EP.03 ตีสนิท

3462 Words
EP.03 ตีสนิท SINGHA Talk’s ชีวิตผมตั้งแต่เกิดมาจนอายุยี่สิบห้าปีไม่เคยนอนร่วมเตียงกับใคร แต่มาวันนี้ผมกลับต้องนอนเบียดเสียดกับเด็กที่ไหนก็ไม่รู้ซึ่งผมไม่เคยรู้จัก ‘มะไฟ จัมโบ้ นับตังค์’ ชื่อของเด็กผู้ชายสามคนนี้ล่ะ พวกเขาน่าจะอยู่วัยประถมฯ ต้น ทันทีที่ก้าวเข้ามาในห้องนอนก็สร้างความวุ่นวายด้วยเสียงเจื้อยแจ้ว กลิ่นแป้งเด็กฉุนกึกลอยมาแตะจมูกเพราะพวกเขาทาปริมาณมากเกินไปจนหน้าขาวไปหมด สมาธิการอ่านเอกสารของผมสูญสิ้นตั้งแต่เจ้าเด็กที่ชื่อมะไฟกระโดดมานั่งทับข้อเท้าผมแล้วยกมือไหว้ ‘สวัสดีครับคุณลุงใจดี’ มือเล็กนั่นยกขึ้นพนมไว้กลางอก ก้มหน้าลงจนหว่างคิ้วจรดกับปลายนิ้วชี้ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมายิ้มโชว์ฟันหลอสองซี่ข้างหน้าให้ผม กำลังจะค้านว่าผมไม่ใช่ลุงที่ไหน ผมกับโซ่อายุเท่ากัน แต่ก็ไม่ทันได้พูดเพราะอีกสองคนก็ไหว้ผมแล้วก็เรียกผมว่าลุงตามกันไป ไม่มีจังหวะให้ผมได้อธิบายอะไรเลยเด็กพวกนี้ก็กระโดดโหยงเหยงไปทั่วห้อง ช่วยโซ่ขนผ้าออกมาปูที่พื้นอย่างคล่องแคล่ว แล้วโซ่ก็นอนเล่านิทานให้พวกเขาฟัง ชายร่างผอมบางนอนสยายผมอยู่ตรงกลาง อีกสองข้างขนาบด้วยเด็กสามคนที่นอนเบียดกันเพื่อที่จะดูหนังสือนิทานที่โซ่ถือและตั้งใจฟังราวกับเพิ่งได้ยินมันครั้งแรก ผมเก็บเอกสารวางไว้บนโต๊ะ เอนตัวนอนตะแคงมองพวกเขาอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งเจ้าจัมโบ้ปีนขึ้นเตียงมานอนข้างผมเฉยเลย เด็กน้อยสอดตัวเข้ามาห่มผ้าผืนเดียวกัน คว้าตุ๊กตาบนหัวเตียงมากอดไว้ จากนั้นเด็กสามคนและผู้ใหญ่อีกคนก็บอกฝันดีกันไปมาจนครบ แล้วโซ่ก็ลุกไปปิดไฟ “โซ่ มาคุยกันหน่อย” “นอนได้แล้ว โซ่ง่วง พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้า” “มันอึดอัด ไม่ชอบ” “ให้ทำไง ปกติโซ่ก็อยู่แบบนี้ วันศุกร์กับวันเสาร์พวกเขาจะมานอนด้วย” “ก็ซื้อเตียงใหม่ โซฟาแบบกางนอนได้ก็มี ทำไมต้องลำบากนอนพื้น” “สิงห์นอนไม่ได้ก็กลับไปสิ” ไล่ผมยังไงผมก็ยังไม่กลับหรอก ผมยังต้องหาเหตุผลมาโน้มน้าวใจโซ่ให้ได้ก่อน อีกอย่างผมไม่เข้าใจโซ่เลยสักนิดว่าทำไมเขาใช้ชีวิตแบบนี้ มันไม่มีความมั่นคงเอาเสียเลย ดูไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักอย่างทั้งที่เขาควรจะไปได้ไกลกว่านี้มาก ทำไมเรียนจบสูงถึงมาเป็นแค่ชาวสวนล่ะ โซ่เรียนเก่งมากนะ ที่จริงเปิดบริษัทหรือไปทำงานบริษัทใหญ่ ๆ เขาต้องได้เลื่อนขั้นเป็นผู้จัดการโดยเร็วแน่ โซ่หัวดีจะตาย ผมคว้าโทรศัพท์กดดูเวลาตอนนี้เพิ่งสามทุ่ม รอบนอกได้ยินเพียงเสียงจักจั่นร้องเกรียวกราวไร้เสียงของรถ ผู้คน แม้กระทั่งแสงไฟยังไม่มีเล็ดลอดมาให้เห็น เมื่อต้องนอนเกร็งอยู่แบบนี้มันน่าอึดอัดจนผมไม่สามารถนอนต่อได้ ไม่ชินจริง ๆ ที่ต้องนอนร่วมเตียงกับคนอื่น ผมไม่ค่อยไว้ใจใคร ไม่ใช่ว่าเด็กพวกนี้จะมาทำอันตรายอะไรผมหรอกนะ เป็นผมเองที่มันจิตใจไม่สงบ มันไม่เป็นส่วนตัวเอาเสียเลย สุดท้ายผมก็ต้องย่องออกจากห้องเพื่อออกมานอนในรถ บอดี้การ์ดและเลขาฯ ของผมเขาก็นอนในรถกันนี่แหละ นอนเอนกันคนละเบาะ มีบอดี้การ์ดบางส่วนที่ต้องยืนรักษาความปลอดภัยอยู่รอบนอก ไว้ผลัดเวรถึงจะได้เข้ามานอนสลับกับคนที่นอนต้องลุกไปทำงานต่อ เฮ้อ ผมไม่ค่อยสบายใจที่ต้องมาอยู่ในป่าในเขาแบบนี้สักเท่าไหร่ ถ้าที่นี่ไม่มีโซ่มันก็ไม่มีอะไรจูงใจให้ผมทนอยู่เลยจริง ๆ ความคุ้นเคยระหว่างผมกับเขามันมีบางอย่างคอยดึงความสนใจของผมพร้อมกับตั้งคำถามอยู่ตลอดเวลา ทำไมโซ่ต้องอยู่แบบนี้ เขาควรไปได้ไกลกว่านี้มาก… ที่นี่มันดีอะไรทำไมโซ่บอกว่ามันคือความสุขเดียวของเขา… เขาจะเมินเงินผมจริงเหรอ… ปัญหาปากท้องของคนอื่นมันมีผลต่อการซื้อขายที่ขนาดนั้นได้ยังไงกันนะ... คิดยังไงผมก็ไม่เข้าใจ โซ่เอาความผูกพันของคนที่นี่เป็นที่ตั้ง งั้นผมถามหน่อย ว่าความผูกพันที่โซ่มีกับคนงานในไร่หรือความผูกพันที่มีต่อผม อันไหนมันมีมากกว่ากัน ผมไม่เชื่อว่าผมจะโน้มน้าวโซ่ไม่ได้ ใช่ ผมอยากเอาชนะ โครงการนี้ถ้าพ่อผมยังปิดไม่ได้ผมก็อยากจะทำให้ได้ อย่างน้อยมันจะเป็นผลงานดีเด่นที่บุกเบิกเส้นทางการทำงานและอำนาจของผมได้ดีมากเลยทีเดียว ยิ่งผมมีคนจับตามองมากเท่าไหร่ ผมก็อยากทำให้สำเร็จ คำครหาต่าง ๆ นานาที่ว่าผมจะมาแทนที่พ่อได้ยังไง อยู่ได้เพราะบารมีเก่าพ่อทั้งนั้น คำพวกนี้ผมไม่ชอบใจนัก เอาเป็นว่าผมจะทำทุกโครงการที่พ่อวางไว้ให้อีกห้าปีจากนี้ให้สำเร็จให้หมด ที่นี่ก็เป็นอีกหนึ่งโครงการที่ผมต้องผ่านไปให้ได้ 08.20 น. ความอ่อนเพลียสะสมทำให้ผมหลับยาวข้ามคืนจนถึงตอนนี้ แม้ใจจะยังไม่อยากตื่น แต่แรงเขย่าที่แขนพร้อมเสียงเรียกชื่อจากคุณเฟยทำให้ผมลืมตาตื่นอย่างจำใจ “นายใหญ่ครับ ที่บ่อนเกิดเรื่องครับ” “มีอะไร” “มีคนติดต่อลูกหนี้ของเรา เสนอการกู้แบบดอกเบี้ยถูกลงกว่าที่เราคิด แถมมีคนเข้ามาปลุกปั่นพาลูกค้าไปบ่อนอื่นด้วยครับ” “ตั้งแต่เมื่อไหร่?” “เมื่อคืนตอนตีสี่ครับ” “แล้วทำไมไม่มีคนโทรบอกผม!” “ผมอยากให้นายใหญ่พักผ่อน เรื่องที่บ่อนผมจัดการให้แล้วครับ จับพวกคนแปลกหน้าที่เข้ามาตีสนิทกับลูกค้า พวกป่วนโต๊ะพนันที่ลงทีละน้อยแล้วเวียนไปเล่นอย่างอื่น พวกนี้ถูกซ้อมปางตายเพื่อเค้นหาความจริง ตอนนี้รู้แล้วว่าคนสั่งการคือใคร ผมเลยรีบมาแจ้งคุณสิงห์ให้ตัดสินใจเองครับ” “ใคร?!” “คุณพิสุทธิ์ครับ” ที่แท้ก็คือคุณอาของผมอยู่เบื้องหลัง ไม่ได้แปลกใจสักเท่าไหร่เพราะเขาอยากขึ้นมาแทนที่พ่อผมจนตัวสั่น ผมไม่ปฏิเสธว่าเขามีฐานอำนาจรองจากพ่อ ญาติพี่น้องลงคะแนนไว้กับเขากันหมดไม่มีใครคอยสนับสนุนผมเลย ฝั่งผมมีแค่ผมกับไอ้เสือสองคน กว่าผมกับน้องชายจะมายืนอยู่จุดนี้มันไม่ง่ายนะ ผมทำงานกันตั้งแต่เด็ก ทุกอย่างที่พ่อทำผมรู้เห็นมาตลอด ลูกน้องพ่อพวกเขาจะเคารพผมต่อจากพ่อแน่นอน คนใกล้ตัวรู้ว่าผมกับไอ้เสือทำอะไรได้บ้าง เราไม่ใช่แค่เด็กอมมือที่ไม่รู้การบริหารจัดการอะไรเลย เพียงแต่ผู้ใหญ่พวกนั้นหลงระเริงไปกับอำนาจจนมองข้ามศักยภาพและกดขี่ความสามารถของพวกผม นั่นเพราะเขาโตกว่า ผมเด็กกว่า การลอบกัดลับหลังแบบนี้คงอยากสะกิดผมเพื่อท้าทายว่าผมจะทำอย่างไร คิดว่าแผนกระจอกแบบนี้ผมจะกลัวงั้นหรือ หึ “แล้วข้อมูลลูกหนี้หลุดออกไปได้ยังไง เรามีหนอนบ่อนไส้ซะแล้ว” “ผมจะรีบสืบให้ครับนายใหญ่” “จัดฉากเหมือนว่าเราเสียเปรียบ เราจะหลอกล่อให้คุณอาได้ใจแล้วผมจะเชือดเขานิ่ม ๆ เอง หานักสืบฝีมือดีคอยสืบเรื่องในบ่อนโดยเฉพาะเรื่องเอกสารที่หลุดออกไป ติดต่อลูกหนี้ทุกคนว่ามีใครกู้เงินจากคุณอาบ้าง บอกให้ลูกหนี้พวกนั้นช่วยเราทำงาน เป็นไปได้ให้แสร้งเข้าพวกกับคุณอาซะ สืบเอาข้อมูลภายในมาบอกเรา ใครร่วมมือผมจะลดหนี้ให้ครึ่งหนึ่ง” “เสี่ยงมากเลยนะครับ เราอาจจะเสียหนี้ก็ได้หากเขาหันไปร่วมมือกัน ไม่ยอมทำงานให้เรา” “ให้เลือกแล้วกัน ว่าจะช่วยทำงานหรือตาย” “ครับ นายใหญ่” “เอาแบบนี้แล้วกัน คัดคนที่พอไว้ใจได้ในบรรดาลูกหนี้ให้สอดแนมให้เรา ส่วนพวกลูกหนี้เหลวไหลอยากจะไปกู้กับอาก็เชิญ ไปเป็นภาระที่โน่นต่อแล้วกัน ยังไงก็ต้องจ่ายเราให้ครบอยู่ดี คิดจะเปลี่ยนไปเล่นบ่อนคู่แข่งเพื่อหาเงินมาจ่ายเรามันไม่ง่ายหรอก การพนันกับบ่อนมันไม่ได้มาจากโชค มาจากการโกงต่างหาก สุดท้ายก็ต้องกู้ทุกบ่อนที่เล่น ไว้จนตรอกเดี๋ยวก็ซมซานกลับมา” “ครับ แล้ววันนี้นายใหญ่จะอยู่ที่นี่ทั้งวันไหมครับ ผมจะได้เตรียมคนไว้รับใช้” “ผมจะไปพักที่โรงแรม คุณจัดการให้ด้วย ต้องไปคิดแผนต้อนรับคุณอาสักหน่อยแล้ว อยู่ที่นี่วุ่นวายผมหงุดหงิด” “ได้ครับ เดี๋ยวผมจัดการให้ครับนายใหญ่” ผมจะเข้าโหมดจริงจังเสมอเวลาทำงาน ด้วยบุคลิกผมไม่ใช่คนใจดีอะไร หน้าผมมันก็นิ่งอยู่ตลอดจนคนไม่ค่อยกล้าเข้าหา มีแต่คุณเฟยนี่แหละที่ผมทำงานได้อย่างสะดวกใจที่สุด ผมรู้จักเขาตั้งแต่เริ่มทำงานกับพ่อ พอทำงานมาด้วยกันหลายปีจึงเกิดความสนิทสนม แต่ก่อนเขาเรียกผมว่าคุณสิงห์บ้าง นายน้อยบ้าง ตอนนี้ผมขึ้นมาแทนพ่อแล้วเขาจึงเรียกผมว่านายใหญ่แทนพ่อเลย ไม่สิ ทุกคนเรียกผมแบบนั้นเพราะพ่อผมกำชับมาว่าต้องปฏิบัติกับผมให้เหมือนพ่อทุกอย่าง ขณะที่คุณเฟยยืนอยู่ด้านนอกอย่างสุภาพ ผมก็ยื่นผ้าห่มบนตัวให้เขา “ผมคืน” “ครับ? เอาผ้าห่มให้ผมทำไมครับ?” “คืนไง คุณเอามาให้ผมไม่ใช่เหรอ?” “เปล่าครับ ไม่ใช่ผม ผมนอนบนรถคันที่สาม เพิ่งจะมาปลุกนายใหญ่เมื่อครู่นี้เอง” “...” เมื่อคืนผมหยิบผ้าห่มติดมือมาด้วยเหรอ? ก็ไม่นี่ “คุณโซ่มาห่มผ้าให้หรือเปล่าครับ?” คุณเฟยมองผ้าห่มกับผมสลับกันพลางอมยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ยเมื่อพูดถึงโซ่ ผมไม่รู้หรอกว่าเขายิ้มทำไม แล้วผมก็ไม่รู้ด้วยว่าทำไมผมต้องรู้สึกหงุดหงิดจนต้องพูดอะไรออกไปสักอย่าง “ไปเตรียมตัวได้แล้ว ผมจะไปโรงแรม คุณยืนยิ้มอยู่ได้” “แล้วนายใหญ่แอบยิ้มทำไมล่ะครับ? ผมก็ยิ้มตามเฉย ๆ” “นี่คุณ!! ผมไม่ได้ยิ้ม!!” ผมโยนผ้าห่มบนตักทิ้งก่อนจะหยิบชุดทำงานที่แขวนอยู่ริมหน้าต่างกับของใช้ส่วนตัวติดมือลงมาจากรถ ก้าวเท้ายาว ๆ เดินเข้าบ้านพักขนาดเท่ารังหนูของโซ่ไปด้วยอาการแปลกประหลาดที่ผมก็อธิบายไม่ถูก ตอนนี้ในบ้านเงียบมาก ไม่มีคนอยู่เลย ผมรีบอาบน้ำอาบท่าแล้วออกมาแต่งตัวในห้องนอน ผมโยนเสื้อผ้าชุดเก่าใส่ไว้ในตะกร้ารวมกับเสื้อผ้าของโซ่ เดี๋ยวยังไงผมก็ได้กลับมาอยู่ดี ฝากไว้ก่อน กางเกงสแล็กขายาวสีกรมท่าถูกสวมด้วยความยาวที่พอดีตัว เสื้อเชิ้ตสีขาวกับสูทตัวนอกสีเดียวกับกางเกงถูกสวมตามมาติด ๆ ทว่าเมื่อแต่งตัวเสร็จผมก็นึกบางอย่างขึ้นได้ ปืนผมอยู่ไหน? สมองพลันนึกได้ทันทีว่าครั้งสุดท้ายผมเอาไว้ใต้หมอน แต่พอไปค้นกลับไม่เจอแล้ว เด็กพวกนั้นเอาไปเล่นหรือเปล่านะ? ความตกใจทำให้ผมรีบวิ่งออกมานอกบ้าน สวมรองเท้าแตะหูคีบของโซ่ได้ก็วิ่งไปที่ศาลาพร้อมกับบอดี้การ์ดที่วิ่งตามมาอีกห้าคน ซึ่งพวกเขาก็ไม่รู้หรอกว่าผมวิ่งหน้าตาตื่นออกจากบ้านมาทำไม ไม่มีเวลาให้ผมอธิบาย สายตากวาดมองหาร่างผอมบางที่คุ้นตา ตอนนี้เขายืนอยู่มุมหนึ่งของศาลาพร้อมกับกระดานไวท์บอร์ดขนาดใหญ่ ในมือถือปากกาเมจิกแล้วขีดเขียนอะไรลงไปบนกระดาน ริมฝีปากบางกำลังพูดไปยิ้มไปกับเด็ก ๆ สิบกว่าคนที่นั่งอยู่บนพื้น “พ่อหนุ่ม ข้าวเช้าอร่อยมาก ลุงไม่เคยกินไข่เจียวที่ไหนอร่อยเท่านี้!” ลุงคนหนึ่งที่กำลังขนตะกร้ายอดชาเขียวลงจากรถหันมาบอกผม ตามมาด้วยคนละแวกนั้นแย่งกันเอ่ยชมอาหารที่ผมเตรียมไว้ให้ ผมฟังไปก็ชะเง้อมองเด็กสามคนที่นอนอยู่ในห้องโซ่เมื่อคืนไป พอเห็นว่าอยู่กันครบทุกคนก็โล่งอก ปืนผมไม่ได้ทำอันตรายกับใครก็ดีแล้ว เดี๋ยวผมค่อยถามโซ่อีกทีแล้วกัน แวะคุยกับคนงานที่นี่ก่อน “อะแฮ่ม เอ่อ ดีใจที่ชอบอาหารนะครับ เดี๋ยวผมจัดของอร่อยให้ทุกมื้อเลย ชอบทานอะไรแจ้งมาได้เลยนะครับ” “เอาไข่เจียวเมื่อเช้าอีก ๆ ลุงชอบ” อ้อ ไข่เจียวที่ว่าคือ’ออมเล็ต’นั่นเอง มันไม่ใช่ไข่เจียวแห้ง ๆ ธรรมดา แต่มันมีวิธีการม้วนไข่และสอดไส้เบคอนกรอบและชีสอยู่ข้างใน ไข่จะไม่สุกทั้งหมด ตรงกลางจะมีลักษณะข้นและเหนียว กินกับข้าวสวยร้อน ๆ จะเข้ากันมาก มื้อเช้านี้ผมก็สั่งอาหารจากโรงแรมเข้ามาอีกเช่นกัน มันถูกสุขอนามัยที่สุดแล้ว สั่งมาหลายเมนูเลย เป็นแบบบุฟเฟต์ให้คนงานเลือกตักกินเอา ส่วนออมเล็ตเบคอนกรอบราดชีสน่ะของโปรดโซ่เขาล่ะ ผมเดานะ เพราะตอนอยู่อเมริกาโซ่ทำบ่อยมาก ไม่เคยถามเหมือนกันว่าเขาชอบหรือเปล่า เห็นกินบ่อยเลยคิดไปเองว่าชอบมาก “เรื่องของกินไม่ต้องห่วงเลยครับ ผมเลี้ยงไม่อั้น แล้วนี่ทำอะไรกันอยู่ครับ” ผมพยายามชวนคุยเพื่อตีสนิทโดยที่พวกเขาไม่เอะใจเลยว่าผมกำลังเก็บข้อมูลอยู่ ทุกคนเล่าเรื่องของตัวเองออกมาง่ายมากจนผมตกใจ เพียงแค่ผมคุยด้วยไม่กี่นาทีผมก็รู้ได้แล้วว่าใครพักอยู่ที่ไหน ใครเจ็บป่วยส่วนไหนก็พูดออกมาเหมือนเล่าสู่กันฟัง ผ่านไปเพียงครู่หนึ่งที่ยืนคุย คุณป้าคนหนึ่งก็เอาสตอรว์เบอร์รี่ลูกใหญ่มาป้อนผมแกมบังคับ คุณเฟยที่เพิ่งเดินเข้ามาถึงกับตาโตรีบเข้ามาดูว่าสตอรว์เบอร์รี่ในมือคุณป้าน่ะล้างหรือยัง ดีหน่อยที่ล้างแล้ว แล้วผมก็กินไปแล้วด้วย รสชาติหวานมาก มันสดและผมว่ามันอร่อยมากเลย ลูกก็ใหญ่ “เอ้า นี่ หื้อหมดเลย เอาไว้กิ๋นเน้อเจ้า” (เอ้า นี่ ให้หมดเลย เอาไว้กินนะคะ) “ซื้อมาหรือของที่นี่?” ผมถามพลางหยิบสตอรว์เบอร์รี่ที่คุณป้าให้มาเข้าปากเป็นลูกที่สอง “ในสวนมีปะเลอะปะเต๋อบ่ต้องเสี้ยงสะตังสักบาท อยากกิ๋นมะใดก็ไปเอาได้ สวนป้าก็มี สวนโซ้ก็มี” (ในสวนมีเยอะแยะไม่ต้องเสียเงินซื้อสักบาท อยากกินเมื่อไหร่ก็ไปเอาได้ สวนป้าก็มี สวนโซ่ก็มี) ฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างแต่ผมก็พยักหน้ารับ ก่อนจะกระซิบกับคุณเฟยให้คุยกับทุกคนต่ออีกหน่อย ตีสนิทให้มาก ๆ แล้วเอาข้อมูลมาบอกผม เที่ยง ๆ ค่อยตามผมไปโรงแรมก็ได้ จากนั้นผมก็เดินมานั่งใส่ถุงเท้าและรองเท้าที่มีคนเตรียมไว้ให้ เมื่อลุกขึ้นยืนก็ไม่ลืมหยิบกล่องใส่สตอรว์เบอร์รี่สดที่ล้างแล้วติดมือมากินต่อเป็นลูกที่สามด้วย ผมเดินตรงไปหาโซ่ ยืนดูเขาสอนภาษาอังกฤษเด็กพวกนี้อย่างคล่องแคล่ว ข้างกระดานมีถุงขนมหลายถุงที่ผมสั่งซื้อมาด้วย เดาว่าคงจะเอามาแจกเด็ก ๆ แต่แล้วไม่นานโซ่ก็พักเบรกแล้วเดินหน้ามุ่ยมาหาผม สงสัยจะกดดันที่ผมมายืนมองเขาเลยดูเลิ่กลั่กไปหมด “สิงห์ มีอะไร จ้องโซ่อยู่ได้” “เปล่า จะถามว่าเห็นปืนไหม เมื่อคืนเอาไว้ใต้หมอน” “เอาวางไว้ให้ในรถไง ข้างเบาะที่สิงห์นอน เอ้า นึกว่าจะเห็น” “ไม่ทันมอง” “แล้วนี่ไปคุยอะไรกับลุง ๆ ป้า ๆ ตกใจนะที่เห็นสิงห์ลดตัวขนาดนี้ ปกติถ้าไม่ใช้นักธุรกิจพันล้านสิงห์ไม่มองด้วยซ้ำ” “ไม่ได้คุยอะไร แค่ชิมผลไม้” โซ่รู้จักผมดีเกินไปจนผมเริ่มกังวล เขาดักทางผมได้ทุกอย่างเพราะรู้ตัวตนของผมว่าเป็นคนอย่างไร ใช่ ผมทำเป็นตีสนิทไปอย่างนั้นเพื่อทำดีซื้อใจไง การได้ข้อมูลของพวกเขาแล้วรู้ถึงความต้องการเราก็สามารถหาข้อได้เปรียบมาซื้อใจพวกเขาได้ไม่ใช่หรือ? ผมจะค่อย ๆ ป้อนข้อมูลทีละนิดว่าถ้าที่นี่เป็นสนามกอล์ฟมันจะดียังไง ยื่นข้อเสนอดี ๆ ในเรื่องของเงินเดือนและสวัสดิการให้ ผมเชื่อว่าต้องมีคนเห็นด้วยกับผมบ้างแหละ จากนั้นพวกเขาก็จะเอาไปเล่ากันปากต่อปากเพื่อเชิญชวนคนมาเห็นด้วยเอง ถึงตอนนั้นแล้วต่อให้ผมไม่สามารถหาอะไรมาโน้มน้าวโซ่ได้ ผมก็มีคนคอยสนับสนุนและพร้อมรับความเปลี่ยนแปลงทางอาชีพ ลองนึกดูว่าถ้าเหล่าคนที่โซ่เป็นห่วงเรื่องปากท้องเขานักหนาไม่ยินดีจะทำงานกับโซ่แล้ว ยังไงโซ่ก็ต้องใจอ่อนบ้างล่ะนะ “ข้าวเช้าสิงห์ยังไม่กินเลย กินผลไม้ก่อนทำไม ท้องก็ไม่ดีเดี๋ยวก็ท้องเสียอีกหรอก” ผมยัดสตอรว์เบอร์รี่ลูกหนึ่งเข้าปากโซ่เพราะอยากให้เขาหยุดบ่น แต่ไม่คิดว่าเด็กพวกนี้จะเห็นแล้วพากันส่งเสียงโห่ร้องผิวปากวี้ดวิ้วกันใหญ่ ‘แน๊ ป้อนกันด้วยยยย’ ‘แฟนกันแน่ ๆ’ คำพูดพวกนี้ที่เด็ก ๆ พูดมาผมไม่ได้ใส่ใจนัก โซ่เองก็เหมือนกัน เขากลอกตามองบนแล้วหันไปดุทีหนึ่งก่อนจะหันกลับมา “ไปโรงแรมนะ มีงานต้องทำ” ผมยื่นกล่องสตรอว์เบอร์รี่ให้เขา โซ่รับไว้ทันทีผมจึงหันหลังเดินกลับมา “เดี๋ยว แล้วตอนเย็นจะมาไหม?” “ดูก่อน” “กินข้าวแล้วอย่าลืมกินยาล่ะ” ผมพยักหน้ารับด้วยความรู้สึกดีครึ่งไม่ดีครึ่งท่ามกลางเสียงเด็ก ๆ ที่แซวโซ่ใหญ่เลยว่าเป็นห่วงผมต่าง ๆ นานา ส่วนผมก็เดินออกมาพร้อมกับภาวนาในใจ ว่าขออย่าให้เรื่องของผมกับโซ่จบลงเหมือนสามปีก่อนเลย ความผูกพันระหว่างเรามันเริ่มน่ากลัวขึ้นทุกที นี่แค่ผมอยู่กับเขาแค่วันเดียวผมยังหลงลืมไปบ้างแล้วว่ามันเคยเกิดอะไรขึ้นบ้าง ที่โซ่เคยบอกว่าเขาจะสารภาพรักกับผมแค่สามครั้ง ผมขอให้มันเป็นอย่างนั้น อย่าให้มีครั้งที่สี่เลย คนอย่างผมคงทำให้โซ่สมหวังไม่ได้ ในฐานะนักลงทุนกับเจ้าของที่ ผมขอให้งานผมลุล่วงไปได้ก็พอแล้ว แต่...โซ่เป็นคนดีที่สุดที่ผมเคยเจอมาเลย เขาไม่มีพิษภัย เขาจริงใจกับผมเสมอ สิบปีที่ผ่านมายืนยันทุกอย่างได้ชัดเจน ตอนนี้ผมโตขึ้นแล้ว เป็นไปได้ผมก็อยากมีมิตรภาพดี ๆ อย่างเขาไว้ข้างกาย ซึ่งถ้าผมรักษาโซ่ไว้กับตัวผมจะทำโซ่เสียใจอีกหรือเปล่า ผมไม่อยากเห็นโซ่เสียใจเพราะผมอีกแล้ว บอกตามตรงว่าถ้ารู้ว่าเขาอยู่กับผมแล้วเขาจะเสียใจ ผมเลือกที่จะตัดสัมพันธ์ทุกอย่างเพื่อปล่อยโซ่ไปคงดีกว่า
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD