ภายในห้องทำงานส่วนตัว เสียงปิดแฟ้มดัง ปึก! ขณะที่เอ็นเจนั่งพิงพนักเก้าอี้ หลับตาเอามือคลายเนกไทออก หลังจากจัดการเรื่องเอกสารฝึกงานของอริลกับทรายเสร็จ คริสที่ยืนพิงโต๊ะทำงานอยู่อีกฝั่ง ส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนหัวเราะหึ ๆ
“ผมละสงสัยจริง ๆ ทำไมเรื่องฝึกงานเล็ก ๆ แค่นี้นายต้องลงมาดูเองด้วยตัว”
“กูจะไม่สนใจเลย ถ้าไอ้อาร์เจไม่กำชับนักหนามา” เอ็นเจลืมตาขึ้นช้า ๆ สายตาคมนิ่งเรียบ แต่แฝงแววบางอย่างที่อ่านไม่ออก
“ผมไม่เข้าใจ”
“โง่!! กูไม่สนใจอาร์เจหรอก แต่กูสนใจคนที่สั่งมันมามากกว่า”
“???” คริสเลิกคิ้ว ทำหน้ามึนเต็มที่ เอ็นเจถอนหายใจอย่างเหนื่อยใจ
“โอ๊ยย กูจะพูดยังไงกับมึงดี มึงถึงจะเข้าใจวะ”
“ก็แค่อธิบาย จะยากอะไร”
“ก็คิมไง มึงจำได้ไหม??”
“แฟนอาร์เจ??”
“ใช่ไง มึงก็รู้ว่าเธอแสบแค่ไหน กูยังจำตอนที่เธอเอาคืนกูได้อยู่เลย” เอ็นเจพูดเสียงทุ้มเรียบ แววตาแฝงรอยขุ่นปนนิด ๆ คริสหัวเราะเบา ๆ ทันที
“อ๋ออออ… เข้าใจแล้ว คิมฝากฝังมา งั้นพี่เลยต้องทำตัวเป็น พี่ชายที่ดี ดูแลน้องสาวของเขาให้เต็มที่ใช่ป่ะ”
“ไม่ใช่แค่ฝากฝัง มันคือคำสั่ง… แบบไม่ให้กูมีสิทธิ์ปฏิเสธด้วยซ้ำ” เอ็นเจส่ายหัวเล็กน้อย พลางหัวเราะหึ ๆ กับตัวเอง
“ผู้หญิงอะไร บังคับเก่งกว่าผู้ชายอีก”
“แต่ผมว่า…” คริสกอดอกมองเจ้านายอย่างรู้ทัน “ถึงไม่ใช่คำสั่งของคิม พี่ก็คง ไม่ปล่อยผ่านอยู่ดี ใช่ไหมล่ะ”
เอ็นเจชะงักไปเสี้ยววินาที ก่อนจะปรายตามองเขม็งเหมือนจะห้ามไม่ให้พูดต่อ แต่คริสกลับยักไหล่ยิ้มกวน ๆ อย่างไม่กลัวตาย
ความเงียบเข้าปกคลุมอยู่ครู่หนึ่ง เอ็นเจเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ดวงตาคมทอดมองไปยังแฟ้มเอกสารที่ปิดสนิทอยู่บนโต๊ะอย่างเหม่อลอย ภาพรอยยิ้มประหม่าของอริลที่เจอเมื่อครู่ผุดขึ้นมาในห้วงความคิดโดยไม่ทันตั้งใจ
ปลายนิ้วที่วางอยู่บนที่เท้าแขนเผลอกระดิกเบา ๆ คล้ายเก็บความรู้สึกบางอย่างที่ไม่ควรแสดงออก แต่เพียงเสี้ยววินาทีก็กลับมาเป็นใบหน้าขรึมเช่นเดิม
“ผมพูดถูกใช่ไหมล่ะ” คริสยักคิ้วถามเสียงกวน ๆ
“หุบปากแล้วไปทำงานของมึง” เสียงทุ้มเรียบกดต่ำ เอ็นเจหันไปคว้าแฟ้มอีกกองขึ้นมาทำเป็นตั้งใจอ่าน แต่แววตาคมกลับไม่ได้โฟกัสที่ตัวอักษรเลยสักนิด
“เห้อ… ไม่พูดก็รู้แล้วว่าคิดอะไรอยู่” คริสหัวเราะเบา ๆ พลางส่ายหน้า เอ็นเจไม่ตอบ แต่กดริมฝีปากแน่นเล็กน้อย พยายามปิดบังความจริงที่ตัวเองยังไม่พร้อมยอมรับ ว่าเขาก็สนใจเธออยู่ไม่น้อย
ภายในห้องอาหารของบริษัทเต็มไปด้วยพนักงานที่กำลังนั่งรับประทานมื้อกลางวันกันเงียบ ๆ เสียงพูดคุยเบา ๆ แทรกอยู่เป็นระยะ อริลนั่งตรงข้ามทรายบนโต๊ะริมหน้าต่าง ก้มหน้าก้มตาจัดการอาหารของตัวเองอย่างเงียบเชียบเหมือนปกติ แต่สายตาทรายกลับเหลือบมองเพื่อนแล้วก็ถอนหายใจแรง ๆ ก่อนจะวางช้อนลงบนจาน ก๊อง! จนคนโต๊ะข้าง ๆ หันมามองเล็กน้อย
“เล่ามาให้หมดเลยนะ ไอ้ริล”
“ห๊ะ!? อะไรของแก” อริลชะงัก เงยหน้ามองเพื่อนด้วยสีหน้างง ๆ
“อย่ามาแกล้งโง่!! ทรายเห็นนะสายตาที่แกมองพี่เอ็นเจ มันไม่ปกติเหมือนสายตาของคนที่มีความรักเลย” ทรายพูดเสียงต่ำแต่ดวงตาเป็นประกายราวกับนักสืบกำลังไล่ต้อนผู้ต้องสงสัย อริลรีบหันไปมองซ้ายขวาอย่างร้อนรน เพราะเกรงว่าพนักงานโต๊ะใกล้ ๆ จะได้ยิน ก่อนจะโน้มตัวมาข้างหน้า พูดเสียงกระซิบ
“อย่าพูดเสียงดังสิ แกจะบ้าเหรอ”
“ก็บ้าเพราะแกนี่แหละ!!” ทรายตอบพลางยกคิ้ว “ทำไมต้องทำหน้าแดงด้วยล่ะ ถ้าไม่มีอะไรจริง”
“ไม่ได้แดง!” อริลเถียงเสียงเบา รีบก้มหน้าตักข้าวใส่ปากอย่างร้อนรนแต่ยิ่งทำแบบนั้นยิ่งเป็นการฟ้องชัด ทรายยกยิ้มเจ้าเล่ห์
“เถียงยังไงก็ไม่รอดหรอกสารภาพมา” อริลวางช้อนลงทันที เสียงกระทบจานเบา ๆ แทบจะกลบไม่มิดแรงเต้นของหัวใจ เธอหลบสายตาทรายแทบไม่ทัน ริมฝีปากเม้มแน่นอย่างลังเล
“ริล…” น้ำเสียงของทรายอ่อนลงแต่สายตายังคงจับจ้องไม่ยอมปล่อย “ทรายเป็นเพื่อนแกนะ เรื่องบางอย่างต่อให้แกไม่พูดออกมา แต่ฉันก็ดูออก” อริลนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะถอนหายใจแผ่ว ๆ มือเผลอกำชายเสื้อแน่นราวกับหาที่พึ่งพิง
“ก็แค่… เมื่อก่อนริลเคยเข้าใจผิด คิดว่าเขาเป็นแฟนของพี่คิมเลยหักห้ามใจตัวเอง” เสียงอริลสั่นเล็กน้อยขณะพูด “แต่พอรู้ความจริงว่าเขาไม่ใช่… มันก็ยิ่งห้ามไม่อยู่” ทรายเบิกตากว้างนิด ๆ ก่อนจะยกยิ้มออกมา ทั้งโล่งใจและตื่นเต้นแทนเพื่อน
“โอ๊ยยยย ในที่สุดก็ยอมรับซะที!”
“ชู่ว์!! เบา ๆ สิ!” อริลรีบยกมือขึ้นปิดปากเพื่อน แต่แก้มก็แดงจัดจนซ่อนแทบไม่มิด ทรายหัวเราะคิกพลางเอื้อมมือมาจับแขนเพื่อนเบา ๆ
“ไม่ต้องกลัวหรอกริล ทรายอยู่ข้างแกเสมอ แต่แกก็ต้องแน่ใจนะ ว่าพี่เอ็นเจ… เขาจะรู้สึกเหมือนกันกับแกจริง ๆ” คำพูดของทรายทำอริลชะงัก หัวใจเผลอเต้นแรงขึ้นอีกครั้งโดยไม่รู้ตัว ภาพสายตาคมที่เคยมองมาทำให้เธอเผลอกำช้อนในมือแน่น ความคิดตีกันในหัวระหว่างความหวังและความกลัว
อริลกำลังนั่งเรียงเอกสารบนโต๊ะทำงานอย่างตั้งใจ พลางเหลือบตามองนาฬิกาบ่อย ๆ เพราะยังรู้สึกประหม่าเล็กน้อยกับงานฝึกงานที่เพิ่งเริ่มต้นได้ไม่กี่วัน เสียงโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ใกล้ ๆ ดังขึ้นทำให้เธอสะดุ้งเล็กน้อย พร้อมสายเรียกเข้าที่ปรากฏชื่อ ‘เจ๊คิม’ บนหน้าจอ อริลยิ้มบาง ๆ ก่อนกดรับ
“คิดถึงริลใช่ไหม ถึงได้โทรมา”
[อ้าว!! รู้ทันกันซะแล้ว ฮ๋า ๆ ๆ ๆ] เสียงคิมสดใสและมีเลสนัยทำให้อริลอดยิ้มไม่ได้
“นี่ใครคะ?? นี่น้องเจ๊คิมนะ ว่าแต่ว่างหรือไงถึงได้โทรมาหาริลได้”
[โหยยยย ปากเก่งนะเรา] คิมทำเสียงแกล้งงอนผ่านสาย ก่อนหัวเราะเบา ๆ
[เจ๊ไม่ได้โทรมากวนเปล่า ๆ หรอกนะ แต่เจ๊อยู่ข้างล่างบริษัทแล้วต่างหาก นี่ก็กำลังจะขึ้นไปหาริลเลย] อริลชะงักทันที ดวงตากะพริบถี่ ๆ รู้สึกหัวใจเต้นแรงขึ้นมาดื้อ ๆ
“ห๊ะ!? ม…มาแล้วเหรอคะ ทำไมไม่บอกก่อนล่ะ”
[ก็บอกแล้วนี่ไง] คิมตอบหน้าตาเฉย [หรือไม่อยากให้พี่ไปหา]
“ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย!! แต่…เอ่อ…” อริลรีบตอบเสียงร้อนรน มือเล็กเผลอกำปากกาที่ถืออยู่แน่นราวกับไม่รู้จะทำท่าทางยังไงให้ดูเป็นปกติ
[โอเค ๆ งั้นพี่ไม่กวนแล้ว แค่อยากเจอริลสักหน่อย รอแป๊บ เดี๋ยวขึ้นไป] เสียงสายถูกกดตัดไป อริลยังคงนั่งนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพึมพำกับตัวเองเบา ๆ
“ให้ตายสิ…ทำไมต้องโผล่มาแบบไม่ให้ตั้งตัวทุกทีเลยนะ”
เธอรีบเก็บโต๊ะให้เรียบร้อย เสยผมจัดเสื้อผ้าไปมา พลางเหลือบมองนาฬิกาอีกครั้งด้วยความประหม่าเหมือนจะต้องสอบสัมภาษณ์ใหม่อีกรอบ