ตอนที่8 ล่าเหยื่อคนที่สอง
“เฉพาะ บางคน" เขาตอบช้า ๆ ก่อนจะยกแก้วน้ำขึ้นดื่มอย่างไม่รีบร้อน
“ถ้าอย่างนั้นฉันคงต้องถือว่าเป็นเกียรติสินะคะ” เธอพูดเรียบ ๆ พลางเลื่อนสายตากลับไปยังแก้วน้ำในมือของตัวเอง
“แล้วแต่คุณจะคิด” เขาวางแก้วลงเสียงดังเล็กน้อย
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารนิ่งงัน มีเพียงเสียงช้อนกระทบจานเบา ๆ จากโต๊ะข้าง ๆ ที่กลบความอึดอัดไว้แทบไม่มิด
พนักงานเดินเข้ามาพร้อมถาดอาหารในมือ กลิ่นหอมของพริก กระเทียม และใบกะเพราโชยขึ้นแตะจมูกทันทีที่จานถูกวางลงตรงหน้า
“ข้าวผัดกะเพราเนื้อวากิวราดด้วยไข่ดาวฉ่ำ ๆ” ใบหน้าเรียวสวยยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาว บ่งบอกชัดเจนว่าเธอถูกใจอาหารที่ชายหนุ่มสั่งให้
“คุณรู้ได้ยังไงคะว่าฉันอยากกินเมนูนี้” ญารินเงยหน้าขึ้นนิด ดวงตาเต็มไปด้วยความแปลกใจ
“ผมไม่รู้ว่าคุณชอบทานอะไร และจานนี้เมนูดังของร้านแค่นั้น” อคิณตอบเรียบ ริมฝีปากแทบไม่ขยับ
“แต่ถึงยังไงก็ขอบคุณ คุณมากค่ะ” เธอเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มมุมปากบาง ๆ
“รีบกินเถอะ อย่ามัวแต่พูดมาก” เขาเหลือบตามองเธอเพียงชั่ววูบ ญารินไม่อยากต่อบทสนทนา จึงหันกลับมาที่จานอาหารตรงหน้า ใช้ช้อนตักข้าวขึ้นช้า ๆ กลิ่นหอมเผ็ดร้อนทำให้เธอเผลอขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ทันทีที่ได้ลองชิมรสชาติกลมกล่อมลงตัวอย่างไม่น่าเชื่อ
“ถ้าเผ็ดไปก็สั่งจานใหม่” น้ำเสียงทุ้มต่ำดังขึ้นตรงข้ามโดยที่เขายังไม่ละสายตาออกจากเธอ
“ไม่เผ็ดเกินไปค่ะ ฉันทานเผ็ดได้” เธอตอบสั้น เสียงเรียบ แต่ในใจกลับรู้สึกเหมือนถูกจับตามองทุกจังหวะ อคิณพยักหน้าเบา ๆ ก่อนจะหันไปตักอาหารของตัวเอง รอยยิ้มบางเฉียบปรากฏขึ้นเพียงเสี้ยววินาที เหมือนพอใจอะไรบางอย่างที่เธอมองไม่เห็น เธอพยายามตั้งสติ จับช้อนส้อมต่ออย่างนิ่งเฉย ทั้งที่รู้ดีว่าทุกครั้งที่เงยหน้าขึ้น จะพบสายตาคมคู่นั้นกำลังจ้องเธออยู่ตลอดเวลา
ญารินทานผัดกะเพราจนหมดจาน ทั้งที่ปากบอกว่า “ไม่เผ็ดเกินไป”
แต่เหงื่อกลับผุดเต็มหน้าผาก เม็ดเล็ก ๆ ละไหลลงข้างแก้ม เนื้อแก้มเนียนแดงระเรื่อจากความเผ็ดร้อนของพริกและใบกะเพราของไทย
ดวงตาคมนิ่งเผลอมองจ้องไปที่ริมฝีปากอวบอิ่มตรงหน้าสีแดงฉ่ำจากรสเผ็ด แถมยังบวมเจ่อเล็กน้อย ญารินรู้สึกได้ถึงแรงมอง สัญชาตญาณบางอย่างทำให้เธอเผลอกัดริมฝีปากของตัวเองเบา ๆ
“น้ำ” เขาพูดแผ่ว เสียงทุ้มต่ำจนแทบเป็นกระซิบ ก่อนเลื่อนแก้วน้ำเย็นมาตรงหน้าเธอ
“ขอบคุณค่ะ” เธอเอ่ยเสียงเรียบเบา พยายามควบคุมให้นิ่งเท่าที่จะทำได้ ก่อนจะยกแก้วขึ้นดื่มรวดเดียว
"ทีหลังถ้ารู้ว่ากินเผ็ดไม่ได้ ก็อย่าฝืนกิน ถ้าเกิดปวดท้องขึ้นมามันจะเดือดร้อนผมต้องพาคุณไปส่งโรงพยาบาล" ญารินชะงักมือที่ถือแก้วแน่นขึ้นนิดหนึ่ง ก่อนจะวางมันลงอย่างสงบ
"ฉันบอกคุณไปแล้วนี่คะว่าฉันสามารถทานเผ็ดได้ ฉันไม่เป็นไร"
"ดูสภาพตัวเองตอนนี้ก่อน ปากบวมเจ่อขนาดนั้นยังจะเถียง" เสียงของเขานิ่ง แต่ฟังออกว่ากำลังหงุดหงิด แต่ไม่รู้หงุดหงิดหญิงสาวตรงหน้าหรือหงุดหงิดที่กำลังควบคุมตัวเองไม่ได้
"สารแคปไซซิน ไปกระตุ้นปลายประสาทรับความเจ็บปวดทำให้หลอดเลือดขยายตัว อีกสักพักก็หายเอง คุณอคิณไม่เคยทานเผ็ด เลยยังไม่รู้ว่าแค่ปากบวมเพราะทานเผ็ดมันหายได้เองโดยที่ไม่ต้องไปโรงพยาบาลค่ะ" เธอตอบกลับเรียบ ๆ แล้วหยิบกระดาษทิชชูซับมุมปากช้า ๆ ท่าทางนั้นเรียบเฉย
"เถียงเก่ง" น้ำเสียงกดต่ำพอให้รู้ว่าเขาเริ่มจริงจัง
"ไม่ได้เถียงค่ะ แค่อธิบาย" ญารินเงยหน้าขึ้นช้า ๆ สบตาเขาเต็มแรงอย่างคนไม่ยอม
"จะทานของหวานไหม ถ้าไม่ทานจะได้กลับ" อคิณต้องเป็นฝ่ายยอมเอง เพราะขืนมัวแต่เอาชนะกันไปมาวันนี้ทั้งวันคงไม่ต้องทำอะไร
"ไม่แล้วค่ะ ขอบคุณค่ะ"
บนรถ
อคิณเหยียบคันเร่งออกจากร้าน ญารินวางมือบนกระเป๋าเล็ก มองออกไปนอกหน้าต่าง แสงแดดสะท้อนบนถนนเรียบ เงาอาคารสูงสลับกับต้นไม้ อคิณทำหน้าที่คนขับ สายตาเหลือบมองเธอบ่อยครั้ง
“คิดว่าการทำงานที่นี่ จะปรับตัวได้เร็วไหม” เอ่ยถามเสียงต่ำ ขณะที่สายตายังมองการจราจรข้างหน้า
“ฉันคิดว่าสามารถปรับตัวได้เร็วแน่นอนค่ะ” เธอหันมองใบหน้าคมด้านข้างแล้วตอบกลับสั้น ๆ
เขาเงียบไปครู่หนึ่ง มือข้างหนึ่งจับพวงมาลัยแน่น มืออีกข้างพิงข้างประตูในท่าสบาย ถึงแม้การจราจรจะค่อนข้างติดขัด
"เมืองไทยแตกต่างจากที่โน่นมาก สามารถปรับตัวได้ใช่ไหม"
"ฉันเกิดที่นี่ และเคยอาศัยอยู่ที่นี่ค่ะ เรื่องนี้คุณไม่ต้องเป็นห่วงค่ะ ไม่ว่าจะเรื่องอาหาร การเดินทาง หรือแม้กระทั่งการใช้ชีวิต ตอนนี้ฉันแค่ยังไม่คุ้นชินเท่านั้นเองค่ะ” เธอตอบเรียบ ดวงตาของเธอยังคงนิ่ง อคิณรับรู้ได้ทันทีว่าผู้หญิงบอบบางข้าง ๆ เขาไม่ใช่คนที่อ่อนแอ เท้าแตะเบรกเบา ๆ เมื่อเจอสัญญาณไฟแดง
“แผนต่อจากนี้...ในบริษัท คิดว่าจะทำอะไร” เขาพูดเหมือนกำลังสนทนาเรื่องงาน แต่ไม่ใช่เรื่องงาน
“ฉันจะทำตามที่ได้รับมอบหมายค่ะ” เสียงของเธอนิ่ง เรียบ แต่ชัดเจนพอจะทำให้คนฟังเข้าใจชัดเจน
“แล้วนอกจากเรื่องงานล่ะ วางแผนจะใช้ชีวิตที่นี่ตลอดไปเลยไหม”
"เรื่องนี้ขออนุญาตไม่ตอบนะคะ เพราะมันเป็นเรื่องส่วนตัว" ญารินหันมองเขาเพียงแวบเดียว ก่อนตอบสั้น ๆ
"ผมขอโทษที่ถามเรื่องส่วนตัวของคุณ" อคิณนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนเสียงทุ้มต่ำเอ่ยเบา
"ไม่เป็นไรค่ะ ฉันคิดว่าคุณคงเป็นห่วงฉัน" เธอตอบเรียบ พลางหันกลับไปมองนอกหน้าต่างอีกครั้ง
หลังจากนั้นในรถก็เงียบอีกครั้งเหลือเพียงเสียงเครื่องยนต์ที่ดังสม่ำเสมอ กับเสียงลมหายใจของคนสองคนที่พยายามไม่ให้ดังเกินไป
อคิณยังคงตั้งใจขับ ส่วนญารินยังคงทอดสายตามองออกไปไกลเหมือนโลกภายนอกน่าสนใจ ทั้งที่รอบตัวเธอมีเพียงรถลามากมายที่กำลังวิ่งอยู่บนถนน
กลับมาถึงบริษัท ญารินเดินตรงไปยังโต๊ะทำงานของตัวเอง
เปิดคอมพิวเตอร์แล็ปท็อป สายตาจับจ้องหน้าจอ ไม่สนใจว่าจะมีอีกคนนั่งอยู่ในห้อง ราวกับว่าเขาเป็นเฟอร์นิเจอร์อีกชิ้นหนึ่งในห้องเท่านั้น
5 โมงเย็น
ครืด~ ครืด~ ครืด~
เสียงโทรศัพท์มือถือสั่นกระทบกับโต๊ะทำงานเมื่อมีสายเรียกเข้า
'ว่าไงลียา'
'คืนนี้จะไปที่ผับไหม เพื่อนฉันรายงานมาว่าไอ้ณวัฒน์จองโต๊ะที่นั่นคืนนี้'
'ไป'
'เดี๋ยวฉันไปรับแกที่คอนโดตอนสามทุ่ม แล้วเจอกัน'
"ฉันขอตัวกลับก่อนนะคะ" ญารินยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกาอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าตอนนี้เลยเวลาเลิกงานแล้ว ก่อนจะหันไปบอกชายหนุ่มที่นั่งเอนหลังพิงพนักโซฟาในมือเล่นมือถือในท่าสบายโดยไม่มีทีท่าจะลุกกลับบ้านทั้งที่ตอนนี้เลยเวลาเลิกงานแล้ว และเขาเองก็คงทำงานเสร็จแล้ว
"เดี๋ยวผมไปส่ง"
"ไม่เป็นไรค่ะ ฉันนั่งแท็กซี่กลับเองจะสะดวกว่า"
"ผมไปส่งไม่สะดวกกว่าหรือไง หรือกลัวว่าผมจะรู้ว่าบ้านคุณอยู่ที่ไหน"
"เปล่าค่ะ"
"ถ้าเปล่าก็ตามผมมา ผมนั่งรอคุณมาครึ่งชั่วโมงแล้ว" ญารินชะงักเล็กน้อย ก่อนหลุบตาลง ไม่อยากเถียงให้ยืดเยื้อ แต่สุดท้ายก็อดพึมพำออกมาไม่ได้
"ฉันบอกให้คุณรอหรือไง อยากรอฉันเองแล้วมีสิทธิ์อะไรมาบ่น"
"ฉันได้ยินนะ ฉันเป็นรองประธานบริษัทนะเผื่อเธอลืม" อคิณเอ่ยเสียงเรียบ มองหญิงสาวด้วยสายตาเข้มดุเล็กน้อย
"ตอนนี้เลิกงานแล้วค่ะ คุณกับฉันก็เป็นคนธรรมดาเหมือนกัน" ญารินเชิดหน้าขึ้น มองสบตาเขาตรง ๆ ตอบสวนกลับทันที
"หึ..จะเอาอย่างนั้นก็ได้" มุมปากของอคิณกระตุกขึ้นเล็กน้อย คล้ายรอยยิ้มที่ไม่มีความรู้สึกใด ๆ
สามทุ่ม ณ ผับ AK
ครืด~ ครืด~ ครืด~
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น อคิณก็กดรับทันที
'มีอะไร ฉันบอกแล้วว่าวันนี้ฉันไม่เข้าผับ' เสียงเข้มดุตอบกลับด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเมื่อกดรับสายลูกน้องคนสนิทที่ทำหน้าที่ดูแลผับ
'นายครับ คุณผู้หญิงคนนั้นตอนนี้อยู่ที่ผับเราครับ' เสียงลูกน้องปลายสายเอ่ย คิ้วเข้มของเขาขมวดแน่นขึ้นทุกวินาที
'เธอมากับใคร'
'มากับเพื่อนเธอคนเดิมครับ'
'แล้วตอนนี้เธออยู่ที่ไหน'
'นั่งอยู่ที่เดิมครับ เคาน์เตอร์บาร์'
'จับตาดูเธอไว้'
เพียงประโยคนั้น ร่างสูงกระชากตัวลุกขึ้นจากโซฟาทันที มือคว้าเสื้อเชิ้ตตัวใหม่ที่พาดอยู่บนพนักเก้าอี้ แล้วเปลี่ยนโดยแทบไม่สนใจว่ากระดุมติดครบหรือไม่