะ ตอนนี้มีอยู่ในบัญชีสองพันเอง”
พูดเรื่องเงินแล้วช้ำใจ เงินที่มีอยู่ตอนนี้ต้องอดออมไว้ใช้ไปจนกว่าจะหมดเดือนเท่านั้น
เธอคำนวณแล้วถ้ากินอยู่อย่างประหยัดก็จะพอดีกับที่เงินเดือนออก แต่ถึงเงินเดือนจะออกก็ไม่มีปัญญาจ่ายสองผัวเมียคู่นั้นอยู่ดี สองหมื่นนะ ไม่ใช่สองร้อย
“สองพัน! ทำไมน้อยจัง แล้วคุณกับลูกใช้ชีวิตยังไง”
คนไม่เคยจนถึงกับอุทานด้วยน้ำเสียงตกใจ เงินแค่นี้สำหรับคนอย่างเขาใช้วันเดียวยังไม่พอเลย
“ก็ใช้เท่าที่มี เดี๋ยวอีกไม่กี่วันเงินเดือนก็ออกค่ะ”
พนักงานกินเงินเดือนถอนหายใจออกมาเล็กน้อย เมื่อคิดถึงยอดเงินหลังจากหักลบกลบหนี้ ไหนจะค่าห้อง ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่ากิน ค่าใช้จ่ายของลูกชายรวมๆ แล้วทำให้เธอแทบจะไม่มีเงินเก็บ
ภูวิศถึงกับพูดไม่ออก ใจอยากจะเอ่ยปากถามแม่ของลูกว่าจะเอาเงินของเขาไว้ใช้จ่ายก่อนไหม แต่กลัวเธอจะคิดว่าเขาดูถูก ประจวบเหมาะกับที่รถมาจอดตรงหน้าปากทางเข้าซอยพอดี
“ถึงแล้ว แต่รถขับเข้าไปไม่ได้ใช่ไหมคุณ” เขามองเข้าไปในซอยแคบๆ ที่ดูแล้วรถสี่ประตูน่าจะขับเข้าไปไม่ได้
“ค่ะ ซอยนี้ต้องเดินหรือใช้รถมอเตอร์ไซค์เท่านั้น”
“งั้นผมอุ้มลูกไปส่งเอง ส่วนคุณนำทางก็พอ”
“คุณอุ้มไหวไหมคะ ถ้าไม่ไหวเดี๋ยวฉันอุ้มเอง”
“ผู้หญิงตัวเล็กอย่างคุณยังอุ้มไหว แล้วทำไมผู้ชายตัวใหญ่อย่างผมจะอุ้มไม่ไหว”
“งั้นก็ฝากด้วยค่ะ แต่อย่าให้ตื่นเด็ดขาด”
“ทำไม เจ้าป่างอแงเหรอ”
“ค่ะ ร้องไห้จ้าเลยถ้านอนไม่พอ”
“โอเคครับ ไม่ต้องห่วง”
ก่อนลงจากรถเขาได้ถอดเสื้อสูทแล้วใช้คลุมตัวเด็กหลับปุ๋ยเอาไว้ เพื่อไม่ให้ถูกปรอยฝนที่กำลังลงเม็ดแต่ยังตกไม่หนักมาก
“ตามมาค่ะ ต้องเดินไกลหน่อยนะคะ” กระปุกรีบเดินนำภูวิศไปยังหอพักซึ่งอยู่ท้ายซอย หนทางแคบไม่พอยังมีสิ่งกีดขวางอีก สองหนุ่มสาวเดินมาสักพักก็ถึง ทว่าหอพักตรงหน้าทำให้คนเกิดมารวยถึงกับอยากยกมือขึ้นมาขยี้ตา
“คุณอยู่ที่นี่จริงเหรอ” คนเกิดมาบ้านรวยจ้องมองอาคารตรงหน้าด้วยความรู้สึกสยอง ขนกายลุกพรึบโดยอัตโนมัติ แน่ใจใช่ไหมว่าหอพักนี้ไม่มีผีหรือสิ่งลี้ลับแอบแฝง
“ค่ะ นี่แหละหอที่ฉันเช่า” เธออายเหมือนกันหลังจากเห็นสายตาเขาที่กำลังจ้องมองตึกตรงหน้า แต่ทำอย่างไรได้ในเมื่อเงินเดือนน้อยก็ต้องหาห้องที่ประหยัดอยู่อาศัย
“ถามจริงเถอะคุณ มันอยู่ได้เหรอ”
“อยู่ได้ค่ะ มีคนอยู่เยอะแยะ”
“ทำไมมันดูเก่าแล้วก็โทรมแบบนี้ล่ะ” เขาถามอีกครั้งหลังจากมายืนอยู่ตรงหน้าบันไดที่เอาไว้เดินขึ้นไปยังชั้นอื่นๆ ดวงตายังคอยมองซ้ายมองขวาอย่างหวาดระแวง
“ก็หอมันเก่า จริงๆ ไม่มีอะไรหรอก”
“ไม่มีจริงสิ ผมขนลุกแล้วคุณ”
“คิดมาก ไปค่ะเราต้องเดินขึ้นอีกสี่ชั้น”
“ไม่มีลิฟต์?”
“ไม่มี”
“คุณอยู่ชั้นไหน”
“ห้าค่ะ”
“ห้าเลย!”
“ค่ะ” หญิงสาวยิ้มให้เล็กน้อยก่อนจะก้าวขาขึ้นบันไดโดยมีชายหนุ่มเดินตามหลังมาติดๆ กระทั่งเดินมาถึงห้องซึ่งอยู่เกือบริมสุดของชั้น บรรยากาศดูวังเวงมากจนภูวิศนึกกลัว
“ชั้นนี้อยู่กันกี่ห้องเหรอคุณ ทำไมเงียบจัง”
“น่าจะไม่เกินสี่ ส่วนใหญ่อยู่ชั้นล่าง”
“แล้วทำไมคุณถึงมาอยู่ชั้นนี้”
“เป็นชั้นที่ค่าเช่าถูกสุด เข้าห้องเถอะค่ะ ยุงเยอะ”
กระปุกแง้มประตูออกเล็กน้อยเพราะกลัวยุงจะบินตามเข้ามา ก่อนจะปิดอย่างเบามือเมื่อภูวิศก้าวเข้ามายืนอยู่ในห้องเรียบร้อย
ดวงตาของเขาเบิกกว้างอีกครั้ง หลังจากเห็นความคับแคบของห้องที่ดูอย่างไรก็ไม่น่าจะอยู่ได้ พูดตามตรงห้องน้ำของเขายังใหญ่กว่าห้องนอนของเธออีก
“คุณวางเจ้าป่าไว้บนเตียงได้เลยค่ะ”
“สภาพแบบนี้เขาไม่เรียกว่าเตียง”
ถึงปากจะบ่นแต่ก็ยอมวางเด็กหลับเพราะเริ่มเมื่อยบ่า หลังจากวางเสร็จแทนที่เขาจะออกจากห้องกลับเดินไปสำรวจหลังห้องด้วยความอยากรู้อยากเห็น ตามประสาคนไม่เคยเห็น
หญิงสาวรู้สึกขัดเขินไม่น้อยกับสายตาของชายหนุ่มที่กำลังไล่มองไปรอบห้อง แม้ว่าห้องจะเล็กแต่เธอรักษาความสะอาดได้เป็นอย่างดี ข้าวของทุกอย่างถูกจัดวางไว้เป็นระเบียบเรียบร้อยแบ่งโซนอย่างชัดเจน
“ขอบคุณมากค่ะที่มาส่งเราสองคน ฉันไม่ต้องลงไปส่งคุณใช่ไหมคะ คุณเดินออกไปหน้าปากซอยได้ใช่ไหม”
“ออกไปได้ครับ คุณไม่ต้องออกไปส่งผมหรอก คุณอยู่กับลูกเถอะ แต่คุณแน่ใจนะว่าที่นี่ปลอดภัย”
“ปลอดภัยค่ะ ส่วนใหญ่มีแต่คนทำงาน ไปเช้าเย็นกลับ”
“แล้วทำไมคุณไม่เลือกหอพักที่ดีกว่านี้ ผมว่ามันไม่ค่อยโอเค”
“ฉันทำงานเงินเดือนไม่ถึงหมื่นห้า เลือกมากไม่ได้หรอก”
เกิดมาเป็นคนจนจะให้เลือกอะไรมากมาย เรียนหนังสือจบชั้นปริญญาตรีได้ก็บุญแล้ว
กระปุกคิดในใจก่อนจะหันไปมองทางประตูเพราะมีคนมาเคาะพร้อมกับเรียกชื่อเธอ
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“น้องปุกจ๋า เฮียสันเอาขนมมาฝากจ้า”
“เฮ้อ วันๆ พันกว่าเรื่องชีวิตนังกระปุก”
“น้องปุกจ๋า น้องปุก”
“ใครเหรอคุณ เขามาจีบคุณเหรอ”
“ผัวเจ้าของหอค่ะ แต่นิสัยเจ้าชู้มาก จีบหมดไม่สนเมียใคร พอเมียตัวเองไม่อยู่ก็เป็นแบบนี้แหละ” เอ่ยจบเธอก็เดินไปเปิดประตู เห็นสันติกำลังยิ้มหน้าบาน ในมือถือขนมถุงใหญ่เอาไว้
“สวัสดีค่ะเฮียส้นตีน เอ๊ย เฮียสันติ”
ใจอยากจะด่าให้รู้แล้วรู้รอดแต่ไม่อยากมีปัญหาจึงยกมือขึ้นมาไหว้ หากแต่สันติกลับสนใจผู้ชายตัวใหญ่ที่ยืนอยู่ข้างหลังหญิงสาวมากกว่า
“ผู้ชายคนนั้นคือใครเหรอจ๊ะน้องปุกของพี่สัน” อยากจะอ้วกพูดมาได้ว่าเธอเป็นของมัน กระปุกเม้มปากแน่นขณะบอกตัวเองอย่าปรี๊ดแตกเด็ดขาด เธอยิ้มในใจหลังจากคิดแผนการบางอย่างออก จากนั้นก็ชี้ไปยังภูวิศ
“ผู้ชายหล่อคนนี้น่ะเหรอคะ”
“ใช่จ้ะ ใครเหรอ พี่ชายของน้องปุกใช่ไหม”
“ใช่ที่ไหนกันล่ะคะ หน้าตาเราไม่เหมือนกันเลย”
“แล้วเขาเป็นใคร” สันติจ้องมองภูวิศไม่วางตา ตัวสูงไม่พอยังหล่ออีกต่างหาก กระปุกจึงเดินเข้าไปหาพ่อของเจ้าป่า ก่อนจะยกมือขึ้นมาคล้องแขน จากนั้นก็หันมามองสันติอีกครั้ง
“ผู้ชายคนนี้คือผัวหนูเองค่ะเฮียสัน”
“อะไรนะ! ไม่จริงเฮียสันไม่เชื่อ”
“จริงค่ะ ดูปากนะคะ ผัว-ของ-กระปุก”
“สวัสดีครับผมชื่อภูวิศ เป็นผัว-ของ-กระปุก”