ผีในห้อง

1750 Words
“ดาว แกจะนอนที่นี่จริงๆเหรอวะ ไม่เปลี่ยนใจแน่นะ” “ฉันอยู่ได้น่า...แกไม่ต้องเป็นห่วงหรอก” “แค่บรรยากาศก็ชวนขนหัวลุกแล้วเนี่ย” คนพูดไม่พูดเปล่าแต่ลูบแขนตัวเองทำท่าขนลุกไปด้วย “อย่าบิลด์ได้ไหมวะ รีบๆไปได้แล้วไป” “เฮ้อ ถ้างั้นมีอะไรก็โทรมานะ” นลินหรือเรียกง่ายๆว่าลินเพื่อนสนิทของฉันตั้งแต่เรียนปีหนึ่ง มันบิดมอเตอร์ไซค์ออกไปอย่างรวดเร็วโดยไม่รอฉันตอบอะไรกลับไปเลยด้วยซ้ำ “...” ฉันโบกมือลาเพื่อนโดยที่มันไม่เห็นหรอก ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่เงยหน้าขึ้นมองอพาร์ทเม้นท์เก่าตรงหน้าที่ดูเหมือนตึกร้างในหนังสยองขวัญที่เคยดู อากาศเย็นยะเยือกตอนกลางคืนทำให้ขนแขนของฉันลุกชันโดยพร้อมเพรียงกันอย่างไม่ทันตั้งตัว เอาวะ! อยู่แค่สองเดือนเอง ทนๆไปก่อน ด้วยความที่หอหญิงของมหาลัยต้องปิดซ่อมแซมระบบท่อน้ำในตึก ทำให้ฉันต้องรีบหาที่อยู่ชั่วคราวและเพราะไม่อยากรบกวนคนที่บ้านจึงต้องหาหอถูกๆที่มันใกล้มหาลัยอยู่ชั่วคราวไปก่อน หวยก็มาตกอยู่ที่นี่แหละ ค่าเช่าไม่แพงไม่ต้องจ่ายค่าประกันห้องแถมยังไม่ต้องวางมัดจำด้วย มันเลยตอบโจทย์คนงบน้อยอย่างฉันแต่มันก็แลกกับบรรยากาศชวนขนหัวลุกแบบนี้ล่ะนะ ข้างหน้าหอก็มีต้นไทรต้นเบ้อเริ่มเทิ่มแถมยังมีศาลไม้เก่าๆตั้งอยู่ข้างๆกันอีกด้วย เรียกได้ว่าน่ากลัวแบบคูณสองไปเลย เวลาเดินผ่านนะ ฉันนี่กลัวเสียงในหัวตัวเองมาก กลัวว่าจะเผลอลบหลู่อะไรไปโดนไม่รู้ตัว ก็เลยทำได้แค่รีบเดินโดยไม่หันไปมอง อพาร์ทเม้นท์แห่งนี้เป็นตึกสีขาวเก่าๆโทรมๆที่มีแต้มด่างๆสีดำจากเชื้อราขึ้นตามตึกซึ่งบ่งบอกสภาพของมันได้ว่า ตึกนี้ถูกสร้างมานานแค่ไหนแล้ว บริเวณทางเข้าหอมีห้องพักสำหรับผู้ดูแลตึก เจ๊แกเปิดกระจกสีชาบานเล็กออกแล้วโผล่หัวออกมาทักท่ายฉันที่เพิ่งย้ายเข้ามาใหม่ในรอบกี่ปีไม่รู้ “หนูดาวย้ายเข้ามาวันนี้แล้วเหรอจ๊ะ” เจ๊แต๋วคนดูแลตึกเอ่ยทัก ในห้องเล็กๆของแกมีแมวสองตัว แต่ละตัวอวบๆทั้งนั้น “ใช่ค่ะเจ๊” ฉันส่งยิ้มให้เจ๊แกด้วยรอยยิ้มมิตรภาพ “หนูขึ้นห้องก่อนนะคะ” “ตามสบายเลยนะ ถ้ามีอะไรก็มาหาเจ๊ได้” เจ๊แต๋วโบกมือลาบนตักของแกมีแมวตัวอ้วนนอนอยู่ ฉันส่งยิ้มเจื่อนๆไปให้ในใจก็ได้แต่คิดว่ามันจะบังเอิญเกินไปไหมวะ... เจ๊แต๋วกับหอพักเก่าๆของแก ดีนะที่แกไม่มีลูกชายชื่ออาโคย[1]อยู่ด้วย ฉันคิดแล้วก็หัวเราะให้กับความคิดไร้สาระของตัวเอง ถึงบรรยากาศมันจะน่ากลัวแต่มันก็ยังมีคนอยู่เยอะแยะ ถ้ามีผีจริงใครจะมาอยู่ล่ะจริงไหม แล้วอีกอย่างนะ...ในโลกนี้ไม่มีผีสักหน่อย ทุกอย่างเป็นแค่จิตปรุงแต่งขึ้นมาทั้งนั้นแหละ ฉันก็พยายามคิดในแง่ดีปลอบใจตัวเอง จะได้อยู่ที่นี่แบบไม่ต้องคิดมาก ฉันก้าวขึ้นบันไดพร้อมกับสัมภาระของตัวเองซึ่งก็มีแค่กระเป๋าเป้ใบใหญ่ ส่วนของอย่างอื่นฉันจ้างให้คนมาส่งไว้ก่อนแล้วซึ่งมันก็วางกองอยู่ตรงหน้าห้องนี่เอง ห้องหมายเลข 4 ชั้น 4 แหม...เลขเป็นมงคลจริงๆ เมื่อเงยหน้ามองบนวงกบประตูก็มียันต์สีแดงแปะเอาไว้ซะด้วย ถ้าเป็นคนอื่นคงจะไม่กล้าอยู่หรอก แต่ฉันไม่ใช่คนที่กลัวผีจนขึ้นสมองขนาดนั้นก็เลยไม่ค่อยกลัวเท่าไหร่ ความจริงที่นี่ก็ไม่มีห้องว่างหรอกแต่เป็นเพราะฉันไปอ้อนเจ๊แต๋วให้หาห้องให้ ตอนแรกแกก็ไม่อยากเปิดห้องนี้ให้หรอกเพราะมันไม่ได้ใช้นานแล้ว เจ๊แกทนฉันอ้อนไม่ไหวก็เลยยอมให้อยู่ ฉันจะมาอยู่ระยะสั้นแค่สองเดือน หอดีๆก็แพงเกินแถมไม่มีระยะสั้นด้วย หอเจ๊แต๋วเลยตอบโจทย์ ในห้องถือว่ามีกลิ่นอับพอสมควรแถมยังมีฝุ่นเยอะมากด้วย ฉันเลยเดินไปเปิดประตูกระจกบานใหญ่ติดระเบียงเพื่อให้อากาศถ่ายเท ข้างบนวงกบประตูเองก็มียันต์อีกใบแปะเอาไว้ ฉันพยายามไม่คิดอะไรก่อนจะเริ่มทำความสะอาดอย่างจริงจัง กว่าจะทำทุกอย่างเสร็จเวลาก็ผ่านไปจนถึงสี่ทุ่ม ท้องน้อยๆก็เริ่มปั่นป่วนเพราะหิวข้าว ฉันเลยต้มน้ำในกาน้ำร้อนเพื่อกินมาม่าแก้ขัดไปก่อน ฉันกางโต๊ะญี่ปุ่นเล็กๆนั่งพื้นเตรียมจะกินมาม่า แต่จู่ๆขนแขนก็ลุกชันโดยไร้สาเหตุแถมยังรู้สึกหนาวพิกล ทันใดนั้นฉันก็รู้สึกเหมือนมีคนเป่าลมอุ่นๆใส่หู ก็แค่ลมพัดล่ะวะ... ฉันพยายามคิดในแง่ดีแล้วหยิบส้อมพลาสติกขึ้นมาเตรียมจะกินมาม่า จังหวะจะเอาเข้าปากกลับได้ยินเสียงบางอย่างแว่วๆคล้ายพูดว่า ‘กินด้วย’ เท่านั้นแหละขนแขนแม่งลุกแทบจะเต้นระบำทันที แต่ฉันก็พยายามเก็บสีหน้าให้มันนิ่งที่สุดแล้วก้มหน้าสูดเส้นเข้าปากไปโดยที่ลืมไปแล้วว่ามันร้อน ‘ใจร้าย’ เสียงปริศนาดังขึ้นอีกครั้ง ตอนนี้ฉันคิดว่าตัวเองไม่ได้หูฝาดแน่ๆ แต่ในห้องนี้มันไม่มีใครไง! แล้วมันเสียงใครล่ะนอกจากผีในห้อง! ‘นับดาวหลานปู่ หนูน่ะเป็นคนมีของนะอยากมารับช่วงแทนปู่ไหม’ ปู่ของฉันเป็นคนทรงคอยช่วยเหลือชาวบ้าน แต่ท่านเป็นคนทรงสายขาวนะไม่ใช่สายดำเหมือนคนที่รับจ้างทำของใส่คนอื่นๆ ตอนเด็กๆปู่เคยทาบทามฉันให้ไปเป็นผู้สืบทอดของแก แต่ฉันไม่เชื่อเรื่องพวกนั้นไงเลยไม่สนใจ เมื่อพ่อกับแม่ย้ายเข้ามาอยู่ในเมือง ฉันก็ไม่ค่อยได้เจอปู่อีกเลย แล้วคำพูดของปู่มันก็ทำให้ฉันเริ่มคิดถึงความสามารถพิเศษของตัวเอง ฉันน่าจะเจอของดีเข้าให้แล้ว... ทั้งยันต์หน้าประตูและตรงประตูริมระเบียงอาจมีเอาไว้เพื่อกักขังวิญญาณตนนี้เอาไว้ก็ได้ แต่ขอเถอะคนก็อยู่ส่วนคน ผีก็อยู่ส่วนผีอย่ามาหลอกหลอนกันเลย ฉันจะแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องก่อนก็แล้วกัน วันนี้ก็เหนื่อยมากแล้วด้วย หลังจากกินอิ่มแล้วเลยถอดเสื้อผ้าเตรียมจะอาบน้ำ แต่ในจังหวะที่กำลังจะถอดบรา ฉันก็รู้สึกได้ว่ามีสายตาใครสักคนกำลังมองอยู่! มือที่กำลังจะปลดตะขอหยุดลงทันที อาบแม่งแบบนี้แหละ! ไอ้ผีโรคจิตหื่นกาม ฉันมั่นใจว่าผีคนนี้มันต้องเป็นผู้ชายแน่ๆ น้ำเสียงที่กระซิบข้างหูมันเป็นผู้ชายชัดๆ อยู่ในห้องตัวเองแท้ๆแต่ก็ต้องระวังตัวเพราะกลัวตัวเองจะโป๊ต่อหน้าผี รู้แบบนี้น่าจะขอของขลังจากปู่มาซะหน่อยเผื่อจะไล่ผีไปได้บ้าง ฉันใส่ชุดนอนทาครีมเรียกได้ว่าทำทุกอย่างเป็นปกติก่อนจะเตรียมเข้านอน แผ่นหลังบอบบางเอนกายลงฟูกนอนนุ่มพร้อมกับห่มผ้าไว้จนถึงอก ฉันไม่กล้าปิดไฟก็เลยเปิดค้างไว้แบบนั้นแหละ ในห้องเงียบๆมีเพียงเสียงหมุนของพัดลมดังอยู่ตลอดเวลา ฉันนอนลืมตาจ้องมองเพดานด้านบนที่มีมือดีเอาแผ่นแปะรูปดาวเรืองแสงแปะไว้เต็มเพดาน ถ้าปิดไฟ เพดานห้องมืดๆมันก็คงเรืองแสงอาจจะมองเพลินก็ได้ จนถึงตอนนี้ฉันก็ไม่ได้รู้สึกถึงเพื่อนร่วมห้องแล้ว ก็เลยนอนเล่นมือถือแต่เล่นได้สักพักก็เริ่มง่วงและเผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว รู้สึกตัวอีกทีก็เหมือนมีอะไรทับอยู่บนอกจนแทบจะหายใจไม่ออก แถมยังรู้สึกเหมือนมีมือเย็นๆลูบไปทั่วร่างกาย พอจะลืมตาก็ลืมไม่ได้และรู้สึกเหมือนกึ่งฝันกึ่งตื่น พยายามดิ้นขัดขืนจนเหนื่อยแต่ก็สู้ไม่ไหว อาการแบบนี้ไม่ผิดแน่... ฉันถูกผีอำเข้าซะแล้ว! เคยไม่เชื่อเรื่องผี แต่เหตุการณ์ทั้งหมดที่ได้พบเจอในวันนี้มันก็ทำให้ฉันเชื่อจนได้ ฉันพยายามสวดมนต์ตะโกนออกมาสุดเสียงเพื่อให้ตัวเองหลุดออกจากอาการผีอำ แต่ฉันผู้ไม่ค่อยเข้าวัดก็ดันท่องได้แค่บทเดียวซะด้วยสิ “นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต...” ท่องแบบเดิมๆซ้ำไปซ้ำมา จนกระทั่งมีเสียงทุ้มของผู้ชายสวดมนต์ไปพร้อมกับฉันด้วยน้ำเสียงขบขัน ‘นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต...’ ไอ้ผีบ้านี่มันมีการล้อเลียนฉันด้วย! ในเมื่อสวดมนต์ไม่ได้ผลก็มีแต่ต้องด่ากันไปข้างหนึ่งล่ะ “ไอ้ผีบ้า ต่างคนต่างอยู่ไปดิ จะมากวนทำไมคนจะหลับจะนอน” ‘เหงา อยากมีเพื่อน’ พอได้ยินเสียงตอบกลับมา ฉันก็ลืมตาขึ้นทันทีก่อนจะเบิกตากว้างขึ้นด้วยความตกใจเพราะเห็นเงาร่างเลือนลางของผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังคร่อมตัวฉันอยู่ ‘ว่าแล้ว เธอต้องเห็นฉัน’ ไอ้ผีนั่นมันยิ้มให้ฉันด้วย! ตอนแรกได้ยินแค่เสียงแต่ตอนนี้ฉันเห็นผีตัวเป็นๆ! ฉันหลับตาลงกระพริบตาปริบๆ เผื่อว่าจะตาฝาดแต่ไม่ว่าจะทำยังไงก็ยังเห็นเงาคนด้านบนที่กำลังยิ้มกวนตีนให้กับฉันอยู่ดี ‘ไม่สวดมนต์ต่อแล้วเหรอ’ ไอ้ผีบ้านี่มันหัวเราะเยาะเย้ยฉันด้วย! [1] เจ๊แต๋วกับอาโคยเป็นตัวละครหลักในภาพยนต์ผีคอมเมดี้เรื่องหอแต๋วแตก
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD