@คณะสถาปัตย์ฯ
วันนี้ฉันมีเรียนแต่เช้าพอเลิกคลาสก็เล่าเรื่องผีในห้องให้กับไอ้ลินฟัง ฉันนั่งฟังมันหัวเราะมาได้สักพักแล้วเพราะมันไม่เชื่อว่าฉันมองเห็นผีแถมผีในห้องยังเป็นผีรุ่นพี่ที่คณะอีกด้วย
“สรุปแล้วแกจะช่วยฉันสืบไหม” ฉันนั่งกอดอกมองมันด้วยความไม่พอใจ ไม่เชื่อแล้วยังมาหัวเราะอีกนะ เลิกคบดีไหมเนี่ย
“โทษทีว่ะ ไม่ได้ตั้งใจจะหัวเราะ” มันพูดพลางเอานิ้วเกลี่ยน้ำตาไปด้วย
นี่ขนาดไม่ได้ตั้งใจนะเนี่ยยังหัวเราะซะปากกว้างขนาดนั้น!
“แต่ฉันเชื่อนะว่าหอนั้นมีผีจริงๆ ตอนที่ฉันไปส่งแกฉันรู้สึกได้แต่จะให้ฉันเชื่อว่าแกคุยกับผีได้เนี่ยนะ มันไม่ประหลาดเกินไปหน่อยเหรอวะ”
“สรุปจะไม่ช่วย?” ฉันเลิกคิ้วมอง ความอดทนใกล้จะหมดแล้วจริงๆก็เลยทำท่าจะลุกหนีมัน
“เฮ้ย เดี๋ยวดิ ใครบอกว่าจะไม่ช่วยล่ะ เพื่อนรักขอให้ช่วยขนาดนี้” มันไม่พูดเปล่าแต่ยกแขนกอดคอฉันแบบคนแมนๆ ใครเห็นก็คิดว่าฉันกับมันเป็นทอมกับดี้ ด้วยลุคคุณหนูหน้าตาน่ารักเหมือนตุ๊กตาอย่างฉันกับผู้หญิงแมนๆที่ตัดผมสั้นอย่างกับผู้ชายอย่างมันก็เลยทำให้คนเข้าใจผิดกันอยู่บ่อยๆ ที่ฉันไม่มีแฟนก็เพราะมันด้วยล่ะมั้ง “เดี๋ยวไปถามพี่เป้งให้ก็ได้ อย่างอนดิวะ”
“ไม่ได้งอน” ไม่ได้งอนเล้ยยยจริงๆนะ ไอ้ลินมันสนิทกับรุ่นพี่ผู้ชายหลายคนส่วนฉันก็ขี้อายเลยไม่ค่อยผูกมิตรกับใครมาก ถ้าจะตามสืบข่าวจากใครสักคนเพื่อนรักคนนี้ต้องช่วยได้แน่
“เออ ไม่งอนก็ไม่งอน อ่ะๆ เดี๋ยวฉันโทรหาพี่เป้งตอนนี้เลยก็ได้”
พี่เป้งเป็นรุ่นพี่ที่เรียนจบไปแล้วแต่ก็ยังมาร่วมกิจกรรมรับน้องทุกปีพวกเราก็เลยรู้จักพี่เขา ถ้าอ้างอิงจากเรื่องที่เจ๊แต๋วเล่าให้ฟังล่ะก็ ถ้าพี่ผีตายไปแล้ว 5 ปี ส่วนฉันปีนี้เป็นนักศึกษาปี 4 ถ้างั้นพี่ผีก็น่าจะจบรุ่นเดียวกันกับพี่เป้ง
พวกเรารอสายได้แปปเดียว พี่เป้งแกก็รับสาย ฉันนั่งฟังไอ้ลินคุยกับพี่เขาเงียบๆ
[ว่าไงไอ้ลิน]
“พี่เป้ง ลินมีเรื่องจะถามอะไรนิดหน่อยค่ะว่างไหม”
[เออ มีเรื่องไร]
ฉันมองสบตากับไอ้ลินพลางขยับปากบอกมันเบาๆ “ถามพี่เขาไปว่า รุ่นพี่เป้งเคยมีเพื่อนร่วมรุ่นที่ตายก่อนเรียนจบไหม”
“ถามงี้เลยเหรอวะ” ไอ้ลินเอามือปิดโทรศัพท์แล้วกระซิบถาม
“เออ”
[ถ้าไม่พูดพี่ว่างแล้วนะโว้ย]
“พูดๆ เอ่อ พี่เป้ง อย่าว่าหนูถามซอกแซกเลยนะ”
[เฮ้ย มึงเป็นไรวะไอ้ลิน มีเรื่องอะไรจะถามก็รีบๆพูดมาเถอะ] คนปลายสายเหมือนรำคาญเต็มทน
“เอ่อ งั้นพี่เป้ง...แบบว่ามีเพื่อนรุ่นเดียวกันกับพี่เป้งแบบว่า...มีคนตายก่อนเรียนจบบ้างไหม”
คนปลายสายเงียบไปสักพัก
“พี่เป้ง...ยังอยู่ไหม”
ฉันมองสบตาไอ้ลินด้วยความตื่นเต้น ทำไมพี่เป้งแกต้องเงียบแบบนี้ด้วย แสดงว่ามันมีเรื่องอะไรใช่ไหม
[ถามทำไมวะ] จู่ๆพี่เขาก็ตอบกลับมาหลังจากเงียบไปนาน
“เรื่องมันยาวอ่ะพี่ พี่ช่วยเล่าให้ลินฟังหน่อยได้ไหม พลีสสสส”
คนปลายสายถอนหายใจก่อนจะยอมพูด [รู้แล้วเหยียบไว้นะโว้ย]
“สาบานว่าจะไม่บอกใคร”
[คืองี้ มีคนตายจริง...]
ฉันกระซิบเสียงเบาให้ไอ้ลินถามชื่อกับพี่เป้ง
“ชื่ออะไรอ่ะพี่”
[อย่าพูดแทรกดิวะ]
ไอ้ลินหัวเราะพลางยิ้มเจื่อนๆก่อนจะเอ่ย “โทษๆ พี่เล่าต่อเลย” มันถลึงตาดุใส่ฉันที่ทำให้พี่เป้งดุมัน ก็ฉันร้อนใจนี่ อยากรู้เร็วๆว่าพี่ผีเขาเป็นใคร
[ก็ไม่ค่อยสนิทด้วยเท่าไหร่หรอก ความจริงเป็นไงไม่รู้นะ แต่ได้ยินว่าหัวใจวายตายที่หอเจ๊แต๋ว พูดแล้วก็สงสารมันนะ ทั้งหล่อทั้งรวยเรียนก็เก่งกีฬาก็ไม่ได้ด้อยกว่าใคร สาวๆงี้ติดตรึม]
“แล้วสรุปเขาชื่ออะไรอ่ะพี่”
[เอ้อ กูลืมบอก มึงน่าจะเคยได้ยินชื่อเสียงเขาอยู่นะ ก็เรียนเก่งติดทำเนียบ]
“พี่เป้ง เขาชื่ออะไรกันแน่คะ” ฉันทนไม่ไหวเลยแย่งโทรศัพท์มาคุยเอง
[อ้าว นี่...น้องดาวเหรอครับ] พอได้ยินเสียงฉันพี่เป้งแกก็พูดเพราะขึ้นมาทันที ก็ดีกรีดาวคณะอ่ะนะไม่อยากจะคุย ทำเอาไอ้ลินเบ้ปากอย่างหมั่นไส้
“รบกวนพี่เป้งด้วยนะคะ พอดีว่าหนูอยากรู้จักพี่เขาน่ะค่ะ”
[ได้สิครับ น้องดาวขอมาสักที] คนปลายสายกระแอมคอเก็กเสียงหล่อแล้วเอ่ยต่อ [มันชื่อ ‘เจิน’ ได้ยินว่าตายเพราะหัวใจวาย ตอนนั้นสาวๆใจสลายกันหมดเลยนะ แต่มันมีเรื่องน่าแปลกอยู่อย่างหนึ่งนะ] จู่ๆพี่เป้งเขาก็ลดเสียงเบาลงแทบจะกระซิบเหมือนกลัวคนได้ยิน [ไม่เคยมีใครได้ไปงานศพไอ้เจิน แม้แต่พวกอาจารย์ก็ยังไม่มีใครพูดถึงทั้งๆที่มันเป็นคนดังของคณะเลยนะ พี่เคยได้ยินว่าพ่อของมันเป็นเพื่อนอธิการบดี เขาสั่งห้ามไม่ให้ใครพูดถึงเรื่องนี้ ก็เลยไม่ค่อยมีใครอยากพูดถึงอีก คิดว่ามันแปลกไหมล่ะ]
“แล้วทำไมถึงห้ามไม่ให้พูดถึงล่ะคะ พี่เป้งพอจะรู้ไหม”
[ไม่รู้สิครับ พวกพี่ยังใจหายอยู่เลยนะ จู่ๆก็หัวใจวายตายทั้งๆที่มันดูแข็งแรงจะตายไป เป็นนักบาสของคณะแต่มาตายเพราะหัวใจวายแม่งก็เลยดูไม่น่าเชื่อ จะว่าไปมันก็มีข่าวเม้าส์กันอยู่นะ]
“เรื่องอะไรเหรอคะ”
[น่าจะเป็นศึกแย่งชิงมรดกล่ะมั้ง ก็อย่างที่บอกครอบครัวไอ้เจินมันรวยจะตายไป ไม่เชื่อลองเสิร์จนามสกุล ‘วงศ์เตชะพัฒน์’ ดูสิแล้วจะอึ้งกับธุรกิจบ้านมัน]
“คือพี่เป้งจะบอกว่าการตายของพี่เจินมีเงื่อนงำ”
[พี่ไม่รู้ มันอาจจะหัวใจวายตายจริงๆก็ได้ ก็แค่ข่าวเม้าส์น่ะ]
“แต่ถ้าไม่มีมูลฝอยหมามันก็ไม่ขี้หรอก” เสียงไอ้ลินโพล่งขึ้นมาพร้อมกับแย่งโทรศัพท์กลับไปแล้วพูดต่อ “ถ้ารวยขนาดนั้นทำไมถึงไปตายที่หอซอมซ่อของเจ๊แต๋วล่ะวะพี่ คนรวยๆอย่างเขาน่าจะอยู่คอนโดหรูๆไม่ใช่เหรอ”
จริงด้วย คำถามของไอ้ลินมีประโยชน์มาก ฉันถึงกับยกนิ้วให้มันอย่างนับถือ
[ก็เพราะว่ามันใกล้มอไง เด็กสถาปัตย์อย่างเรามันก็โต้รุ่งกันบ่อยปะ แค่มีเวลานอนก็ดีถมเถแล้ว ไม่ใช่ว่าไม่มีคอนโดหรูๆแต่มันขี้เกียจกลับต่างหากก็เลยเช่าห้องใกล้ๆมอเอาไว้ วันที่มันตายก็เป็นวันที่มันไปเก็บของออกจากหอ คือเหลือแค่ทำเรื่องเรียนจบเอง แม่งโคตรน่าสงสาร มีอะไรอีกไหมจะไปทำงานต่อแล้ว]
“ขอบคุณมากค่ะพี่เป้ง” ฉันยื่นหน้าไปพูดใกล้ๆโทรศัพท์
[ไม่เป็นไรครับ เพื่อน้องดาวพี่พร้อมช่วยเหลือ]
“ไปหม้อไกลๆเลยพี่” ไอ้ลินเอ่ยด้วยความโมโหก่อนจะกดวางสายไป “รู้แล้วจะทำยังไงต่อ”
ฉันนั่งนิ่งกำลังใช้ความคิด สมองกำลังประมวลผลว่าทำไมพี่เจินเขาไม่ไปเกิดสักที
ไอ้ลินตกใจจนสะดุ้งโหยงเพราะฉันตบโต๊ะเสียงดัง
“อะไรของแกอีกวะ” มันขมวดคิ้วมอง
“ไอ้ลิน แกคิดว่าที่พี่เขายังไม่ไปเกิด อาจเป็นเพราะว่าพี่เขายังไม่ได้ทำเรื่องเรียนจบเปล่าวะ”
มันเกาคางแล้วเอ่ย “เออว่ะ อาจจะเป็นไปได้”
แต่พอมาคิดเรื่องที่พี่เป้งบอกเรื่องแย่งชิงมรดก มันก็มีจุดน่าสงสัย “แกจำที่ฉันบอกได้ไหมว่าที่ห้องมียันต์กักขังวิญญาณเอาไว้”
ไอ้ลินพยักหน้ารับ
“ถ้าหัวใจวายตายแบบคนทั่วๆไป แล้วจะมีของแบบนั้นไว้ทำไมวะ แถมพี่เจินเขายังก้าวขาออกจากตึกไม่ได้ด้วยซ้ำ เหมือนกับว่าวิญญาณพี่เขาถูกขังไว้ที่หอเจ๊แต๋วไม่ยอมให้ไปผุดไปเกิด”
“ไอ้ดาว แกทำฉันขนลุกนะเนี่ย รู้ได้ไงว่าเขาออกไปจากตึกไม่ได้”
“ก็ฉันเคยชวนเขาออกไปกินข้าวข้างนอกหอด้วยกัน แต่พี่เขาออกไปไหนไม่ได้”
“ไอ้ดาว แกไม่สบายเปล่าวะ แต่งเป็นเรื่องเป็นราวอะไรขนาดนั้น”
“แกคิดว่าฉันบ้าใช่ไหม” ฉันเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“ไม่ใช่แบบนั้น ก็เรื่องที่แกพูดมันดูน่าเหลือเชื่อนี่หว่า”
“ถ้างั้นแกไปกับฉัน ฉันจะพิสูจน์ให้ดูว่าพี่เขายังอยู่ ยังไม่ได้ไปไหน” ไอ้ลินทำท่าลังเลจนฉันเอ่ยย้ำไปอีก “ถ้าแกจะไม่ช่วยฉันสืบก็แล้วแต่” ฉันเอ่ยแค่นั้นแล้วก็หอบข้าวของเตรียมกับหอ
“เฮ้ย เอางั้นก็ได้เดี๋ยวไปส่งที่หอเลย”
“ดี! จะได้พิสูจน์กันไปเลย”