@หอเจ๊แต๋ว
ฉันนั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ไอ้ลินจากมอมาที่หอใช้เวลาแค่ 5 นาทีเท่านั้น เมื่อขึ้นมาถึงหน้าห้องจู่ๆไอ้ลินมันก็เริ่มป๊อด
“ไหนบอกอยากพิสูจน์ความจริงไง”
“ก็ฉันกลัวนี่หว่า งั้นฉันเชื่อแล้วก็ได้แต่ไม่เข้าไปได้ไหม” มันพูดรัวๆแล้วเตรียมจะเดินหนีแต่ฉันก็รีบคว้าแขนมันไว้ได้ทัน
“จะไปไหนวะ พี่ผีเขาไม่หักคอแกหรอก เขายืนยิ้มต้อนรับแกอยู่เนี่ย” ฉันไม่พูดเปล่าแต่ดันหลังมันเข้าไปด้วยทั้งๆที่มันขัดขืนสุดฤทธิ์
“ฉันขอโทษ ฉันเชื่อแกแล้วก็ได้ ไม่เข้านะโว้ย ไอ้ดาวปล่อย...”
ฉันดันแผ่นหลังมันเข้ามาในห้องได้สำเร็จ พอเห็นสภาพคนกลัวผีฉันก็ระเบิดหัวเราะเสียงดัง
“จะกลัวทำไมล่ะ ไหนว่าฉันแต่งเรื่องขึ้นมาไง”
“แม่งจู่ๆก็ขนลุกซู่แล้วก็รู้สึกหนาวแปลกๆ” มันพูดพลางกอดอกลูบแขนตัวเองไปด้วย
“ก็พี่ผีเขายืนอยู่ข้างแกไง...” ยังพูดไม่ทันจบมันก็กระโดดมาล็อคคอฉันพร้อมกับบ่นพึมพำเบาๆ
“อ๊าก ไอ้ดาว หนูมาดีนะคะพี่ หนูไม่ได้อยากมาลองดีนะ”
‘เพื่อนหนูดาวตลกดีนะ’
ฉันหัวเราะพลางพยักหน้าเห็นด้วยกับเขา “มันชื่อลินค่ะเป็นเพื่อนสนิทหนูเอง” ฉันตอบเขาด้วยท่าทางสบายๆเหมือนกับว่ากำลังคุยกับคนแบบปกติ
“ไอ้ดาว! แกพูดกับใครวะ ฮือ...หนูขอโทษ หนูเชื่อแล้ว ว้าย! ไอ้ดาว ฉันกลัว...” ไอ้ลินมันกอดฉันไว้แน่นจนเกือบหายใจไม่ออกเพราะพี่ผีเขาแกล้งเคาะตู้เสื้อผ้าแล้วก็ทำของบนโต๊ะเครื่องแป้งตก
ฉันขำจนน้ำตาไหล “พี่ผีอย่าแกล้งเพื่อนหนูดิ”
“ไอ้ดาว บอกพี่เขาไปเล่นที่อื่นก่อนได้ไหม พี่เขาไปยัง”
“เขาจะไปไหนได้ล่ะ ก็ห้องเขาอยู่นี่ ไม่ต้องกลัวนะ พี่เขาแค่แกล้งเฉยๆ” ฉันลูบหลังปลอบใจเพื่อนพลางถลึงตาดุๆใส่ผีขี้แกล้งที่กำลังหัวเราะจนท้องแข็ง
‘ไม่ได้เล่นอะไรสนุกๆแบบนี้นานแล้ว ตอนแรกก็คิดว่าจะแกล้งหนูดาวแบบนี้ล่ะ แต่หนูดันมองเห็นพี่เลยหมดสนุกเลย’
“ไอ้ดาว พี่เขาไปยังวะ” ไอ้ลินยังพูดทั้งๆที่หลับตาอยู่
“บอกแล้วไงว่าไม่ต้องกลัว พี่เขาแค่แกล้งเล่นเฉยๆ”
“ฮึก ฮือ กลัวอ่ะ”
“...” ฉันรู้สึกหมดคำพูดจริงๆ ไม่รู้ว่านี่เป็นไอเดียที่ดีหรือเปล่าที่พามันมาหาเขา กว่าจะปลอบใจกันจนมันเลิกกลัวเวลาก็ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง
“พี่เขาจะไม่หักคอฉันแน่นะ”
“เขาจะทำแบบนั้นทำไมเล่า เลิกกอดฉันได้แล้ว”
ไอ้ลินยอมปล่อยมือจากฉันแต่ก็ยังไม่ยอมอยู่ห่างแม้แต่คืบเดียว “หนูมาดีนะคะ อย่าแกล้งหนูเลย”
‘ขอโทษที่ทำให้กลัวครับ’
“พี่ผีเขาบอกว่าขอโทษที่ทำให้กลัว”
“โอ๊ย แกไม่ต้องเป็นล่ามให้ฉันก็ได้ ทีนี้แกอยากให้ฉันช่วยสืบเรื่องอะไรฉันจะช่วยแกหมดทุกอย่างเลย แต่พาฉันออกไปก่อนได้ไหม”
ในเมื่อจุดประสงค์วันนี้คือการพิสูจน์ว่าพี่ผีมีตัวตนจริงๆและไอ้ลินมันก็เชื่อแล้ว ฉันก็เลยออกมาส่งมันขึ้นรถกลับบ้าน จะให้มันฝืนอยู่ต่อแล้วคุยกับเขาก็สงสาร ใครมันจะไปคุยกับผีได้เป็นเรื่องเป็นราวเหมือนฉันกันล่ะ
“ขับรถดีๆล่ะ”
“อือ มีเรื่องอะไรอยากให้ช่วยก็บอก พอมาคิดดูแล้วก็สงสารพี่เขาว่ะ ตายไปตั้ง 5 ปีแล้วแต่ไปเกิดไม่ได้”
“ขอบใจมากนะที่เชื่อฉัน” ฉันซาบซึ้งจริงๆนะ
“เออ ฉันไปล่ะ”
ฉันยืนมองส่งเพื่อนจนลับสายตา ก่อนจะหมุนตัวเดินกลับขึ้นตึกแต่จู่ๆก็รู้สึกว่ามีสายตาคู่หนึ่งกำลังมองฉันอยู่ พอมองกลับไปดูก็เห็นลุงคนหนึ่งกำลังมองฉันด้วยสายตาโรคจิตยังไงไม่รู้ ฉันรีบหันหน้าหนีทำเป็นไม่สนใจก่อนจะรีบวิ่งขึ้นบันไดกลับเข้าห้อง
‘เพื่อนกลับบ้านไปแล้วเหรอ’
“ใช่ค่ะ ขอโทษด้วยนะคะที่พาเพื่อนมาโดยไม่ได้บอก”
‘ไม่เห็นต้องขอโทษเลย ว่าแต่เป็นอะไรรหรือเปล่า สีหน้าดูไม่ดีเลย’
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ อ้อ จริงสิ พี่ผีมานั่งนี่สิคะจะได้คุยกัน หนูรู้แล้วว่าพี่เป็นใคร” ฉันตบเบาะโซฟาให้เขามานั่งข้างๆ ก่อนจะหยิบแมคบุ๊คมาวางไว้บนตักแล้วเสิร์ชหานามสกุลที่พี่เป้งบอก
‘พี่เป็นใครเหรอ’ เขานั่งลงข้างๆพร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงดีใจ
“รอแปปนึงนะคะ” ฉันเอ่ยพลางดูข้อมูลบนหน้าจอ จากนั้นก็พบกับประวัติของเขาจนได้ “ดูนี่สิคะ”
พี่ผีชะโงกหน้ามาดูหน้าจอแล้วก็คิ้วขมวด เขาเอ่ยเสียงเบา ‘นี่คือพี่งั้นเหรอ’
“พี่ผี ไม่สิ...พี่เจินตายเพราะหัวใจวายที่ห้องนี้เมื่อห้าปีก่อน หนูลองค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับวันฌาปนกิจของพี่แต่ก็ไม่เจออะไรเลยค่ะ” ฉันเอ่ยพร้อมกับถอนหายใจไปด้วย ทำไมถึงไม่มีข่าวงานศพแถมเพื่อนๆร่วมรุ่นก็สั่งห้ามพูดถึง ดูยังไงก็มีพิรุธเต็มไปหมด
‘อย่างน้อยก็รู้ว่าตัวเองเป็นใคร ขอบคุณนะครับ แล้วก็ไม่ต้องเครียดนะ ดูสิคิ้วขมวดเป็นปมหมดแล้ว’ เขาไม่พูดเปล่าแต่เอานิ้วจิ้มหว่างคิ้วของฉันไปด้วย พอได้สบตาอ่อนโยนของเขาหัวใจของฉันก็เผลอเต้นแรงอีกแล้ว
“ไม่ได้เครียดสักหน่อย” ฉันพูดเสียงเบาพลางหันหน้าหนีแต่แก้มนี้ร้อนฉ่าไปหมด ใจเย็นๆไอ้ดาวพี่เขาเป็นผีไม่ใช่คนนะโว้ย! ฉันกระแอมคอแล้วเอ่ย “แต่หนูสัญญาว่าจะช่วยพี่ ก็ต้องทำให้ได้”
‘ถ้างั้นก็ตามใจครับ’
พอหันมามองหน้าเขาก็พบกับใบหน้าเปื้อนยิ้มที่ใครได้เห็นก็ต้องใจละลาย
“อย่ามองหนูแบบนั้นได้ไหมคะ” ฉันก้มหน้าเอ่ยเสียงเบาไม่กล้าสบตาเขาอีก
‘อ้าว แล้วจะให้มองแบบไหนล่ะ’ เขาทำหน้างง
“โอ๊ย หนูไม่คุยด้วยแล้ว ไปอาบน้ำดีกว่า” ฉันลุกขึ้นเดินหนีเขาเพื่อเข้าห้องน้ำสงบสติอารมณ์ ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆต้องแย่แน่ๆ
หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว พี่เจินเขาก็ยังคงนั่งอยู่ปลายเตียงมองดูฉันทุกย่างก้าวด้วยแววตาเอ็นดู ทำเอาฉันอึดอัดจนจะตายอยู่แล้วแต่ก็ทำอะไรไม่ได้
เสียงไดร์เป่าผมดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ ฉันนั่งเป่าผมอยู่ที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งได้สักพักพี่เจินก็ว้าปมายืนอยู่ด้านหลัง
“บอกแล้วไงว่าอย่าว้าป!” ตกใจหมด บ้าเอ๊ย!
เขาหัวเราะแล้วเอ่ย ‘โทษทีพี่ลืม เดี๋ยวพี่ช่วย’ เขาไม่พูดเปล่าแต่แย่งไดร์เป่าผมในมือฉันไป
“หนูทำเองได้”
‘นั่งนิ่งๆเถอะ พี่เบื่อ ให้พี่ทำให้นะ’
พอได้ยินแบบนั้นฉันเลยยอมนั่งนิ่งๆเป็นตุ๊กตาให้เขาช่วยเป่าผมกับหวีผมให้ การที่ต้องติดแหง็กอยู่ที่นี่คนเดียวมาตั้ง 5 ปีเขาคงจะต้องเหงามากแน่ๆ แค่คิดก็สงสารแล้ว
“ทำคล่องเชียวนะ” ฉันพูดขึ้นมาลอยๆ ไม่ยักรู้ว่าไดร์ผมเก่งด้วย
‘ก็ไม่เห็นจะยากตรงไหน’
ฉันเบ้ปากแล้วเอ่ยต่อ “ได้ยินว่าพี่เจินเจ้าชู้มากๆ แสดงว่าต้องเคยทำแบบนี้ให้สาวๆเยอะแน่เลย”
‘ไม่รู้สิ ว่าแต่...หนูดาวหึงพี่เหรอครับ’ เขามองฉันผ่านกระจกโต๊ะเครื่องแป้งด้วยแววตากรุ้มกริ่ม ทำเอาใบหน้าฉันเห่อร้อนขึ้นมาจนได้
“หนูจะหึงพี่ทำไมล่ะคะ อย่ามาพูดมั่วๆนะ แล้วหนูจะไปหึงผีอย่างพี่ทำไมกัน”
ฉันรู้สึกได้ว่าตอนที่ฉันพูดไปแบบนั้น มือที่กำลังแปรงผมยาวสลวยให้ฉันอยู่นั้นถึงกับชะงักไปครู่หนึ่ง ฉันเม้มปากแน่นเพราะรู้สึกผิดที่พูดไปแบบนั้น
‘นั่นสินะ พี่ก็พูดไปเรื่อย ขอโทษนะครับ’ เขายังคงมองฉันด้วยแววตาอ่อนโยนอย่างเคยแต่ทว่าหัวใจฉันกลับเจ็บแปลบอย่างบอกไม่ถูก
“คือว่าหนู...”
‘ผมนุ่มมากเลยแถมยังหอมมากด้วย’ เขาเอ่ยแทรกขึ้นมาคล้ายไม่อยากพูดถึงเรื่องเมื่อกี้นี้อีก
ด้วยความที่รู้สึกผิดกับเรื่องเมื่อกี้ ฉันก็เลยพูดไปว่า “งั้นพี่เจินก็มาช่วยหนูเป่าผมบ่อยๆนะ หนูขี้เกียจ”
เขายิ้มกว้างแล้วเอ่ยตอบ ‘ยินดีครับเจ้าหญิง’
หลังจากนั้นเราก็เงียบไปพักหนึ่ง จนฉันทนความเงียบไม่ไหวเลยเอ่ยปากชวนเขาคุย “พี่เจินก็เทสดีนะเนี่ย แต่งตัวแบบนี้อย่างกับนายแบบ”
เสื้อเชิ้ตสีขาวตัวโคร่งกับกางเกงยีนส์สีดำมันเหมาะกับเขาจริงๆ ไหนจะเครื่องประดับบนตัวเขาอีกล่ะ เมื่อก่อนนี้พี่เขาคงจะฮอทน่าดู
‘ขอบคุณครับ’
“เอ่อคือ...ที่หนูบอกว่าจะช่วยพี่อ่ะ หนูจะทำให้ได้จริงๆนะ”
‘ครับ แต่อย่าหักโหมมากไปล่ะ เดี๋ยวจะไม่สบายเอานะ’
ฉันพยักหน้ารับแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงมั่นใจ “หนูจะไม่ยอมให้พี่ติดแหง็กอยู่ที่นี่ตลอดไปแน่ๆค่ะ”
‘ขอบคุณนะ’ เขาลูบหัวฉันและยิ้มอย่างอ่อนโยนเหมือนเคย คิดว่าเขาคงจะไม่ได้คาดหวังอะไรจากฉันแน่ๆ แต่ฉันสัญญากับตัวเองแล้วว่าจะต้องค้นหาความจริงและทำให้เขาไปเกิดใหม่ให้ได้ อีกไม่นานฉันก็จะไปจากที่นี่และพี่เขาก็จะเหงาหงอยอยู่ที่นี่คนเดียวอีกครั้งซึ่งมันน่าเศร้ามากนะ
ไม่ว่ายังไงฉันก็จะช่วยเขาให้ได้!