เบาะแสเพิ่มเติม

1650 Words
@คณะสถาปัตย์ฯ วันนี้ฉันมีเรียนแต่เช้าพอเลิกคลาสก็เล่าเรื่องผีในห้องให้กับไอ้ลินฟัง ฉันนั่งฟังมันหัวเราะมาได้สักพักแล้วเพราะมันไม่เชื่อว่าฉันมองเห็นผีแถมผีในห้องยังเป็นผีรุ่นพี่ที่คณะอีกด้วย “สรุปแล้วแกจะช่วยฉันสืบไหม” ฉันนั่งกอดอกมองมันด้วยความไม่พอใจ ไม่เชื่อแล้วยังมาหัวเราะอีกนะ เลิกคบดีไหมเนี่ย “โทษทีว่ะ ไม่ได้ตั้งใจจะหัวเราะ” มันพูดพลางเอานิ้วเกลี่ยน้ำตาไปด้วย นี่ขนาดไม่ได้ตั้งใจนะเนี่ยยังหัวเราะซะปากกว้างขนาดนั้น! “แต่ฉันเชื่อนะว่าหอนั้นมีผีจริงๆ ตอนที่ฉันไปส่งแกฉันรู้สึกได้แต่จะให้ฉันเชื่อว่าแกคุยกับผีได้เนี่ยนะ มันไม่ประหลาดเกินไปหน่อยเหรอวะ” “สรุปจะไม่ช่วย?” ฉันเลิกคิ้วมอง ความอดทนใกล้จะหมดแล้วจริงๆก็เลยทำท่าจะลุกหนีมัน “เฮ้ย เดี๋ยวดิ ใครบอกว่าจะไม่ช่วยล่ะ เพื่อนรักขอให้ช่วยขนาดนี้” มันไม่พูดเปล่าแต่ยกแขนกอดคอฉันแบบคนแมนๆ ใครเห็นก็คิดว่าฉันกับมันเป็นทอมกับดี้ ด้วยลุคคุณหนูหน้าตาน่ารักเหมือนตุ๊กตาอย่างฉันกับผู้หญิงแมนๆที่ตัดผมสั้นอย่างกับผู้ชายอย่างมันก็เลยทำให้คนเข้าใจผิดกันอยู่บ่อยๆ ที่ฉันไม่มีแฟนก็เพราะมันด้วยล่ะมั้ง “เดี๋ยวไปถามพี่เป้งให้ก็ได้ อย่างอนดิวะ” “ไม่ได้งอน” ไม่ได้งอนเล้ยยยจริงๆนะ ไอ้ลินมันสนิทกับรุ่นพี่ผู้ชายหลายคนส่วนฉันก็ขี้อายเลยไม่ค่อยผูกมิตรกับใครมาก ถ้าจะตามสืบข่าวจากใครสักคนเพื่อนรักคนนี้ต้องช่วยได้แน่ “เออ ไม่งอนก็ไม่งอน อ่ะๆ เดี๋ยวฉันโทรหาพี่เป้งตอนนี้เลยก็ได้” พี่เป้งเป็นรุ่นพี่ที่เรียนจบไปแล้วแต่ก็ยังมาร่วมกิจกรรมรับน้องทุกปีพวกเราก็เลยรู้จักพี่เขา ถ้าอ้างอิงจากเรื่องที่เจ๊แต๋วเล่าให้ฟังล่ะก็ ถ้าพี่ผีตายไปแล้ว 5 ปี ส่วนฉันปีนี้เป็นนักศึกษาปี 4 ถ้างั้นพี่ผีก็น่าจะจบรุ่นเดียวกันกับพี่เป้ง พวกเรารอสายได้แปปเดียว พี่เป้งแกก็รับสาย ฉันนั่งฟังไอ้ลินคุยกับพี่เขาเงียบๆ [ว่าไงไอ้ลิน] “พี่เป้ง ลินมีเรื่องจะถามอะไรนิดหน่อยค่ะว่างไหม” [เออ มีเรื่องไร] ฉันมองสบตากับไอ้ลินพลางขยับปากบอกมันเบาๆ “ถามพี่เขาไปว่า รุ่นพี่เป้งเคยมีเพื่อนร่วมรุ่นที่ตายก่อนเรียนจบไหม” “ถามงี้เลยเหรอวะ” ไอ้ลินเอามือปิดโทรศัพท์แล้วกระซิบถาม “เออ” [ถ้าไม่พูดพี่ว่างแล้วนะโว้ย] “พูดๆ เอ่อ พี่เป้ง อย่าว่าหนูถามซอกแซกเลยนะ” [เฮ้ย มึงเป็นไรวะไอ้ลิน มีเรื่องอะไรจะถามก็รีบๆพูดมาเถอะ] คนปลายสายเหมือนรำคาญเต็มทน “เอ่อ งั้นพี่เป้ง...แบบว่ามีเพื่อนรุ่นเดียวกันกับพี่เป้งแบบว่า...มีคนตายก่อนเรียนจบบ้างไหม” คนปลายสายเงียบไปสักพัก “พี่เป้ง...ยังอยู่ไหม” ฉันมองสบตาไอ้ลินด้วยความตื่นเต้น ทำไมพี่เป้งแกต้องเงียบแบบนี้ด้วย แสดงว่ามันมีเรื่องอะไรใช่ไหม [ถามทำไมวะ] จู่ๆพี่เขาก็ตอบกลับมาหลังจากเงียบไปนาน “เรื่องมันยาวอ่ะพี่ พี่ช่วยเล่าให้ลินฟังหน่อยได้ไหม พลีสสสส” คนปลายสายถอนหายใจก่อนจะยอมพูด [รู้แล้วเหยียบไว้นะโว้ย] “สาบานว่าจะไม่บอกใคร” [คืองี้ มีคนตายจริง...] ฉันกระซิบเสียงเบาให้ไอ้ลินถามชื่อกับพี่เป้ง “ชื่ออะไรอ่ะพี่” [อย่าพูดแทรกดิวะ] ไอ้ลินหัวเราะพลางยิ้มเจื่อนๆก่อนจะเอ่ย “โทษๆ พี่เล่าต่อเลย” มันถลึงตาดุใส่ฉันที่ทำให้พี่เป้งดุมัน ก็ฉันร้อนใจนี่ อยากรู้เร็วๆว่าพี่ผีเขาเป็นใคร [ก็ไม่ค่อยสนิทด้วยเท่าไหร่หรอก ความจริงเป็นไงไม่รู้นะ แต่ได้ยินว่าหัวใจวายตายที่หอเจ๊แต๋ว พูดแล้วก็สงสารมันนะ ทั้งหล่อทั้งรวยเรียนก็เก่งกีฬาก็ไม่ได้ด้อยกว่าใคร สาวๆงี้ติดตรึม] “แล้วสรุปเขาชื่ออะไรอ่ะพี่” [เอ้อ กูลืมบอก มึงน่าจะเคยได้ยินชื่อเสียงเขาอยู่นะ ก็เรียนเก่งติดทำเนียบ] “พี่เป้ง เขาชื่ออะไรกันแน่คะ” ฉันทนไม่ไหวเลยแย่งโทรศัพท์มาคุยเอง [อ้าว นี่...น้องดาวเหรอครับ] พอได้ยินเสียงฉันพี่เป้งแกก็พูดเพราะขึ้นมาทันที ก็ดีกรีดาวคณะอ่ะนะไม่อยากจะคุย ทำเอาไอ้ลินเบ้ปากอย่างหมั่นไส้ “รบกวนพี่เป้งด้วยนะคะ พอดีว่าหนูอยากรู้จักพี่เขาน่ะค่ะ” [ได้สิครับ น้องดาวขอมาสักที] คนปลายสายกระแอมคอเก็กเสียงหล่อแล้วเอ่ยต่อ [มันชื่อ ‘เจิน’ ได้ยินว่าตายเพราะหัวใจวาย ตอนนั้นสาวๆใจสลายกันหมดเลยนะ แต่มันมีเรื่องน่าแปลกอยู่อย่างหนึ่งนะ] จู่ๆพี่เป้งเขาก็ลดเสียงเบาลงแทบจะกระซิบเหมือนกลัวคนได้ยิน [ไม่เคยมีใครได้ไปงานศพไอ้เจิน แม้แต่พวกอาจารย์ก็ยังไม่มีใครพูดถึงทั้งๆที่มันเป็นคนดังของคณะเลยนะ พี่เคยได้ยินว่าพ่อของมันเป็นเพื่อนอธิการบดี เขาสั่งห้ามไม่ให้ใครพูดถึงเรื่องนี้ ก็เลยไม่ค่อยมีใครอยากพูดถึงอีก คิดว่ามันแปลกไหมล่ะ] “แล้วทำไมถึงห้ามไม่ให้พูดถึงล่ะคะ พี่เป้งพอจะรู้ไหม” [ไม่รู้สิครับ พวกพี่ยังใจหายอยู่เลยนะ จู่ๆก็หัวใจวายตายทั้งๆที่มันดูแข็งแรงจะตายไป เป็นนักบาสของคณะแต่มาตายเพราะหัวใจวายแม่งก็เลยดูไม่น่าเชื่อ จะว่าไปมันก็มีข่าวเม้าส์กันอยู่นะ] “เรื่องอะไรเหรอคะ” [น่าจะเป็นศึกแย่งชิงมรดกล่ะมั้ง ก็อย่างที่บอกครอบครัวไอ้เจินมันรวยจะตายไป ไม่เชื่อลองเสิร์จนามสกุล ‘วงศ์เตชะพัฒน์’ ดูสิแล้วจะอึ้งกับธุรกิจบ้านมัน] “คือพี่เป้งจะบอกว่าการตายของพี่เจินมีเงื่อนงำ” [พี่ไม่รู้ มันอาจจะหัวใจวายตายจริงๆก็ได้ ก็แค่ข่าวเม้าส์น่ะ] “แต่ถ้าไม่มีมูลฝอยหมามันก็ไม่ขี้หรอก” เสียงไอ้ลินโพล่งขึ้นมาพร้อมกับแย่งโทรศัพท์กลับไปแล้วพูดต่อ “ถ้ารวยขนาดนั้นทำไมถึงไปตายที่หอซอมซ่อของเจ๊แต๋วล่ะวะพี่ คนรวยๆอย่างเขาน่าจะอยู่คอนโดหรูๆไม่ใช่เหรอ” จริงด้วย คำถามของไอ้ลินมีประโยชน์มาก ฉันถึงกับยกนิ้วให้มันอย่างนับถือ [ก็เพราะว่ามันใกล้มอไง เด็กสถาปัตย์อย่างเรามันก็โต้รุ่งกันบ่อยปะ แค่มีเวลานอนก็ดีถมเถแล้ว ไม่ใช่ว่าไม่มีคอนโดหรูๆแต่มันขี้เกียจกลับต่างหากก็เลยเช่าห้องใกล้ๆมอเอาไว้ วันที่มันตายก็เป็นวันที่มันไปเก็บของออกจากหอ คือเหลือแค่ทำเรื่องเรียนจบเอง แม่งโคตรน่าสงสาร มีอะไรอีกไหมจะไปทำงานต่อแล้ว] “ขอบคุณมากค่ะพี่เป้ง” ฉันยื่นหน้าไปพูดใกล้ๆโทรศัพท์ [ไม่เป็นไรครับ เพื่อน้องดาวพี่พร้อมช่วยเหลือ] “ไปหม้อไกลๆเลยพี่” ไอ้ลินเอ่ยด้วยความโมโหก่อนจะกดวางสายไป “รู้แล้วจะทำยังไงต่อ” ฉันนั่งนิ่งกำลังใช้ความคิด สมองกำลังประมวลผลว่าทำไมพี่เจินเขาไม่ไปเกิดสักที ไอ้ลินตกใจจนสะดุ้งโหยงเพราะฉันตบโต๊ะเสียงดัง “อะไรของแกอีกวะ” มันขมวดคิ้วมอง “ไอ้ลิน แกคิดว่าที่พี่เขายังไม่ไปเกิด อาจเป็นเพราะว่าพี่เขายังไม่ได้ทำเรื่องเรียนจบเปล่าวะ” มันเกาคางแล้วเอ่ย “เออว่ะ อาจจะเป็นไปได้” แต่พอมาคิดเรื่องที่พี่เป้งบอกเรื่องแย่งชิงมรดก มันก็มีจุดน่าสงสัย “แกจำที่ฉันบอกได้ไหมว่าที่ห้องมียันต์กักขังวิญญาณเอาไว้” ไอ้ลินพยักหน้ารับ “ถ้าหัวใจวายตายแบบคนทั่วๆไป แล้วจะมีของแบบนั้นไว้ทำไมวะ แถมพี่เจินเขายังก้าวขาออกจากตึกไม่ได้ด้วยซ้ำ เหมือนกับว่าวิญญาณพี่เขาถูกขังไว้ที่หอเจ๊แต๋วไม่ยอมให้ไปผุดไปเกิด” “ไอ้ดาว แกทำฉันขนลุกนะเนี่ย รู้ได้ไงว่าเขาออกไปจากตึกไม่ได้” “ก็ฉันเคยชวนเขาออกไปกินข้าวข้างนอกหอด้วยกัน แต่พี่เขาออกไปไหนไม่ได้” “ไอ้ดาว แกไม่สบายเปล่าวะ แต่งเป็นเรื่องเป็นราวอะไรขนาดนั้น” “แกคิดว่าฉันบ้าใช่ไหม” ฉันเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “ไม่ใช่แบบนั้น ก็เรื่องที่แกพูดมันดูน่าเหลือเชื่อนี่หว่า” “ถ้างั้นแกไปกับฉัน ฉันจะพิสูจน์ให้ดูว่าพี่เขายังอยู่ ยังไม่ได้ไปไหน” ไอ้ลินทำท่าลังเลจนฉันเอ่ยย้ำไปอีก “ถ้าแกจะไม่ช่วยฉันสืบก็แล้วแต่” ฉันเอ่ยแค่นั้นแล้วก็หอบข้าวของเตรียมกับหอ “เฮ้ย เอางั้นก็ได้เดี๋ยวไปส่งที่หอเลย” “ดี! จะได้พิสูจน์กันไปเลย”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD