“พี่เชื่อว่าปลายต้องสมหวัง” ถ้าเขาคนนั้นเป็นพี่ต้น เธอคิดต่อในใจ “เพิ่งจะสองทุ่มกว่า ๆ เอง เราไปหาอะไรกินเป็นการฉลองล่วงหน้าดีกว่ามั้ย กินตุนไว้สำหรับการสารภาพรักครั้งยิ่งใหญ่ไง” ธิมาดาหัวเราะเสียงดังตบท้ายประโยค เมื่อเห็นอาการอายแทบม้วนของอีกฝ่าย
“ไปก็ไปสิคะพี่แฟน กินน้ำแข็งไสเพิ่งความหวานเตรียมไว้ก็ดีนะคะ” แล้วทั้งสองก็พากันเปลี่ยนชุดนอนเป็นชุดลำลองง่าย ๆ ขับรถออกจากบ้านไปยังปั๊มน้ำมันหน้าปากซอยใหญ่ ที่มีร้านอาหารคาวหวานหลายร้านเปิดอยู่ในนั้น
......................
ยุทิตย์นั่งรอฐวรรษอยู่ในผับของเพื่อนตามที่นัดกันไว้ แล้วชวนคุยถึงเรื่องราวต่าง ๆ ถามไถ่ถึงเพื่อนคนอื่น ๆ ที่ตัวเองไม่ค่อยมีโอกาสได้เจอบ่อยนัก
“ฉันตกใจนะ ที่นายมาโดยที่ไม่โทรมานัดล่วงหน้าก่อนแบบนี้ ดีนะที่วันนี้ฉันเข้าร้าน”
“ก็ไอ้ต้นน่ะสิ มันบอกว่ามีปัญหาชีวิตอยากปรึกษา นัดให้ฉันมารอที่นี่”
“อ๋อ แล้วเมื่อไหร่จะกลับไปที่ไร่วะเป้ นายไม่ค่อยชอบอยู่กรุงเทพไม่ใช่เหรอ”
“อือ เพิ่งมาได้ไม่กี่วัน อาทิตย์หน้าก็กลับแล้ว ที่ไร่งานมันหลากหลายและใช้คนทำงาน แต่ที่นี่ใช้ระบบทำงาน อยู่ที่ไหนก็ทำได้ แล้วยังได้ไอ้ต้นกับน้องปลายช่วยดูแล รุ่นพี่ของน้องปลายก็ทำงานดี ฉันเลยไม่ต้องห่วงอะไรมาก” จริง ๆ เขาไม่ต้องเข้ามาตรวจงานเลยก็ยังได้ แต่ที่ต้องมาก็เพราะคิดถึงใครบางคน อยากมาเจอหน้าเธอ อยากอยู่ใกล้ ๆ เธอต่างหาก
“นายนี่ถ้ากรีดเลือดออกมาสงสัยจะเป็นสีเขียวนะ รักความเป็นชาวไร่ชาวสวนเหลือเกิน”
“เอ่อขอบใจนะที่ประชด แต่ฉันไม่ขอปฏิเสธนะ เพราะฉันชอบเป็นหนุ่มชาวไร่มากกว่านักธุรกิจใส่สูทว่ะ”
“เอ่อ ถ้าเมียไล่เมื่อไหร่จะไปขอที่ซุกหัวนอนนะ” มนูญพูดในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะตอนนี้แม้แต่แฟนสาวเขาก็ยังไม่มี “โน่น เพื่อนรัก ลูกจ้าง และอนาคตอาจจะพ่วงตำแหน่งน้องเขยของนายด้วย เดินหน้าเหี่ยวมาโน่นแล้ว ฉันไปก่อนดีกว่า มันคงจะมีเรื่องไม่สบายใจอยากปรึกษานายจริง ๆ นั่นแหละ” แล้วลุกจากไปพร้อมกับยกมือทักทายเพื่อนอีกคนที่กำลังเดินมา
ฐวรรษยกมือทักตอบมนูญพร้อมพยักหน้าให้ เดินถึงโต๊ะก็นั่งลงฝั่งตรงข้ามกับยุทิตย์ ไม่ได้ถามว่าทำไมมนูญถึงไม่อยู่ร่วมวง เพราะมันเป็นสิ่งที่เขาต้องการในเวลานี้
ทั้งสองจิบเบียร์เย็น ๆ ฟังเพลงนุ่ม ๆ ที่เปิดคลอเบา ๆ สร้างบรรยากาศไปเรื่อย ๆ ผ่านไปสักพักใหญ่โดยไม่มีการพูดคุยระหว่างกัน เหมือนกำลังหยั่งเชิงกันอยู่
ฐวรรษมองหน้าเพื่อนสนิท..แล้วยกเบียร์ขึ้นมาดื่มทีเดียวหมดแก้ว เขาอ้ำอึ้งเพราะไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดี ไม่ใช่ว่าไม่กล้า แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหนมากกว่า
ยุทิตย์ยกเบียร์ขึ้นมาดื่มไปอึกใหญ่แล้ววางแก้วลง เขากำลังคิดว่าอีกฝ่ายนัดเขาออกมาเพราะเรื่องอะไรกันแน่ เกี่ยวกับเขาหรือไม่ แล้วทำไมมันถึงไม่ยอมพูดอะไรสักที ทั้ง ๆ ที่เป็นฝ่ายนัดเขามาแท้ ๆ
“สรุปแกมีอะไรจะบอกฉันวะ เอาแต่เงียบแบบนี้ฉันจะรู้ไหมเพื่อน” ที่สุดแล้วก็เป็นเขาที่เปิดประเด็นเพราะทนรอไม่ไหว
“..ฉันชอบผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ว่ะ อยากให้นายช่วย”
“ใครวะ! แล้วฉันจะช่วยอะไรนายได้” เรื่องของฉันเองฉันยังไม่มีปัญญาเลยไอ้ต้นเอ๊ย เขาสารภาพกับเพื่อนในใจ
“ช่วยได้สิ ถ้านายจะช่วย” เขาประสานสายตากับเพื่อนไม่มีหลบ “นายช่วยเปิดทางให้ฉันหน่อยได้มั้ยวะเป้”
“เฮ้ย!” ยุทิตย์อุทานเสียงดังจนโต๊ะใกล้เคียงหันมามอง “อย่าบอกนะว่าน้องสาวฉัน” เห็นเพื่อนพยักหน้าความตกใจก็เปลี่ยนเป็นยิ้มดีใจ แต่ก็หัวเราะไม่ออก สิ่งที่เขาสงสัยเป็นความจริงหรือนี่
“ฉันแอบรักน้องสาวนาย รักมานานแล้วแต่ไม่กล้าบอกเธอ” ฐวรรษบอกกับเพื่อนรัก แล้วเรื่องราวมากมายก็ถูกสารภาพออกมาจนหมด ตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน
ยุทิตย์นั่งฟังด้วยความสงบ รู้สึกนับถือน้ำใจของเพื่อนนัก ที่ไม่เป็นคนฉวยโอกาส หากำไรจากน้องสาวของเขา ทั้งที่มีโอกาสมาหลายปี
“แล้วอะไรที่ทำให้นายกล้าก้าวออกมาจากคำว่าแอบวะ”
“ไม่รู้สิ อาจจะเพราะผู้ชายที่ชื่อณัฐ ที่เป็นเพื่อนของน้องปลายมั้ง” แล้วเขาก็เล่าเรื่องชายหนุ่มที่แอบได้ยินมาให้เพื่อนฟัง
“เลวจริง ๆ แกก็เลยกลัวว่าน้องสาวฉันจะเสียท่าให้ไอ้กะล่อนนั่น” เขาหมายถึงเธออาจจะมีใจให้มันเพราะทนความปากหวานของมันไม่ไหว และอาจจะต้องเสียใจภายหลัง
“ใช่ ฉันเฝ้าถนอมน้องปลายมานานหลายปี ประคองไว้ในอุ้งมือ ไม่ยอมให้มีรอยขีดข่วน ฉันจะไม่ยอมเสียเธอให้ผู้ชายห่วย ๆ พันธุ์นั้นหรอกเป้”
“พูดแบบนี้ ถ้าเป็นคนอื่นที่นายเห็นว่าดีก็ไม่ปฏิเสธงั้นสิ”
คำถามของพี่ชายเธอทำให้เขาอึ้งไปเล็กน้อย “ใช่ ฉันยอมทุกอย่าง ถ้าคนคนนั้นเหมาะสมกับน้องปลาย”
“แต่ฉันไม่ยอมแน่ ถ้าผู้ชายคนนั้นไม่ใช่แก” แล้วยื่นมือออกไปข้างหน้า
ฐวรรษมองมือที่ยื่นออกมา แล้วมองหน้าเพื่อนสนิทที่มีแต่รอยยิ้มยินดีส่งมาให้ มันเกินคาดมาก ๆ สำหรับเขา เขายิ้มออกมาอย่างดีใจที่สุด แล้วยื่นมือออกไปจับมือกับเพื่อน
“ขอบใจมากนะเป้ ขอบใจที่ช่วยเปิดทางให้ฉัน ขอบใจจริง ๆ” เขาย้ำประโยคเดิมซ้ำ ๆ เพราะดีใจจนไม่รู้จะพูดอะไรดีไปกว่านี้