เสียงคลื่นกระทบเรือไม้ดังสะท้อนในความมืดของมหาสมุทร ชายหนุ่มยืนพิงราวเรือ พลางทอดสายตามองเส้นขอบฟ้าที่ลับหายไปกับแสงดาว คืนนี้เงียบสงบ เหมาะกับการรับสายลมเย็นที่พัดผ่าน
ตอนแรกเขาตั้งใจจะอาศัยอยู่ที่ท่าเรือสักพักหนึ่ง แล้วค่อยออกเดินทางต่อ ท่าเรือนั้นเต็มไปด้วยชีวิตชีวา ร้านเหล้าเสียงดัง ผู้คนเดินขวักไขว่ เหมาะกับการเริ่มต้นชีวิตใหม่ แต่แล้วคำเชิญจากพ่อค้าก็เปลี่ยนความตั้งใจของเขา
พ่อค้าคนนี้เป็นคนเดียวกับที่เขาขอติดเกวียนมาด้วย เมื่อเขาได้เห็นฝีมือการต่อสู้ของชายหนุ่มในระหว่างการเดินทาง พ่อค้าจึงเสนอค่าจ้างก้อนใหญ่เพื่อให้คุ้มกันสินค้าไปยังทวีปอื่น แม้ตอนแรกจะลังเล แต่เมื่อคิดถึงค่าตอบแทน สวัสดิการที่ได้รับ แถมโอกาสเดินทางไกลที่เขาไม่เคยสัมผัส เขาจึงตอบรับข้อเสนอ
"ถึงตอนแรกจะไม่ชิน ทำให้เมาเรือก็เถอะ แต่พอปรับตัวได้ มันก็ไม่เลวเลย…." เขาพึมพำกับตัวเอง
กลุ่มผู้คุ้มกันที่พ่อค้าจ้างมาก่อนหน้านี้ได้สลายตัว แยกย้ายออกไปแล้ว เหลือเพียงเขาและพวกอีกไม่กี่คนที่ตัดสินใจเดินทางต่อ
เรือลำนี้ไม่ใหญ่นัก แต่ดูแข็งแรงพอที่จะฝ่ามหาสมุทร เขาเดินสำรวจดาดฟ้าเรืออย่างละเอียดเมื่อขึ้นมาเป็นครั้งแรก ลูกเรือที่นี่มีตั้งแต่คนหนุ่มสาวไปจนถึงชายแก่ผู้มีประสบการณ์ยาวนาน แต่ละคนดูมีเรื่องราวไม่ธรรมดา โดยเฉพาะกัปตันเรือ หญิงสาววัยกลางคนที่มีสายตาเฉียบคมและคำพูดเฉียบขาด
กัปตันเรือที่สังเกตุเห็นเขา ก็เดินเข้ามาหา ขณะที่ชายหนุ่มกำลังรับลมเย็นอยู่
"ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เจ้าขึ้นเรืองั้นหรือ?" เธอถามด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
ชายหนุ่มหันมามองหน้ามองเธอ ก่อนตอบ "ใช่ครับ นี้เป็นครั้งแรก" เขาพยายามพูดให้ดูธรรมชาติที่สุด แต่ความไม่คุ้นชินทำให้ยังมีอาการเกร็งอยู่เล็กน้อย
กัปตันหัวเราะออกมาเสียงดัง ก่อนจะยืนกอดอกพร้อมมองเขาด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
"ฟังนะ ไอ้หนุ่ม การพูดสุภาพมันก็ดีอยู่หรอก แต่เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะผ่อนคลาย และ กลมกลืนไปกับสิ่งที่รอบข้าง ลองพูดให้สบายๆ กับข้าดูสิ ไม่ต้องมากพิธีหรอก"
คำพูดของกัปตันทำให้เขาหยุดคิด ก่อนจะพยายามปรับตัว เขาพยักหน้าเล็กน้อย "เข้าใจแล้ว... ข้าจะลองดู" เขาตอบเสียงเรียบ แต่ดูเป็นกันเองมากขึ้น กัปตันหัวเราะเบาๆ ก่อนจะตบไหล่เขา
"ดีๆต้องแบบนี้สิ ตอนนี้ลมสงบดี แต่ระวังตกทะเลด้วยหล่ะ ยามค่ำคืนแบบนี้ จะไม่มีใครสังเกตุเห็น หากเจ้าหายตัวไปไหน จำไว้ให้ดี"เขาพยักหน้ารับ ก่อนที่กัปตันเรือจะลา กลับไปดูลูกน้องทำงานต่อ
ชายหนุ่มยังคงยืนอยู่ที่ราวเรือ เริ่มคุ้นเคยกับจังหวะชีวิตบนเรือ เสียงฝีพาย เสียงลมพัดผ่านใบเรือ และเสียงหัวเราะของเหล่าลูกเรือในยามพัก ทุกสิ่งนี้ล้วนทำให้เขานึกถึงความสงบที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน
เขาหยิบเหรียญทองที่พ่อค้าให้ออกมาดูเล่น นี่เป็นค่ามัดจำจากการเดินทางครั้งแรก หากทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดีก็คงดี
แต่แล้วความคิดของเขาก็วกกลับไปหาที่อดีตคู่หมั้นของตัวเอง ความเงียบของท้องทะเลยามค่ำคืนไม่อาจดับเสียงในหัวใจที่พลุ่งพล่าน ความเสียใจเริ่มก่อตัวขึ้นราวกับคลื่นที่กระทบเข้าหากันไม่หยุด
"นี่ก็ผ่านมาหลายสัปดาห์แล้วที่ออกมา" เขาพึมพำเบาๆ ท่ามกลางเสียงคลื่นอันเยือกเย็น
สายตาของเขาจ้องมองไปยังเส้นขอบฟ้าที่ดูไกลเกินเอื้อม มือที่จับขอบเรือแน่นสั่นเล็กน้อย เขากลืนน้ำลายเหมือนพยายามกลบความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ในอก
“ดูจากที่ไม่มีปัญหาอะไร ยามที่ท่าเรือก็ไม่ได้พยายามหยุดเอาไว้...” เสียงแผ่วเบาของเขาเจือไปด้วยความเจ็บปวดที่ซ่อนอยู่ในคำพูด ก่อนริมฝีปากจะแย้มรอยยิ้มบางๆ ที่เต็มไปด้วยความขมขื่น
“แสดงว่าเธอคงไม่สนใจกันแล้วจริงๆ”
เขาหลับตาลง สูดลมหายใจลึกเพื่อไล่ความรู้สึกแย่ๆออกไป แม้หัวใจจะยังคงหน่วงหนัก แต่เขาพยายามหาคำปลอบใจให้ตัวเอง
“ถ้าเธอไม่สนใจฉันแล้ว... ก็ไม่เป็นไร” เขาพูดออกมาเบาๆ เหมือนเป็นคำสาบานที่พยายามยึดมั่น
“ฉันก็ขอให้เธอเจอคนที่ดีกว่า... คนที่เหมาะสม และคู่ควรกับเธอ ไม่ใช่ฉัน”
เขาลืมตาขึ้น มองทะเลเบื้องหน้าที่กว้างใหญ่และมืดมิด รอยยิ้มของเขาค่อยๆอ่อนโยนขึ้น แม้แฝงความเศร้า แต่ก็มีแสงเล็กๆ ของความมุ่งมั่นอยู่ในนั้น
“สำหรับฉัน... ก็คงต้องเดินหน้าต่อไป อย่างน้อยก็เพื่อพิสูจน์ว่าการออกมาครั้งนี้ไม่ใช่การตัดสินใจที่ผิด”
เขาพูดกับตัวเอง ก่อนจะตัดสินใจกลับไปทีห้องพัก เพราะอากาศที่เริ่มหนาวเย็นยิ่งขึ้น
เรือค่อยๆเคลื่อนตัวไปข้างหน้า ท่ามกลางท้องฟ้ายามค่ำคืน แสงจันทร์เริ่มถูกเมฆบดบังเล็กน้อย กลิ่นอายแปลกๆ ของลมทะเลเริ่มกรุ่นขึ้นเหมือนคำเตือนที่มองไม่เห็น
ทว่าเขาหารู้ไม่ว่า วันพรุ่งนี้ทะเลจะเปลี่ยนโฉมจากความสงบเป็นความบ้าคลั่ง พายุร้ายกำลังคืบคลานเข้ามา คลื่นยักษ์ที่เหมือนอสูรกำลังรอท้าทายความมุ่งมั่นของเขาในเส้นทางการเดินทางครั้งนี้...
ยามเช้าหลังการจากไปของเขา ที่คฤหาสน์ยังคงเงียบสงบ แต่ความสงบนั้นกลับแฝงด้วยความอึดอัด หญิงรับใช้คนหนึ่งเดินเข้าไปในห้องของเขาเพื่อเรียกให้ไปทำหน้าที่ประจำวัน แต่สิ่งที่เธอพบกลับเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง
บนโต๊ะเขียนหนังสือ มีจดหมายฉบับหนึ่งวางอยู่ หญิงรับใช้หยุดมอง ก่อนจะหยิบมันขึ้นมาด้วยมือที่สั่นเทา เนื้อหาในจดหมายสะท้อนถึงความทุกข์ที่เขาเผชิญ แรงกดดันที่เขาไม่อาจหลีกหนี และคำลาสั้นๆที่ส่งถึงคนสำคัญ
ทว่าจดหมายนี้ไม่ได้มีเพียงแค่คำอำลา มันยังมีหลักฐานที่เขาได้รวบรวมเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็น รายจ่ายที่ดูน่าสงสัย หรือหลักฐานบางอย่างที่สำคัญ ที่เชื่อมโยงถึงอำนาจเบื้องหลังการล่มสลายตระกูล
มันถูกซ่อนไว้เป็นข้อความลับ มีเพียงแค่อดีตคนรับใช้ในตระกูลเขาเท่านั้นที่อ่านออก แต่ตอนนี้ดูเหมือนหลักฐานที่ว่านั้นจะถึงทางตัน เขาจึงยอมแพ้ที่จะสืบต่อ
หญิงรับใช้แอบเก็บจดหมายนี้เอาไว้ เพราะตอนนี้คุณหนูไม่อยู่ แถมยังมีสายตามากมายจับจ้อง เธอจึงไม่สามารถส่งจดหมายฉบับนี้ให้ไปถึงมือคนรับได้
สามสัปดาห์ผ่านไป หญิงรับใช้ลังเลว่าจะเก็บจดหมายนี้ไว้เพื่อเปิดเผยความจริง หรือทำลายมันเพื่อปกป้องชีวิตประจำวันของตัวเอง แต่ทุกครั้งที่เธอคิดจะเผาทิ้ง ภาพความเมตตาของอดีตตระกูลที่เธอเคยรับใช้ ก็ผุดขึ้นในใจ ความจริงควรถูกเปิดเผย แม้จะเสี่ยงเพียงใดก็ตาม
ในเช้าวันที่ยี่สิบเอ็ด เธอเก็บจดหมายใส่กระเป๋าใบเล็ก และ แจ้งหัวหน้าคนรับใช้ว่าจะลาออกเพื่อกลับไปดูแลครอบครัว หัวหน้าคนรับใช้ไม่ซักถาม ทำให้เธอออกจากคฤหาสน์ได้อย่างง่ายดาย
ก่อนออกจากเขตคฤหาสน์ เธอหยุดยืนที่สวนกุหลาบ มุมสงบที่เขาเคยทำงานเป็นประจำ ความทรงจำทั้งดีและร้ายหลั่งไหลเข้ามา เธอพึมพำเบาๆแต่หนักแน่นว่า
“ฉันจะไม่ยอมให้ความจริงถูกลบหายไป” เสียงนั้นเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
เมื่อเธอก้าวออกจากประตูใหญ่ของคฤหาสน์ ความกลัว และ ความหวังปะปนในใจ เธอรู้ดีว่าการเดินทางครั้งนี้จะเต็มไปด้วยอุปสรรค แต่เธอเลือกที่จะก้าวต่อไป
“จดหมายฉบับนี้จะต้องไม่สูญเปล่า...” เธอคิดในใจ พลางมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง เมืองที่ผู้รับจดหมายอาศัยอยู่ การเดินทางครั้งนี้อาจเปลี่ยนชะตากรรมของเธอและทุกคนที่เกี่ยวข้องไปตลอดกาล