EP.06
เซ้าซี้ ขี้อ้อน
หลายวันต่อมา
เช้าวันนี้บรรยากาศในไร่แปลกไปจากทุกครั้ง ผมเดินไปทางไหนก็มีแต่คนพูดถึงสิงห์ไม่ขาดหู อาจเพราะสิงห์เขาสั่งอาหารจากที่โรงแรมมาเลี้ยงคนงานเป็นมื้อเช้าอีกแล้วน่ะสิ ไม่ว่าเขาจะจัดแจงอะไรมักจะเป็นที่ถูกใจของทุกคน ใครก็ชมเปราะว่าสิงห์ใจดี ผมได้แต่ฟังเงียบ ๆ ไม่ได้เสริมทัพอะไร รู้อยู่เต็มอกครับว่าเขาหวังอะไรอยู่
ขณะที่ผมยืนมัดผมอยู่นั้น บอดีการ์ดสองคนของสิงห์มาบอกผมว่าจะออกไปรับของข้างนอก นายใหญ่สั่งของมาให้ ตัวผมก็พยักหน้ารับทราบแล้วก็ซ้อนมอเตอร์ไซค์คนงานเข้าไปนั่งเล่นในไร่อย่างเช่นทุกวัน
พอตอนเที่ยงผมกลับเข้ามาพักทานข้าวที่ศาลา กลับพบว่ามีรถกระบะสองคันจอดเทียบอยู่ด้านหน้า สีบลอนด์เงาดูใหม่กริบ ป้ายทะเบียนก็ยังไม่มี
‘นายใหญ่ซื้อรถให้ครับ ให้คนงานไว้ขนของไปส่งตลาด’
ได้ยินดังนั้นผมนิ่งเงียบไปเลยครับ พูดอะไรไม่ออก รู้ดีว่ามูลค่ารถสองคันนี้มันก็แค่เศษเงินของสิงห์เท่านั้น แต่ไม่รู้ว่าเขาซื้อมาให้ทำไม ในเมื่อปกติคนงานในไร่เขามีรถขนผัก ขนผลไม้กันอยู่แล้ว จริงที่ว่าไม่ได้มีรถทุกครอบครัวแต่พวกเขาจะอาศัยการฝากกันส่ง
อย่างเช่นบ้านนี้ต้องเอาผักในไร่ตัวเองไปส่งที่ตลาด อีกบ้านก็จะฝากเอาผลไม้ไปลงตามร้านค้าต่าง ๆ ในละแวกเดียวกันด้วย ทุกคนแบ่งปันกันแบบนี้มาตลอดโดยไม่มีปัญหา ยังไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องเพิ่มรถถึงสองคันมาไว้ใช้ในไร่ แต่ก็นั่นแหละครับ การลงทุนซื้อใจของสิงห์มันสำเร็จแล้ว ทุกคนชมเขาจนหนาหู
ซึ่งมันก็ได้เท่านี้แหละครับเพราะผมไม่ยอมขายที่ให้เขาแน่นอน ไม่รู้ว่าผลสุดท้ายแล้วเขาจะทำอย่างไรกับการตัดสินใจนี้ของผม แต่ผมยังคงยืนยันคำตอบเดิม
จะว่าไปสิงห์ลงทุนไปเยอะนะ เขาซ่อมแซมศาลาให้ใหม่ ทำที่บังแดดให้ จัดการเรื่องอาหารการกิน เครื่องดื่ม ขนม ยาชูกำลังไม่เคยขาด มีบอดี้การ์ดคอยดูแลความเรียบร้อยตลอดเวลา ถึงแม้จะรู้สึกว่าเขาทิ้งคนไว้คุมพฤติกรรมของผมก็ตาม แต่เมื่อไหร่ที่ต้องการความช่วยเหลือจำพวกใช้แรง พี่สองคนนี้จะเข้ามาช่วยยกของอย่างไม่เกี่ยงงอน
ผมน่ะ ไม่คิดว่าสิงห์จะใส่ใจกับที่นี่มาได้เป็นเดือนแบบนี้ ยอมรับว่าดูถูกเขาตั้งแต่แรกว่าเขาจะถอดใจ เขาก็น่าจะรู้ว่าผมดื้อ ผมบอกไม่ก็คือไม่ ไม่ยอมขายที่ดินผืนนี้ให้แน่ ๆ แต่ทำไมสิงห์ยังคิดลงทุนกับตรงนี้อยู่ เขาเอาความมั่นใจมาจากไหนว่าผมจะใจอ่อน มาจนถึงตอนนี้ผมเดาทางเขาไม่ออกแล้วว่าเขาจะทำอะไรต่อ ในเมื่อตัวไม่มาอยู่แต่ส่งของมาไม่เคยขาด
“โซ่ น้องจะไปกรุงเทพฯ เมื่อใด? รอบนี้ไปเมินก่? ปิ๊กมาวันใดนิ?” (โซ่ จะไปกรุงเทพฯ เมื่อไหร่? รอบนี้ไปนานไหม? จะกลับมาวันไหนเหรอ?)
ป้าคนหนึ่งเดินเข้ามาหาผมพร้อมกับยื่นตะกร้าใส่มะเขือเทศลูกเล็กมาให้ หยดน้ำที่เกาะขอบขอบตะกร้าหยดลงสู่พื้นบ่งบอกว่าเพิ่งล้างทำความสะอาดมาอย่างแน่นอน ผมรับมาวางไว้ข้างกายก่อนจะหยิบมะเขือเทศเข้าปาก อ่า ผมชอบทานมากเลยครับ
“ไปพรุ่งนี้แล้วครับ คงจะไปนานหน่อยนะครับมีเรื่องต้องทำเยอะเลยรอบนี้ อาจจะกลับตอนสิ้นเดือนนะ”
ที่จริงผมยังไม่ได้บอกใครเท่าไหร่ว่าจะไม่อยู่ มีแต่ผู้ใหญ่ไม่กี่คนที่รู้ว่าผมจะไปเพราะผมฝากฝังให้ดูแลทุกคนแทนผมหน่อย ในไร่นี้ที่จริงไม่ต้องมีผมอยู่ตลอดเวลาก็ได้แหละครับ ทุกคนสามารถอยู่ได้ด้วยตนเองหมด แต่ละครอบครัวก็ดูแลกันไป เพียงแต่ผมไม่ค่อยได้ไปไหนไกลจากที่นี่บ่อยนัก มากสุดก็กลับไปนอนบ้านที่อยู่ในตัวเมืองเชียงใหม่ นานครั้งจะเข้ากรุงเทพฯ
หลังจากนั้นผมก็เดินหอบมะเขือเทศมานั่งกินอยู่ข้างศาลา ฟังคนงานชมเปราะถึงสิงห์เรื่องรถกระบะสองคันนี้ไม่หยุดหย่อนจริง ๆ รถมาถึงก็ได้ใช้งานเลย ทุกคนเห่อของใหม่มากครับ ขยันแยกคัดแยกของเพื่อขนขึ้นรถคันใหม่ ตอนแรกไม่มีใครกล้าใช้เลยนะ ผมเลยต้องมาอนุญาตให้ใช้พวกเขาถึงกล้าขนผักขึ้นมาวาง
ตอนนี้ผมกำลังคิดอยู่ว่าควรโทรไปขอบคุณสิงห์ดีไหม ทว่าคิดไปคิดมาผมไม่ได้ขอให้เขาซื้อรถให้นี่นา ไม่โทรดีกว่า เขาคงไม่ว่างคุยกับผมหรอกคนงานเยอะอย่างเขาน่ะนะ
ตกเย็นวันเดียวกันนี้ก็มีเรื่องให้น่าตกใจอีกเรื่องหนึ่งครับ สิงห์ส่งหมอนวดที่โรงแรมของเขามาสิบคน ให้มาช่วยนวดผ่อนคลายให้คนงานในไร่โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายสักบาท เหมือนเขาจ้างเหมามาทั้งหมด
“นายใหญ่ของพวกคุณนี่เอาแต่ใจจริง ๆ จะทำอะไรไม่คิดจะบอกผมก่อนเหรอ?”
“เขาหวังดีนะครับคุณโซ่”
พอบ่นกับบอดี้การ์ดของเขาไปก็เท่านั้น ของมันแน่อยู่แล้วว่าเขาต้องเข้าข้างนายใหญ่ตัวเอง สิงห์น่ะทำดีหวังผลตลอดแหละครับ เขาทุ่มเทจนผมไม่แน่ใจว่าเขาหวังไปถึงจุดไหนแล้ว เขาดูแลคนงานดีกว่าผมอีกนะทุกวันนี้ ไปตรงไหนก็มีแต่คนถามถึงเขาทั้งที่ตัวเขาเคยมานอนค้างคืนที่นี่แค่สองครั้ง!
ผมยืนมองคุณลุงคุณป้านอนคว่ำให้นวดด้วยความรู้สึกหนักใจ ทุกคนดูชอบมากเลยนะครับ โดยปกติแล้วพวกเราจะนวดกันเองหลังจากทำงานเหนื่อยล้ามาทั้งวัน หรือไม่ก็จ้างเด็กในหมู่บ้านมานวดให้ อย่างผมก็จ้าง ‘เบส’ มานวดให้ประจำ ไม่สิ เขาเป็นหมอนวดประจำของไร่เราเลย เป็นหลานของคนงานนี่แหละครับแต่ไปเรียนศาสตร์การนวดมาก็เลยรับจ้างนวดจับเส้นทั่วไป
ความเคยชินของเราอยู่ในระดับนี้ เราช่วยเหลือกันเอง จ้างคนกันเอง เม็ดเงินหมุนเวียนอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหนหรอก มานั่งคิดอีกที วิถีชีวิตเรียบง่ายของพวกเรากำลังเปลี่ยนไปเมื่อสิงห์เข้ามายกระดับ มันก็ดีในด้านอำนวยความสะดวกสบายหลายอย่าง แต่คิดกลับกันนะ ถ้าทุกคนเคยชินที่จะเป็นฝ่ายรับอย่างเดียว วันหนึ่งสิงห์ไม่ให้แล้วล่ะ ถ้าไม่มีสิงห์คอยสนับสนุนความสบายให้พวกเขาจะกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมได้ไหมนะ
ตัวผมไม่มีปัญหาหรอก ผมไม่ได้ขัดสนอะไร ชีวิตนี้เหลือกินเหลือใช้มานานแล้วเลยไม่ตื่นเต้นกับทุกสิ่งที่สิงห์ทำ
“เออนี่ พรุ่งนี้ผมจะเข้ากรุงเทพฯ คุณสองคนจะไปด้วยไหม? กลับไปพักได้แล้วครับ ไม่ต้องเฝ้าผมแล้ว”
“เดี๋ยวขอคุยกับนายใหญ่ก่อนนะครับ”
บอดี้การ์ดสองคนนี้ผมพาตบะแตกเรียบร้อยแล้ว ต่อหน้าสิงห์พวกเขาจะเคร่งขรึมมาก เรียบร้อยมาก แต่อยู่กับผมไม่จำเป็นต้องดึงหน้าดุตลอดนี่นา ผมพาเขาเข้าไร่เลย ไปช่วยเก็บชา ปลูกผัก ให้พวกเขาเอาเต็นท์มากางนอนหน้าบ้านผมเลยด้วย อยากนอนก็นอนไม่ต้องยืนเฝ้าผมตลอด นอนเฝ้าก็ได้ บางวันเรานั่งดื่มเบียร์กันด้วยนะครับจะบอกให้
ผมไม่ชอบอะไรที่มันตึงเกินไปน่ะครับ อันที่จริงบอดี้การ์ดของสิงห์กี่รุ่นต่อกี่รุ่นผมก็ยั่วยุจนมาเป็นพวกตัวเองได้หมด
วันรุ่งขึ้น
วันนี้ผมตื่นเช้ากว่าปกตินิดหน่อยเพราะต้องเข้าบ้านไปเตรียมของเพื่อเข้ากรุงเทพฯ แต่รู้อะไรไหมครับ มีคนดีใจกว่าผมอีกนะ บอดี้การ์ดคนหนึ่งยืนกอดอกยิ้มแฉ่งให้ผมอยู่หน้าประตู ส่วนอีกคนไปยืนเช็ดรถให้ผมอยู่ตรงโน้น
“ตกลงไปกรุงเทพฯ ด้วยกันใช่ไหม นายใหญ่พวกคุณอนุญาตแล้วสิ?”
“นายใหญ่ให้ขับรถพาคุณไป ไม่ยอมให้คุณขับรถไกลคนเดียว เขาบอกว่าคุณขับรถไม่เก่ง”
“ผมขับได้ คุณอย่าไปเชื่อเขามาก แต่ผมต้องเข้าบ้านไปเอาของก่อนนะ”
“ได้ครับ เดี๋ยวผมขับไปให้”
แล้วเราก็ออกเดินทางทันทีครับ ผมพาคนนอกเข้าบ้านครั้งแรกเลยด้วย ไม่เคยมีใครมาบ้านผมที่นี่นะ คนงานในไร่ก็ไม่เคยมา ผมเองยังไม่ค่อยได้กลับมาพักเลย ที่นี่มันมีความทรงจำบางอย่างไม่ค่อยดีสำหรับผมน่ะครับ ผมอยู่ที่นี่แล้วใจไม่สงบ การเข้าบ้านมาเก็บของใช้ เสื้อผ้า ลงกระเป๋าใบใหญ่จึงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ใช้เวลารวมอาบน้ำแต่งตัวอีกเพียงครู่เดียวผมก็เสร็จเรียบร้อยแล้วครับ
“ไปเถอะคุณ อย่าอยู่ที่นี่นานเลยผมขนลุก ไว้แวะกินเข้าเช้าร้านข้างทางนะ อ้อ ผมเอารถอีกคันไปนะครับ รบกวนคุณสองคนตรวจสภาพรถคร่าว ๆ ให้ผมที น่าจะต้องเติมน้ำเช็กลมล้อกันสักหน่อย”
“คุณโซ่อยู่บ้านนี้คนเดียวแต่มีรถใช้หกคัน ใช้ยังไงให้ทันล่ะครับ จอดทิ้งไว้นานเครื่องมันพังได้นะ แต่เดี๋ยวนายใหญ่คงส่งคนมาดูแลให้”
“หยุดเลย ไม่ต้องไปบอกเขาสิ เขาไม่สนใจเรื่องพวกนี้หรอก”
“เอ่อ ผมรายงานไปแล้วครับ แต่ตอนนี้นายใหญ่เตรียมตัวเข้าประชุมอยู่เลยยังไม่มีคำสั่งอะไรกลับมา”
“เฮ้อ พวกคุณนี่นะ อย่าไปทำตามคำสั่งไร้สาระของเขามากนักเลย ตามใจสิงห์น่ะเหนื่อยจะตาย เขาจะมาจู้จี้จุกจิกอะไรกับผมนัก”
“เขาคงชอบคุณมาก ๆ”
“พูดอะไรของคุณน่ะ นั่นเป็นสิ่งสุดท้ายในโลกเลยที่มันจะเกิดขึ้นกับผม ฮ่า ๆ คนอย่างสิงห์น่ะผมรู้จักเขามาตั้งแต่เด็ก เขารักใครไม่เป็นหรอกครับ”
“ก็คนอย่างนายใหญ่นั่นแหละครับที่เขาไม่จำเป็นต้องใส่ใจอะไรเลย เขาเมินคนทั้งโลกแต่ใส่ใจแค่คุณคนเดียว”
สองคนนี้น่ะนะ ถ้ามีรางวัลนักชงดีเด่นเขาต้องได้แน่นอน เขาอวยสิงห์มาก อวยทุกอย่าง ชอบเล่าเรื่องสิงห์ให้ผมฟังโดยที่ผมไม่ได้ถาม ทีแรกผมเข้าใจว่าพวกเขาชื่นชมนายใหญ่ของตัวเองผมจึงรับฟังแบบไม่โต้แย้ง สิงห์เขาเป็นคนใจถึงเรื่องดูแลลูกน้อง ให้ทำงานหนักแต่ค่าตอบแทนก็มากเช่นกัน เขาไม่เคยทิ้งใครไว้ข้างหลัง เรื่องพวกนี้ผมฟังแล้วก็ยินดีไปกับเขาด้วย
แต่นานวันเข้าทำไมผมถึงรู้สึกว่าสองคนนี้โดนจ้างมาพูดเรื่องสิงห์ให้ผมฟัง สาบานว่าผมไม่เคยถาม ไม่คิดจะอยากรู้อะไรแล้ว ผมว่าผมรู้จักสิงห์มาสิบปีมันมากพอแล้วครับ นี่อะไรกัน มีจังหวะเมื่อไหร่เขาจะชอบเสนอตัวสิงห์เข้ามายกยอปอปั้นอยู่เสมอ โดยเฉพาะหลังจากวันที่สิงห์กลับไปครั้งล่าสุด ข้อมูลมันเปลี่ยนไปนิดหน่อยตรงที่พวกเขาชอบย้ำว่าสิงห์ใส่ใจผม สนใจผม ชอบผม คนพูดก็พูดไปยิ้มไป แต่คนฟังนี่ขนลุกซู่เลยครับ
ทุกครั้งที่มีการพูดจาแบบนี้ผมก็ตัดบทสนทนาด้วยการเดินหนีเสมอ วันนี้ก็เช่นกัน ผมเดินนำออกมาเลือกรถบีเอ็มดับเบิลยูคันโปรดเพื่อใช้ในการเดินทาง
8 ชั่วโมงผ่านไป
หลังจากเราสามคนสลับกันขับรถทางไกล ผมเพลียมากจนเผลอหลับไปขณะที่ใกล้ถึงกรุงเทพฯ เต็มที แต่มันน่าตกใจตรงที่ปลายทางของผมกับบอดี้การ์ดที่ขับรถให้ไม่ตรงกัน แรงเขย่าที่หัวไหล่พร้อมกับเสียงทุ้มแสนคุ้นเคยทำให้ผมลืมตาตื่น มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าผมอยู่ที่ไหน พวกเขาพาผมมาที่บ้านสิงห์!!! ถึงผมไม่เคยมาแต่ความรู้สึกมันบอกว่านี่คือบ้านเขาแน่นอน
“โซ่ เข้าบ้านกัน”
“เดี๋ยวนะ พามาที่นี่ทำไม พวกคุณพาผมไปส่งที่บ้านเดี๋ยวนี้เลย ผมไม่ได้อยากมาหาเขา”
“สิงห์รอกินข้าวอยู่นะ โซ่อย่าดื้อ”
มือใหญ่คว้าข้อมือผมพลางออกแรงดึงจนผมต้องลงจากรถแล้วเดินตามเขาเข้าบ้านต้อย ๆ จะสะบัดข้อมือทิ้งแล้ววิ่งหนีก็ทำไม่ได้เลยครับ สิงห์ไม่ยอมปล่อยเลย
เมื่อพาตัวเองเข้ามาในบ้านหลังใหญ่โตของเขา มันอดที่จะมองสำรวจไม่ได้เหมือนกัน บ้านของสิงห์เป็นสถานที่ที่ผมเคยอยากมามากที่สุด ตอนเด็กนะ ผมอ้อนวอนเขาบ่อยมากที่จะขอมาเล่นที่บ้าน อยากเอาการบ้านมานั่งทำด้วยกัน วันหยุดนัดเจอกัน ซึ่งทุกครั้งที่ร้องขอไปเขาจะปฏิเสธกลับมาทันควัน
แล้วจู่ ๆ วันนี้ผมก็ได้มาเหยียบที่นี่ แต่ดันเป็นวันที่ผมไม่ได้รู้สึกอยากจะมา ไม่คิดว่าชาตินี้จะได้เข้ามาเหยียบพื้นที่ส่วนตัวที่สิงห์หวงแหนเลยด้วยซ้ำไป เขาทำอะไรเกินกว่าที่ผมคาดคิดไว้อีกแล้วสินะ
“นิสัยเสียนะสิงห์ ทำอย่างกับโจรลักพาตัว”
“ถ้าขอให้โซ่มาหา โซ่ก็คงไม่มาเองหรอก”
“ก็มากรุงเทพฯ มาทำธุระ ไม่ได้มาเที่ยวเล่นหาสิงห์สักหน่อย”
พูดยังไม่ทันจบประโยคดี ผมก็ได้ยินเสียงกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ของผมถูกลากเข้ามาแล้วก็ผ่านตัวผมขึ้นไปยังชั้นบนของบ้าน นาทีนี้ผมได้แต่จะวิ่งตามกระเป๋าของตัวเองขึ้นไป แต่ก็ทำอะไรไม่ได้อีกเพราะสิงห์ลากผมให้เดินต่อไป
“พักที่นี่แหละคืนนี้น่ะ มากินข้าวก่อน รอโซ่จนหิวจะแย่แล้ว”
“สิงห์ โซ่ไม่นอนที่นี่!”
“มีอะไรจะคุยกับโซ่หลายเรื่อง ขอเวลาให้สิงห์บ้างได้ไหม เราไม่มีเวลาให้กันเลยนะ เจอกันน้อยมาก”
เมื่อไหร่ที่สิงห์เริ่มพูดประโยคยาวขึ้น เมื่อนั้นคือเขากำลังอารมณ์ไม่คงที่
“เราไม่เจอกันมาสองปีกว่าแล้วสิงห์ จะสามปีแล้วมั้ง เรายังอยู่กันได้เลย”
“นั่นมันเมื่อก่อน ช่างมันได้ไหมเรื่องเก่า ๆ น่ะ”
“พูดง่ายสิ ช่างมันงั้นเหรอ? เหอะ สิบปีนะสิงห์ เวลาสิบปีกับการสารภาพรักสามครั้ง สิงห์คิดว่ามันลืมง่ายไหมถึงมาบอกให้ช่างมันเนี่ย!”
พอนึกแล้วใจผมมันเจ็บแปลบขึ้นมาทันที ถ้าให้ย้อนเอาเรื่องเก่ามาพูดผมสามารถพ่นออกมาได้สามวันสามคืนก็เล่าไม่หมด ไม่ได้หมายความว่าที่ผ่านมามันแย่นะครับ แต่มันดี มันเป็นช่วงเวลาที่ผมมีความสุขมากในตอนที่มีสิงห์อยู่ ผมไม่เคยเสียดายเวลาตรงนั้นเมื่อมองย้อนกลับไป
แต่ผมเจ็บตรงที่มันดีนี่แหละครับ ดีจนผมหวัง เขาก็ให้ความหวังผมเหมือนกันแต่พอสุดท้ายกลับให้หัวใจผมไม่ได้ ผมเจ็บตรงนี้มากกว่า บทเรียนครั้งนั้นทำให้ผมย้ำเตือนตัวเองอยู่เสมอว่าอย่าเผลอใจให้สิงห์อีก มันจะไม่มีการสารภาพรักครั้งที่สี่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน สิงห์เขาไม่รักผม ไม่มีวันรัก ผมไม่ควรเสียเวลาให้เขาอีกแล้ว
ความสัมพันธ์ของเรามันไปได้ไกลที่สุดคงอยู่ในกรอบของคำว่าเพื่อนเท่านั้นแหละมั้งครับ
“ขอโทษ”
ผมตกใจจนเท้าชะงัก แข้งขาแข็งจนเดินไม่ออก เมื่อกี้สิงห์พูดว่าอะไรนะ?
“ว่าไงนะ?”
“ไม่พูดซ้ำแล้ว”
เมื่อครู่เขาพูดเบามากแต่ผมก็ได้ยิน ถึงจะไม่ชัดก็ตาม ตอนนี้ร่างกายผมเหมือนฟองสบู่โง่ ๆ ที่ล่องลอยตามเขาไปอย่างไร้ความคิด ความตกใจจากสิ่งที่เขาพูดทำให้ผมจิตใจไม่สงบ คำขอโทษแรกในรอบสิบกว่าปีที่รู้จักกันมา มันคือครั้งแรกที่ผมได้ยิน
มารู้ตัวอีกทีผมก็พาตัวเองมานั่งที่โต๊ะอาหารตรงข้ามกับเขา เบื้องหน้ามีอาหารของโปรดทั้งของผมและเขาวางเรียงกันอยู่มากมาย น่าตกใจกว่านั้นตรงที่สิงห์ตักอาหารใส่จานให้ผมด้วย ตกใจกว่าการตักอาหารคือสิงห์ยิ้ม เขายิ้มกว้างจนเห็นเขี้ยวสวยของเขา...
“อย่าทำตัวแปลก ๆ ได้ไหม โซ่กลัวนะ”
“แปลกยังไง?”
“ตรงไหนที่ปกติต่างหาก เมื่อก่อนสิงห์ไม่เคย...”
“นั่นเมื่อก่อนไงโซ่ จำสิงห์ที่เป็นสิงห์ปัจจุบันไม่ได้เหรอ?”
“ก็ไม่ใช่ไม่ได้หรอก แต่โซ่จำสิงห์คนเดิมมาสิบปี มาเทียบกับสิงห์ตอนนี้บางทีมันเหมือนคนละคน”
เขาไม่ตอบอะไรกลับมา ได้แต่พยักหน้าและตักอาหารใส่จานให้ผมต่อเท่านั้น ทิ้งความเงียบบนโต๊ะอาหารให้ผมคิดฟุ้งซ่านไปสารพัดกระทั่งทานอาหารจนอิ่ม สิงห์พาผมขึ้นไปยังชั้นบนของบ้านทันที เขาให้ผมนอนห้องติดกับเขา ให้แม่บ้านจัดเตรียมสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายไว้ให้ผม
แต่...ผมไม่ได้อยากค้างที่นี่ ผมมีบ้านที่กรุงเทพฯ เหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องอยู่กับเขาที่นี่สักหน่อย ทว่าพอจะท้วงติงไปกลับคิดได้ว่าเขามีอะไรจะคุยกับผมนี่นา คงไม่พ้นเรื่องซื้อขายที่ดิน จะว่าไปพูดเรื่องนี้ก็ดีเหมือนกันนะ ผมจะยืนยันอีกครั้งว่าผมไม่ขายที่ให้เขาไปทำสนามกอล์ฟแน่นอน
“มาทำธุระอะไรที่กรุงเทพฯ เหรอ?”
“ก็มาหาทำเลทำร้านอาหาร”
“โซ่อยากเปิดร้านอาหารแบบไหน?”
“พวกร้านอาหารเพื่อสุขภาพ แบบที่สามารถใช้ของจากไร่ได้ทั้งหมด”
“ทำไมมาเปิดไกล ไม่ลองเปิดจังหวัดใกล้ ๆ ก่อนล่ะจะได้ไม่ลำบากเรื่องการขนส่ง”
“ในเชียงใหม่มีหลายสาขาแล้ว จังหวัดใกล้เคียงก็มีแล้ว อยากมาลงที่กรุงเทพฯ บ้าง”
ผมรู้สึกประหม่าเมื่อสิงห์ทิ้งตัวนั่งลงบนขอบเตียงซึ่งไม่ห่างจากผมมากนัก ไม่ใช่ความรู้สึกกลัวหรอกนะครับ รู้ว่าสิงห์ไม่ได้พิศสวาสอะไรผมกับเรื่องอย่างว่า เมื่อก่อนเราอยู่ด้วยกันแบบนี้ออกจะบ่อย แต่พอไม่เจอกันมาสองปีมันมีความห่างเข้ามาแทนที่ครับ ผมไม่ชินเลยที่สิงห์ทำตัวสบาย ๆ กับผมเหมือนเมื่อก่อนได้ขนาดนี้
จะว่าอย่างไรดีนะ เขาทำตัวเหมือนเดิมทั้งที่ระหว่างเรามันไม่มีอะไรเหมือนเดิมแล้วน่ะ
“เดี๋ยวจัดการให้นะเรื่องร้าน พรุ่งนี้ได้เรื่องแน่นอน”
“ไม่ต้อง ๆ โซ่จัดการเองสิงห์ไม่ต้องยุ่งหรอก มันงานโซ่”
“อย่าดื้อ”
แล้วเราก็นั่งเถียงกันต่ออีกพักใหญ่ สิงห์ไม่รามือที่จะเข้ามาจัดแจงงานของผมเลย เซ้าซี้แต่จะถามรายละเอียดความต้องการที่ผมอยากจะได้ อยากได้กลุ่มลูกค้าแบบไหน ที่ไร่มีอะไรบ้าง เขาจู้จี้ถามมากจนผมชักหงุดหงิด
“โซ่ทำทุกอย่างเองได้ เคยทำมาหมดแล้วร้านพวกนี้น่ะ ไม่ต้องห่วงหรอก”
“เรื่องธุรกิจโซ่จะเก่งไปกว่าสิงห์ได้ยังไง”
“แต่ก็ไม่เคยทำร้านเจ๊งสักร้านนะ โซ่ก็เก่งพอตัวแหละ”
“เฮ้อ ดื้อมาก โตแล้วดื้อขึ้นมาก โซ่เถียงเก่งมาก โซ่คนที่ยอมสิงห์ทุกอย่างหายไปไหนแล้ว”
“สิงห์ทำให้โซ่คนเก่าเจ็บจนตายไปแล้วไง ลืมเหรอ?”
เขาเงียบไป ผมเองก็เงียบเช่นกัน พอได้วนมาพูดเรื่องเก่าแล้วมักจะควบคุมวาจาตัวเองไม่ค่อยได้ทุกที ในหัวมันนึกถึงเรื่องเศร้ามาก่อนเรื่องดีจึงส่งผลให้ผมพูดประชดประชันออกไปบ่อยครั้ง
“ขอโทษ”
เป็นอีกครั้งที่ผมได้ยินคำนี้ ครั้งนี้มันชัดเจนขึ้น เสียงดังและหนักแน่นมากขึ้น ผมทำตัวไม่ถูกเลยนะ ไม่กล้าสบตาเขาเลย ได้แต่นั่งก้มหน้ามองพื้นเท่านั้น
คำต้องห้ามของสิงห์ที่ผมไม่เคยได้ยิน วันนี้เขาพูดออกมาสองครั้งแล้ว มันทั้งน่าตกใจทั้งน่าใจหายอย่างบอกไม่ถูก เขาขอโทษผมเรื่องอะไรนะ เรื่องเก่า ๆ งั้นเหรอ เรื่องที่รักผมไม่ได้ใช่ไหม แล้วมันเป็นความผิดของเขาจริงเหรอในเมื่อคนไม่รักก็คือไม่รัก มาขอโทษที่รักผมไม่ได้หรือยังไง นึกแล้วเศร้าจังเลยนะครับ
สิงห์โน้มตัวลงมานอนตักผม ทำเอาผมสะดุ้งเฮือก ความคิดฟุ้งซ่านกระจายไปไกลกว่าเดิมเมื่อเขาเข้ามาใกล้ชิดขนาดนี้
“อย่าทำแบบนี้สิงห์ มันไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว”
“วันนี้สิงห์เหนื่อยมากเลยโซ่ ขอนอนตักหน่อยไม่ได้เหรอ?”
“ทำงานจนไม่ค่อยได้พักผ่อนอีกแล้วใช่ไหม?”
“อืม ลูบหัวสิงห์หน่อย”
ร่างกายผมมันไม่มีท่าทีปฏิเสธเลย ปล่อยให้เขานอนตักแถมลูบผมเขาอย่างที่เขาชอบอีก ไม่ได้ใจอ่อนอะไรหรอกนะครับแต่ผมรู้ว่าสิงห์น่ะเขาใช้ชีวิตตึงแค่ไหน เขาทำงานหนักมาตั้งแต่เด็ก ต่อหน้าคนอื่นสิงห์ไม่เคยแสดงความอ่อนแอให้เห็น แต่ผมจะได้เห็นมุมที่เขาเป็นตัวเองแบบนี้ตลอดเมื่อเราอยู่ด้วยกันสองคน
“เพื่อนกันเขาไม่อ้อนกันแบบนี้นะสิงห์”
ผมพูดออกไปเพื่อให้เราทั้งคู่พึงระลึกถึงระยะห่างที่ควรจะเป็น
“คืนนี้โซ่ชงโกโก้ร้อนให้สิงห์หน่อยนะ เดี๋ยวสิงห์จะเอาเทียนหอมกลิ่นที่โซ่ชอบมาจุดให้หลังโซ่อาบน้ำเสร็จ”
“หืม? มีด้วยเหรอเทียนที่ว่า สิงห์ไม่ชอบนี่”
“มี ซื้อมาไว้ตลอด”
ผมว่ามันมีมวลบางอย่างระหว่างเราที่มันแปลกไป สัมผัสได้ผ่านแววตา น้ำเสียง และการกระทำของสิงห์ ตัวผมไม่กล้าคิดเข้าข้างตัวเองหรอกนะครับ บางทีวันนี้เขาแค่เหนื่อยจากงานเลยอ่อนไหวเป็นพิเศษก็เท่านั้น
อีกอย่างวันนี้ผมมองสิงห์ผิดไปอีกเรื่องหนึ่งแล้วล่ะ เขาไม่พูดถึงเรื่องการซื้อขายที่ดินออกมาเลยสักคำ ทั้งที่ผมตั้งใจจะหาคำตอบดี ๆ มาชี้แจงกับเขามากมายถึงเหตุผลที่ผมไม่อยากเสียที่ผืนนั้นให้เป็นสนามกอล์ฟของเขา นอกจากจะไม่ได้ตอบคำถามที่คิดไว้ยังต้องมารู้สึกประหม่ากับเขาอยู่ตลอดเวลา
สิงห์ที่ผมเห็นอยู่ตอนนี้แตกต่างจากสิงห์คนก่อนเหมือนกันนะครับ เขาดูใจดีกับผมมากขึ้นจนผมรู้สึกไม่คุ้นชินเลย
End Talk’s