EP.04 เมิน

3624 Words
EP.04 เมิน หลายวันผ่านไป หลังจากที่ผมได้ค้างคืนที่ไร่ของโซ่คืนหนึ่ง ก็เป็นคืนเดียวที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น จนถึงวันนี้ผมก็ยังไม่ได้กลับไปอีกเลยเพราะกำลังจัดการปัญหาที่วุ่นวายให้จบ ผมนอนที่โรงแรมได้เพียงคืนเดียวก็กลับกรุงเทพฯแล้ว ที่บ่อนมีเรื่องไม่จบไม่สิ้น อาพิสุทธิ์กำลังจะขัดขาผมให้ผมล้มให้ได้ แต่ก็นั่นแหละครับ เขารู้จักผมน้อยไปมาก ดูถูกว่าผมเป็นหลาน ผมอ่อนประสบการณ์และไม่สามารถขึ้นมาแทนพ่อได้ ซึ่งเขาคงไม่รู้ว่าผมถอดแบบจากพ่อมาทุกอย่างตั้งแต่รูปร่างกระทั่งความคิดความอ่าน ถึงเวลาแล้วที่ต้องสั่งสอนเขาสักหน่อย แผนการที่ผมคิดไว้ไม่มีอะไรมาก นอกจากตัดความน่าเชื่อถือของบริษัทของเขา กว้านซื้อหุ้น และหาพรรคพวกภายในเงาของเขาอีกที พูดง่าย ๆ คือหักหลังนั่นแหละครับ “นายใหญ่ครับ ผมได้รับรายงานมาว่าบอร์ดบริหารมีการนัดประชุมกันแล้วครับ คุณพิสุทธิ์นั่งไม่ติดแล้วครับตอนนี้” “ดี ตอนที่เขาจะล้ม เราต้องฟื้นให้ได้ก่อน เพิ่มความเข้มงวดเรื่องการดูแลบ่อนด้วย ทำตามที่ผมบอกคุณเมื่อวาน” “ได้ครับนายใหญ่” เวลาในช่วงสัปดาห์ที่ผมกลับมากรุงเทพฯ ผมใช้เวลาทำตามแผนพร้อมกับรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ และตอนนี้สิ่งที่ผมอยากเห็นมันกำลังสัมฤทธิ์ผลแล้วครับ หลักฐานที่ว่าอาพิสุทธิ์ยักยอกเงินบริษัทของตัวเองน่ะ มันเป็นสิ่งที่ทำให้เขาดิ้นไม่หลุดแน่นอน ผมได้คุยกับบอร์ดบริหารคนอื่นในบริษัทของเขาแล้วด้วย ทุกคนยินดีขายหุ้นของตัวเองให้ผมเมื่อรู้ถึงการฉ้อโกงภายใน แน่นอนว่าใครก็ไม่พอใจหรอก ไม่มีใครอยากลงทุนร่วมแล้วเพราะผมมีหลักฐานย้อนหลังพฤติกรรมเหล่านี้เป็นปี ผมมีหลักฐานถึงขนาดที่รู้ลึกว่าอาพิสุทธิ์มีสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับพนักงานทำบัญชีของบริษัท ตอกย้ำความง่ายเรื่องการยักยอกเงินภายในเข้าไปอีก เรื่องเน่าเฟะของเครือญาติผมน่ะผมรู้หมดแหละว่าใครทำอะไร อย่างที่บอกว่าผมทำงานกับพ่อมาตั้งแต่เด็ก พ่อผมรู้อะไร ผมก็รู้อย่างนั้น เพียงแต่ไม่มีใครพูดหรือจัดการอะไรให้เด็ดขาดเพราะญาติแต่ละคนไม่เคยก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวกัน ไม่มีใครยุ่งกับพ่อหรอกครับ เขามีอำนาจมากที่สุดในตระกูลแล้ว พอพ่อไม่อยู่ทุกคนจึงหาทางแย่งชิงอำนาจตรงนี้ไปจากผม ถ้าคิดจะสู้กับผม ก็ดูอาพิสุทธิ์เป็นตัวอย่างนะ เขากำลังจะเสียบริษัทผลิตหลอดไฟยักษ์ใหญ่ของประเทศเพราะกล้ามากระตุกหนวดผม เขามีหุ้นส่วนในบริษัทของตัวเองสี่สิบเปอร์เซ็นต์ ซึ่งมากที่สุดในบรรดาหุ้นส่วนทั้งหมดที่ถือหุ้นกันคนละเล็กละน้อย แต่ตอนนี้ผมกำลังกว้านซื้ออีกหกสิบเปอร์เซ็นต์ที่เหลือมาเป็นของตัวเอง จู่ ๆ ก็จะได้เป็นเจ้าของธุรกิจใหม่เพียงชั่วข้ามคืนเสียแล้วเรา ส่วนเรื่องภายในบ่อนที่ถูกขโมยเอกสารเกี่ยวกับการกู้ยืมของลูกค้าไป ยอมรับว่าจุดนี้ผมเสียหายในระยะยาวหากมีลูกค้าเปลี่ยนใจไปเล่นบ่อนอื่น ไปกู้เงินที่อื่นมาปิดหนี้ เท่ากับผมจะเสียลูกค้าไปเลย แต่ตอนนี้ผมลดหนี้ให้คนละสิบเปอร์เซ็นต์เพื่อให้กลับมาเป็นลูกค้าเราต่อ บางคนก็กลับมา บางคนก็ไม่ จุดนี้คงเป็นมูลค่าที่ผมต้องเสียอย่างเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งถ้าเทียบกับสิ่งที่ผมกำลังจะได้มา ผมว่ามันคุ้มมากเลย บ่อนการพนันของผมไม่มีวันเจ๊ง ผมยังยืนหยัดอยู่ที่เดิมไม่มีอะไรสั่นคลอนได้ ต่อให้เสียลูกค้ากลุ่มหนึ่งไปก็ยังคงมีกลุ่มใหม่แวะเวียนมา แต่อาพิสุทธิ์ต่างหากที่กำลังจะดิ่งลงเหว หึ คิดมาถึงตรงนี้ผมก็อดทนรอวันนั้นแทบไม่ไหว จบเรื่องที่นี่เมื่อไหร่ ผมจะได้ทำงานอย่างอื่นต่อ หนึ่งในงานที่ผมต้องทำก็คงไม่พ้นกว้านซื้อที่ดินสามร้อยไร่ของโซ่มาให้ได้ “คุณเฟย ที่ไร่เป็นยังไงบ้าง?” “ปกติเหมือนเดิมครับนายใหญ่ คนงานยังตื่นแต่เช้ามาเก็บผลไม้ส่งออกตลาด ระหว่างวันคอยคัดแยกผักและผลไม้อื่น ๆ เพื่อส่งออก อ้อ เมื่อครู่ช่างเพิ่งทำกันสาดบังแดดที่ศาลาตามคำสั่งของนายใหญ่เสร็จครับ คุณลุงคุณป้าชอบใจใหญ่ ฝากมาขอบคุณด้วยครับ” “แล้ว...คนที่นั่นสบายดีไหม?” “มีคุณลุงสมปองไปผ่าฟันคุดมาครับ แล้วก็เจ้านับตังค์ไม่สบาย นอกนั้นยังไม่มีรับแจ้งว่าใครเป็นอะไรนะครับ” “เอ่อ...หมายถึง โซ่... โซ่เป็นยังไงบ้าง” “คุณโซ่สบายดีครับ ดูแลบอดี้การ์ดที่นายใหญ่ทิ้งไว้สองคนอย่างดีเลย เป็นกันเองมากครับ เมื่อวานก็ถูกชวนไปเก็บใบชาเขียวบนดอยมา” พอนึกภาพตามผมไม่แปลกใจเลยเพราะโซ่เป็นคนใจดี เป็นกันเองกับบอดี้การ์ดของผมเสมอ เขาเป็นแบบนี้มาตลอด ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ดีเพราะผมทิ้งบอดี้การ์ดสองคนให้อยู่ดูแลความเรียบร้อยในไร่ นี่ยิ่งสนิทกับโซ่มากเท่าไหร่ ฝ่ายเราก็มีโอกาสโน้มน้าวใจโซ่ได้มากเท่านั้น เมื่อไหร่ที่คนของผมซื้อใจคนงานเรื่องสนามกอล์ฟได้ หากวันนั้นเหลือโซ่เพียงคนเดียวที่ยืนหยัดจะไม่ขายที่ให้ผมโดยที่คนรอบตัวกำลังมีความหวังถึงการเปลี่ยนแปลง ผมอยากรู้เหลือเกินว่าโซ่จะดื้อต่อไปได้อีกสักแค่ไหนกัน “เขาถามหาผมบ้างไหม?” “ไม่นะครับ ไม่มีรับแจ้งว่าคุณโซ่พูดถึงนายใหญ่เลย” ผมเงียบไปด้วยความตกใจเล็กน้อย โซ่มีโอกาสได้ถามถึงผมผ่านบอดี้การ์ดตั้งหลายวัน เขาไม่คิดจะถามถึงผมสักหน่อยเหรอ? เราไม่เจอกันตั้งสองสามปี เรื่องราวระหว่างนั้นเขาไม่อยากรู้หน่อยหรือไงว่าผมเป็นอย่างไร ทำอะไรมาบ้าง บอดี้การ์ดที่ผมทิ้งไว้นั่นก็อยู่กับผมมานาน ทุกคนรู้จักผมดี ถ้าโซ่ถามแน่นอนว่าสองคนนั้นต้องตอบได้ทุกเรื่อง “เขาติดต่อมาบ้างไหม?” “ไม่เลยครับ ผมเอานามบัตรผมให้เขาแล้ว บอกว่าถ้ามีเรื่องด่วนหรือต้องการความช่วยเหลือให้โทรมา บอกตามที่นายใหญ่สั่งเลยครับ ตอนนี้ผ่านมาอาทิตย์หนึ่งแล้วยังไม่โทรมาเลย สงสัยที่ไร่คงสงบดี นายใหญ่ไม่ต้องกังวลไปหรอกครับ” “งั้นเอาเบอร์ผมให้เขา บอกว่าไม่มีธุระก็โทรมาได้” พูดจบผมก็ลุกจากโต๊ะทำงานเพื่อเดินออกไปยังระเบียงชั้นลอยของบ่อนการพนันขนาดใหญ่แห่งนี้ สองมือล้วงกระเป๋ากางเกงพลางกวาดตามองกลุ่มคนมากมายที่ชั้นล่าง มองพนักงานและอุปกรณ์การเล่นพนันด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจไม่น้อย บ่อนนี้ผมคลุกคลีมาตั้งแต่เด็ก มันสั่งสมไปด้วยอำนาจบารมีและเงินทองมากมาย ตรงนี้มั่นคงจนผมมองไม่ออกเลยว่าอะไรจะทำให้บ่อนของผมเจ๊งได้ วินาทีแรกที่ผมรู้เรื่องอาพิสุทธิ์เข้ามาสอดแนมที่นี่ ความรู้สึกแรกของผมที่มีต่อเขาคือ...โง่... ผมไม่ได้โกรธสิ่งที่เขาคิดจะทำหรอกเพราะรู้อยู่แล้วว่ามันไม่ได้ผล ที่มันน่ารำคาญใจคือการกระทำเหล่านี้มันเหมือนดูถูกสติปัญญาของผมเกินไป แต่ก็ว่าไม่ได้ ไม่มีใครรู้ว่าผมกับน้องชายถูกเลี้ยงมาแบบไหน เจออะไรมาบ้าง หากมองกันที่ภายนอกอย่างเดียวผมก็เป็นแค่ผู้ชายหน้านิ่งคนหนึ่งดูไม่มีพิษมีภัยอะไร 17.30 น. ตกเย็นของวันนั้นผมมีแขกหลายคนมาหาที่บ้าน เรานั่งประชุมกันที่โต๊ะยาวเพียงไม่กี่นาทีก็สรุปเนื้อหาได้ทั้งหมด คนพวกนี้ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอก ก็พวกบอร์ดบริหารบริษัทของอาพิสุทธิ์นั่นเอง พวกเขามาเสนอข้อแลกเปลี่ยนที่ผมคิดไว้แล้วว่ามันต้องเป็นแบบนี้ หุ้นแลกหุ้น... ทุกคนพร้อมถอนหุ้นจากบริษัทที่มีการฉ้อโกงภายในตามที่ผมเสนอ แต่ก็ขอเข้ามาเป็นหุ้นส่วนบริษัทในเครือของผมแทนตามเปอร์เซ็นต์หุ้นที่เคยมี พวกเขาไม่ขอขายหุ้นเป็นเงิน ต้องการย้ายหุ้นมาอยู่กับผมแทน “โรงแรมโครงการใหม่ของผมจะเปิดตัวเดือนหน้าหนึ่งโครงการ บ้านจัดสรรอีกหนึ่งโครงการ รีสอร์ตที่ต่างจังหวัดอีกหนึ่ง และคอนโดมิเนียมอีกหนึ่งที่ ทั้งหมดสี่ที่นี้พวกคุณเลือกมาเลยว่าจะลงที่ไหน เอาที่สะดวก” ผมกระดิกนิ้วสั่งเลขาฯ เพียงครั้งเดียว เอกสารประกอบโครงการก็ถูกนำมาแจกจ่ายให้กับทุกคนทันที อย่างที่บอกว่าผมเดาเกมออกหมดแล้วตั้งแต่แรก ฉะนั้นไม่ต้องเสียเวลาเตรียมตัว สี่โครงการที่ผมเสนอไปคือโครงการใหม่ทั้งหมด มันดูสวยงาม น่าตื่นเต้น ทำเลดี ใครก็อยากลงทุนถูกไหม? ซึ่งผมเลือกที่จะให้เข้ามามีหุ้นส่วนในโครงการเหล่านี้เพราะไม่อยากให้พวกเขาเข้ามาก้าวก่ายบริษัทเครือข่ายหลักที่ผมมีอยู่ก่อนแล้ว ทุกอย่างตอนนี้มันมั่นคง ผมไม่เสี่ยงที่จะให้คนนอกอย่างพวกเขามาสั่นคลอนมันได้แม้แต่ปลายเล็บ ถ้าอยากได้หุ้นในเครือบริษัทผมก็เอาโครงการใหม่ไป จะได้เสี่ยงไปพร้อมกัน แล้วก็เป็นอย่างที่ผมคิดนั่นแหละ พวกเขาเลือกที่ใหม่ทั้งหมดเพียงแต่กระจายไปอยู่คนละโครงการตามความสะดวกใจ ผมพยักหน้าตกลงพลางให้คุณเฟยเตรียมเอกสาร พวกเขาเองก็มีเอกสารใบมอบหุ้นในบริษัทของอาพิสุทธิ์มาให้ผมเซ็นเหมือนกัน หลังจากที่ปลายปากกาของผมจรดลงเซ็นชื่อลงไป มันคือจุดเริ่มต้นแห่งความวุ่นวายทันที “แล้วคุณสิงห์จะทำยังไงกับที่นั่นต่อไปครับ คุณมีหุ้นสูงที่สุดแล้วนะ เป็นผู้บริหารคนใหม่ได้แล้ว คุณจะจัดการกับคุณอาของคุณยังไง?” “ผมคงต้องรอดูพฤติกรรมก่อน” ตอบไปอย่างนั้นทั้งที่ในหัวผมคิดแผนการล่วงหน้าไปหมดแล้ว ถ้าเขายอมรามือไม่วุ่นวายกับผม เขาจะอยู่ที่เดิมภายใต้เงาปีกของผม อาจต้องฝืนใจก้มหัวให้ผมสักเล็กน้อยแต่ก็เพื่อแลกกับหน้าที่การงาน อำนาจที่ยังพอดี แต่เมื่อไหร่ที่เขาไม่หยุด เขาไม่ยอม ยังอยากจะขึ้นมาแทนที่ผมตอนนี้ก็ต้องมาวัดกันดูอีกสักที เพราะผมจะทำลายบริษัทของเขาจนไม่เหลือชิ้นดี จากนั้นก็ขายหุ้นทั้งหมดทิ้ง ซึ่งจริงอยู่ที่อาพิสุทธิ์ยังคงมีธุรกิจอื่นรองรับความล้มเหลวหากเขาต้องเสียตรงนี้ไป แต่เชื่อเถอะว่าเขาจะได้รับบทเรียนแสนโหดร้ายจากผมจนไม่กล้าเข้ามายุ่งเกี่ยวอีก อย่าว่าผมไม่รู้จักเด็กไม่รู้จักผู้ใหญ่เลย ผมรู้จักแค่ใครดีกับผม ใครร้ายกับผมก็เท่านั้น พ่อผมสอนเสมอว่าเครือญาติที่มีหากวันหนึ่งใครทำให้เกิดปัญหาบอกให้ผมกับไอ้เสือห้ามใจอ่อน ตัดขาดได้ก็ตัด สั่งสอนได้ก็สั่งสอน ยึดแค่ครอบครัวเราเป็นหลักเพราะไม่มีญาติคนไหนหวังดีกับเราร้อยเปอร์เซ็นต์เมื่อมีเรื่องเงินทองมาเกี่ยวข้อง ตระกูลอื่นผมไม่รู้หรอกนะว่าสนิทสนมกับเครือญาติแค่ไหน แต่ตระกูลผมไม่ ทุกคนแยกย้ายกันไปทำธุรกิจและเติบโตคนละทิศละทาง แน่นอนว่ามันมีการแข่งขัน แย่งชิงกันเองตลอดเวลาเพื่อที่จะผลักดันตัวเองให้ได้อยู่ตำแหน่งสูงที่สุด มีอำนาจที่สุด ตลอดที่ผ่านมาคนเดียวที่ทำได้คือพ่อผม หลังจากที่ทุกคนแยกย้ายกลับไป ผมได้นั่งวางแผนกับคุณเฟยต่ออีกพักใหญ่ ทว่าขณะที่นั่งคุยกันสมองผมมันก็มีเรื่องหนึ่งแวบเข้ามาเป็นช่วง ๆ โซ่ทำอะไรอยู่... โซ่กินข้าวหรือยัง... รอจนคุยธุระกับคุณเฟยเสร็จผมจึงวานให้เขาติดต่อบอดี้การ์ดที่นั่นให้ผมที อยากรู้ว่าโซ่ตอนนี้ทำอะไร “บอดี้การ์ดบอกคุณโซ่เข้าบ้านพักแล้วครับ” “อืม” ผมพยักหน้าตอบไปสั้น ๆ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง เมื่อเปิดดูแล้วกลับไม่พบการแจ้งเตือนหรือสายที่ไม่ได้รับค้างไว้เลยสักสาย “มีอะไรหรือเปล่าครับนายใหญ่?” “คุณให้เบอร์ผมกับโซ่ไปแล้วหรือยัง?” “ให้ไปตั้งแต่ช่วงสายแล้วครับ” ยิ่งทำให้ผมสงสัยเข้าไปใหญ่เวลาครึ่งค่อนวันทำไมโซ่ไม่ติดต่อผมมา ถ้าเป็นเมื่อก่อนโซ่ต้องดีใจที่จะได้ติดต่อกับผมสิ ตอนสมัยเรียนเราไม่เคยแลกเบอร์กันสักครั้งแต่เขาก็คอยมาถามอยู่เรื่อย รู้ว่าอยากติดต่อผมมาก พอขึ้นมหาวิทยาลัยเราเพิ่งจะมีเบอร์ติดต่อกัน ทั้งที่แทบไม่โทรหากันเลยนะ เราอยู่ด้วยกันตลอด ไปเรียนและกลับโรงแรมด้วยกันทุกวัน แต่เนี่ย โซ่มีเบอร์ผมแล้ว ไม่คิดจะโทรมาหากันหน่อยหรือไง? “วันนี้ยุ่งจนไม่มีเวลาเลยเหรอ โซ่น่ะ” “อ่า บอดี้การ์ดแจ้งมาว่าตอนนี้คุณโซ่มีแขกครับ เพิ่งมีผู้ชายเข้าไปหาคุณโซ่ในบ้าน น่าจะเป็นแขกคุณโซ่” “เพื่อนเหรอ? หรือใคร?” “ไม่ทราบครับ บอดี้การ์ดที่เฝ้าก็ไม่ทราบ” “บอกโซ่โทรมาเดี๋ยวนี้” ผมเคาะนิ้วลงกับโต๊ะเป็นจังหวะ สายตาจ้องมองหน้าจอโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ตรงหน้าเพื่อรอใครบางคนโทรเข้า หูก็พลันฟังคุณเฟยสั่งการไปยังบอดี้การ์ดให้ทำตามคำสั่ง แต่ห้านาทีผ่านไปก็แล้ว สิบนาทีก็แล้ว ยังไม่มีวี่แววว่าหน้าจอโทรศัพท์ของผมจะมีแสงไฟแสดงขึ้นเพราะมีคนโทรมาเลยสักนิด “เอ่อ นายใหญ่อยากคุยกับเขาทำไมไม่โทรไปก่อนล่ะครับ?” “โซ่ทำอะไรอยู่ ทำไมไม่โทรมา” “รับแขกอยู่มั้งครับ แขกยังไม่ออกมาเลย” มันน่าหงุดหงิดตรงที่โซ่เฉยเมยต่อคำสั่งมาก ที่ผ่านมาไม่เคยติดต่อมาเลยผมยังเข้าใจได้ว่าคงไม่อยากติดต่อผ่านคุณเฟย หากเขามีอะไรเขาคงอยากคุยกับผมเป็นคนแรกหรือเปล่า ผมสนิทใจกับโซ่ที่สุดแล้ว แต่นี่อะไรกัน เบอร์ผมก็ได้ไปตั้งแต่ช่วงสายแล้วทำไมยังไม่โทรมาอีก ขนาดเมื่อครู่ให้คนไปบอกก็ยังเฉย จะให้ผมเอาเบอร์ผมโทรหาเขาก่อนน่ะเหรอ หึ ไม่มีทาง “คุณเฟย เอาเบอร์คุณโทรหาเขาเดี๋ยวนี้ ถามเขาทีว่าทำอะไรอยู่กับแขกผู้ชายคนนั้น เปิดลำโพงให้ผมได้ยินด้วย” “ครับนายใหญ่” เลขาฯ ผมทำตามคำสั่งได้อย่างดีเยี่ยม เพียงชั่วอึดใจก็ได้ยินเสียงปลายสายรับแล้ว โซ่รับสายด้วยน้ำเสียงประหลาดจนผมต้องขมวดคิ้วฟัง “อ๊า มีอะไรครับคุณเฟย?” “เอ่อ คือ นายใหญ่ เอ่อ คุณสิงห์ให้โทรมาสอบถามว่าตอนนี้คุณโซ่ทำอะไรอยู่เหรอครับ” “อื้อ ทำธุระอยู่ คุณไม่ต้องตามใจเขาเรื่องไร้สาระแค่นี้หรอกครับคุณเฟย อ๊ะ โทรมาถามแค่นี้เอง บอดี้การ์ดคุณก็รายงานได้มั้งครับ” ผมยังคงนั่งฟังบทสนทนาด้วยความรู้สึกตื่นตระหนกกับเสียงครางร้องของโซ่ ทันทีที่ได้ยินน่ะผมคิดออกอยู่อย่างเดียวว่าโซ่กำลังทำเรื่องอย่างว่าอยู่แน่นอน แต่คนอย่างโซ่น่ะ เขาไว้ตัวจะตาย ช่วงเข้าด้ายเข้าเข็มแบบนี้เขาคงไม่รับสายเพื่อให้ใครมารับรู้เรื่องส่วนตัวหรอก ก็...ก็ไม่แน่ ผมรู้จักโซ่เมื่อสามปีก่อนนี่นา ตอนนี้เขาอาจจะเปลี่ยนไปแล้วก็ได้ “คุณโซ่มีแขกเหรอครับ มีอะไรให้ช่วยเหลือไหมครับเดี๋ยวผมให้บอดี้การ์ดคอยช่วยเหลือได้นะครับ” “ไม่โทรมาขัดจังหวะก็ดีแล้วครับ อื้อ” “งั้น...คุณโซ่โทรหาคุณสิงห์บ้างสิครับ” “ทำไมต้องโทรล่ะครับ ผมไม่มีอะไรจะคุยกับเขา อ๊ะ เบาหน่อยครับ เจ็บน่ะ อ๊า ตรงนั้นแหละ เน้น ๆ เลยน้อง” ท้ายประโยคเขาคุยกับคนอื่น!!! ผมกับคุณเฟยหันหน้ามองกันขวับ เชื่อว่าเขาก็คิดสิ่งเดียวกับที่ผมคิดเพราะเสียงโซ่ทั้งครางหวาน ทั้งเสียงกระเส่าตอนพูดอีก “โซ่ ทำอะไร!!! นี่ทำอะไรกันอยู่!!!” ท้ายที่สุดผมทนไม่ไหว เงียบฟังต่อไปไม่ไหวเมื่อรู้ว่าโซ่ทำเรื่องหน้าอายแบบนี้ ทั้งที่มีลูกน้องผมอยู่หน้าบ้านสองคน ทั้งที่กำลังคุยสายกับเลขาฯ ผม แต่โซ่กลับทำแบบนี้น่ะเหรอ หน้าไม่อายว่ะ! “สิงห์ ตะคอกใส่ทำไมเนี่ย รำคาญ! แค่นี้นะสิงห์ ไม่มีธุระสำคัญไม่ต้องโทรมา” สิ้นเสียงของโซ่สายก็ถูกตัดทิ้งไปทันที ผมลุกขึ้นยืนด้วยความโมโห โซ่ทำแบบนี้เหมือนหยามหน้ากันเลยว่ะ ถ้ามีอะไรกับคนอื่นอยู่ก็ไม่ต้องรับสาย ไม่ต้องให้ผมรับรู้ไหม ผมต้องรู้สึกแบบไหนที่รู้ว่าโซ่กำลังมีอะไรกับคนอื่นอยู่เนี่ย จริงอยู่ที่เราไม่ได้เป็นอะไรกัน แต่ในฐานะคนที่โซ่เคยรักมาก โซ่ไม่น่าครวญครางเสียงอย่างนั้นต่อหน้าผมไหมวะ ไม่ควรไหม!! ภาพในอดีตถูกฉายเข้ามาในหัวฉากหนึ่งทำให้ผมกำหมัดแน่นจนลำแขนสั่นเกร็ง ครั้งหนึ่งเคยมีคนมาจีบโซ่ในขณะที่โซ่ยังยึดติดกับผม ผมถามโซ่ว่าไปกับเขาไหม ไปได้เลยนะ ไปมีความสุขกับคนอื่นได้เพราะผมไม่รู้ว่าผมให้โซ่ได้แค่ไหน ตอนนั้นผมมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบมากมาย ไม่พร้อมจะรับใครเข้ามาเป็นภาระจริง ๆ โซ่ตอบผมว่าถ้าโซ่จะคบใครสักคนในชีวิต คนนั้นต้องเป็นผม ถ้าต้องมีอะไรกับใครเป็นคนแรกก็อยากให้คนนั้นเป็นผม ประโยคพวกนี้ผมจำได้แม่นเลย โอเค ตอนนี้ผมก็ไม่ได้พร้อมจะเปิดรับหรือรู้สึกอะไรกับโซ่เป็นพิเศษหรอกนะ แค่รู้สึกเหมือนโดนหยามอย่างบอกไม่ถูก มันน่าหงุดหงิดมากที่ได้ยินเสียงหวานของโซ่กำลังครางร้องอยู่กับคนอื่น ห่างหายกันไปสามปี ไม่คิดว่าจะหน้าไม่อายขนาดนี้เหมือนกัน โดนเขาเมินไม่ติดต่อมาทั้งสัปดาห์ ไม่ยอมโทรหาผม มันยังน่าหงุดหงิดไม่เท่าโซ่บอกว่ารำคาญผมแล้วตัดสายทิ้ง มันเฉยชาต่อกันมากไปไหม? “นายใหญ่จะไปไหนครับ?” รู้ตัวอีกทีสองเท้าผมก็ย่ำเดินออกจากห้องทำงานมายังประตูบ้านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว “ไปเชียงใหม่” “ครับ?” “สั่งบอดี้การ์ดพังประตูเข้าไป กระทืบไอ้เหี้ยนั่นแล้วขังมันไว้จนกว่าจะไปถึง กูจะเอาเลือดหัวมันออก!!” “นายใหญ่ใจเย็น ๆ ก่อนนะครับ คุณโซ่คงโกรธมากแน่ถ้าพังประตูเข้าไป มันจะมีผลต่อการซื้อขายที่ดินของนายใหญ่นะครับ” “เอาเบอร์โซ่มา จะคุยกับโซ่ให้รู้เรื่อง” การโทรหาโซ่ก่อนด้วยเบอร์ตัวเองเป็นสิ่งสุดท้ายที่ผมจะทำ ทั้งที่มีลูกน้องเฝ้า ทั้งที่มีคุณเฟยคอยติดต่อแทน แต่ทำไมสุดท้ายต้องเป็นผมที่ทนไม่ได้ร้อนรนอยากจะคุยกับเขาให้รู้เรื่อง สุดท้ายผมก็ต้องโทรเอง แล้วโซ่ก็สร้างความโมโหให้ผมมากขึ้นกว่าเดิมเมื่อเขาไม่รับสายผม!!! กล้าเมินกันขนาดนี้เลยเหรอโซ่ “เอ่อ นายใหญ่ครับ พรุ่งนี้ช่วงบ่ายต้องเข้าไปเคลียร์เรื่องภายในบริษัทคุณพิสุทธิ์นะครับ ถ้านายใหญ่ไปเชียงใหม่ตอนนี้...” “นั่งเครื่องบินส่วนตัวไปเชียงใหม่แค่สองชั่วโมง ผมนอนกับเขาคืนนี้ กลับพรุ่งนี้ก็ทัน คุณไปเตรียมให้ผมเดี๋ยวนี้เลยคุณเฟย ผมจะไปหาเขาตอนนี้” “โถ่ นายใหญ่ครับ ใจเย็น ๆ ก่อน จะหัวเสียกับคุณโซ่เพราะเรื่องส่วนตัวทำไมกันครับ เรายังไม่รู้เลยว่าคนที่มาหาน่ะเป็นใคร อาจจะไม่มีอะไรก็ได้นะครับ” “โซ่ทำนิสัยเสียใส่ผม กล้าเมินผม กล้าตัดสายผม คุณก็เห็น!” “อ่า ได้ครับนายใหญ่ ผมจะจัดการให้เดี๋ยวนี้” คุณเฟยถอนหายใจเบา ๆ ทีหนึ่งก่อนยกโทรศัพท์ขึ้นโทรประสานงานเรื่องการเดินทางให้ผม ตอนนี้ถ้าผมเหาะได้ผมคงเหาะไปหาเขาแล้ว จะไปสั่งสอนคนนิสัยไม่ดีกล้าเมินผม ไหนว่ารักผมมากไง เคยรักมากไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงกล้าหยามกันได้ขนาดนี้วะ End Talk’s
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD