INTRO

3192 Words
INTRO หลังการจากไปของบิดาผู้เป็นประธานบริษัทและหุ้นส่วนหลากหลายธุรกิจ ทำให้ ‘สิงห์’ ถูกเรียกตัวกลับมาจากต่างประเทศอย่างกะทันหันเพื่อดำเนินการไปตามพินัยกรรมที่ผู้เป็นพ่อเขียนเอาไว้ ชายหนุ่มนั่งกุมมือไว้ใต้คางอยู่ที่หัวโต๊ะประชุมใหญ่ที่มีญาติมิตรทั้งหลายมาฟังพินัยกรรมอย่างพร้อมเพรียง                เขารู้อยู่แก่ใจว่าเกินครึ่งของคนที่นั่งอยู่ตรงนี้ล้วนอยากจะมีสิทธิมานั่งเก้าอี้ประธานจนตัวสั่น แต่น่าเสียดายที่เขารู้ล่วงหน้าอยู่แล้วว่าพินัยกรรมของพ่อนั้นจะมอบตำแหน่งประธานให้แค่เขาและน้องชาย ซึ่งเป็นบุตรแท้ ๆ เท่านั้น ส่วนธุรกิจปลายแถวในส่วนที่ญาติเคยดูแลก็คงปล่อยให้ดูแลไปเท่านั้น ไม่มีสิทธิได้รับการจัดแบ่งเพิ่มเติมอะไร                “ในพินัยกรรมของคุณสุทธิศักดิ์มีใจความดังนี้...”                ทนายประจำตระกูลเริ่มอ่านพินัยกรรมอย่างชัดถ้อยชัดคำ นั่นเป็นเวลาที่สิงห์จะได้สังเกตสีหน้าของแต่ละคนว่าเป็นอย่างไร มันมองออกได้ชัดเลยว่าใครไม่พอใจ ใครต้องการเพิ่มเติมจากที่มี เขารู้ว่าเก้าอี้ประธานตัวนี้มันเริ่มสั่นคลอนและพร้อมจะมีคนแย่งชิงไปจากเขาได้ทุกขณะ                อำนาจของผู้เป็นพ่อมันหอมหวานจนทุกคนอยากเข้ามาลิ้มลอง มาเฟียผู้เป็นเจ้าของทั้งธุรกิจมืดและธุรกิจที่ขาวสะอาดแทบจะทุกแขนงไม่มีใครไม่รู้จัก วันนี้เขาได้จากไปแล้ว ไม่ว่าใครก็จับตามองว่าใครจะได้ขึ้นมาแทน ใครจะดูแลธุรกิจแทนได้ หลายคนในห้องประชุมนี้คงมีเครือข่ายคอยสนับสนุนตัวเองหมดแล้วเพราะคิดว่าตัวเองมีสิทธิจะได้ขึ้นเป็นประธานแทน                แต่ลืมไปอย่างหนึ่งหรือเปล่า ว่าลูกไม้มันหล่นไม่ไกลต้นหรอก                “แกเนี่ยนะไอ้สิงห์จะเป็นประธาน? แกอายุแค่นี้เอง จะมีปัญญาทำอะไรแทนพ่อแกได้ อาไม่เคยเห็นแกช่วยพ่อทำงานเลยสักครั้ง ไปอยู่ต่างประเทศตั้งกี่ปี งานที่นี่ไม่เคยแตะ แบบนี้แกจะรับหน้าที่นี้ได้ยังไง? เหอะ”                “ผมไม่ใช่เด็กแล้ว อายุยี่สิบห้าอาจมีประสบการณ์ไม่เท่าทุกคน แต่ใช่ว่าผมไม่เคยทำงานให้พ่อ ถ้าผมไม่มีความสามารถพอคิดว่าพ่อจะยกทุกอย่างให้เหรอครับ? อาดูถูกพ่อเกินไปหรือเปล่า พ่อจากไปไม่ถึงเดือน ดูอาจะร้อนรนอยากจะขึ้นมาแทนที่มากกว่าที่ผมคิดไว้อีกนะครับ”                “แล้วแกทำอะไรได้ไอ้สิงห์! แกจะมาเทียบอะไรอาได้ งานพ่อแกมันใหญ่ ๆ ทั้งนั้น มาเฟียคนหนึ่งไม่อยู่ก็ต้องให้คนมีอำนาจรองลงมาเข้าไปคุมแทนสิ แกมีพรรคพวกเหรอ มีอะไรจะไปคุมคนได้ขนาดนั้น ไหนจะเรื่องการลงทุนหุ้นส่วนอีก แกมีความรู้ตรงนี้เท่าอาเหรอ?”                เมื่อคุณอาแท้ ๆ ของเขาเริ่มบันดาลโทสะคัดค้านพินัยกรรม คนอื่นเองก็เริ่มเห็นพ้องไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งเป็นอย่างที่สิงห์คิดแต่แรกอยู่แล้ว สิงห์เหลือบตาไปมองน้องชายที่นั่งกำหมัดแน่น มองภาพคนตรงหน้ากำลังลุกขึ้นประท้วงและยืนหยัดจะต่อต้านสิงห์                “ไม่เป็นไร ใจเย็น ๆ”                เขาหันไปบอกน้องชายด้วยท่าทีเรียบนิ่ง น้ำเสียงทุ้มฟังดูอารมณ์ดีต่างกับสถานการณ์ตอนนี้อย่างสิ้นเชิง                “ดิฉันว่าพินัยกรรมควรพิจารณาใหม่นะคะคุณทนาย แบบนี้จะส่งผลเสียให้หลายธุรกิจ ภาพลักษณ์ของเราเสียหมดที่เอาเด็กไม่เป็นงานมาเป็นประธานเลย ถึงจะเป็นลูกชายแท้ ๆ ก็เถอะ”                “มีใครจะแย้งอีกไหมครับ ผมจะได้พูดทีเดียว”                ทันทีที่สิงห์พูดประโยคนี้จบ พายุอีกระลอกก็โหมกระหน่ำเข้ามาเมื่อทุกคนแย่งกันพูดความคิดของตัวเองจนเสียงตีกันและจับใจความแทบไม่ได้                “แกเลิกวางท่ากร่างได้แล้วไอ้สิงห์ ไอ้เสือ เด็กยังเรียนไม่จบอย่างพวกแกจะทำอะไรได้ ฉันไม่ฝากอนาคตไว้ที่พวกแกแน่ ๆ”                “งั้นผมขอสรุปเลยแล้วกันนะครับว่าทุกคนไม่มีใครพร้อมที่จะสนับสนุนผมกับน้องเลย ถูกไหม?”                คำตอบที่ตายตัวจากการกระทำและสายตาว่าทุกคนพร้อมจะยืนอยู่ตรงข้ามกับเขา นั่นทำให้เขาหัวเราะออกมาพลางกระดิกนิ้วเรียกบอดี้การ์ดคนสนิท เป็นสัญญาณสั่งการบางอย่างที่เตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว                วิดีโอที่ถูกบันทึกไว้ได้เปิดขึ้นที่จอด้านหน้า สิงห์เองก็เลื่อนเก้าอี้มาอยู่อีกฝั่งหนึ่งเพื่อให้ทุกคนได้เห็นวิดีโอนี้อย่างชัดเจน                มันคือวิดีโอของพ่อพวกเขาที่บันทึกไว้ตอนรู้ว่าตัวเองป่วยเป็นมะเร็งระยะแรก จึงเตรียมการทุกอย่างไว้ให้ลูกสองคนตั้งแต่ตอนนั้น เนื้อหาที่พูดนั้นฟังดูทั้งใจเย็นและทรงอำนาจจนทำให้คนที่นั่งดูอยู่ตรงนี้ไม่มีใครกล้าส่งเสียงออกมาสักคนเดียว                ‘สิงห์กับเสือถูกฝึกแบบมาเฟียมาตั้งแต่เด็ก ทำงานกับผมแทบทุกอย่าง เขารู้ เขามีความสามารถเพียงแต่ขาดประสบการณ์ไปบ้างเท่านั้น หลังจากนี้พวกเขาจะรับการฝึกบริหารและจัดการธุรกิจอย่างหนัก ผมจะสอนเขาทุกอย่าง คนของผมจะปกป้องพวกเขาจากอันตรายเอง หมากทุกตัวที่ผมวางไว้เชื่อเถอะว่าไม่พลาดหรอก สิงห์เหมือนผมมากเพียงแต่พวกคุณคงไม่เปิดใจมองเขามากกว่า’                ‘หากวิดีโอนี้ถูกเปิดขึ้นนั่นหมายความว่าพวกคุณอยู่ตรงข้ามกับเขา ผมคิดไว้แล้วและผมไม่ยอมให้ลูกผมล้มแน่นอน หากไม่พอใจที่จะดูแลธุรกิจของตัวเอง หากยังอยากได้สิ่งที่มันเป็นของผมอยู่ละก็ คุณสามารถถอนหุ้นทั้งหมดออกไปได้เลย ผมไม่ได้ง้อ เพราะผมใช้ชื่อลูกชายทั้งสองคนกว้านซื้อหุ้นไว้บ้างแล้ว หากไม่มีพวกคุณ เขาสองคนจะซื้อหุ้นต่อคุณเอง นี่คือทางเลือกที่หนึ่งที่ผมหยิบยื่นให้’                ‘หรือทางเลือกที่สองที่มันคงดีสำหรับทุกคน นั่นคือพวกคุณคอยสนับสนุนพวกเขา สนับสนุนในที่นี้ไม่ใช่เสียเวลามาสอนงานอะไร แค่ไม่ต่อต้านหรือลอบแทงข้างหลังเขาก็พอ คุณควรพอใจในสิ่งที่พวกคุณมีอยู่ตอนนี้เถอะ พ่อของพวกเราแบ่งไว้อย่างเท่าเทียมแล้ว เพียงแต่ผมทำธุรกิจเติบโตแบบก้าวกระโดดมากกว่าพวกคุณเท่านั้นเอง คุณไม่ได้มาช่วยอะไรผมสักหน่อยยังจะหวังอะไรจากผมอีก ผมส่งต่อทุกอย่างให้ลูกชายของผมอย่างชอบธรรม หากใครค้าน สามารถสิ้นสุดมิตรภาพกันได้ตั้งแต่ตอนนี้’                ‘อ้อ แล้วถ้าใครคิดจะทำร้ายพวกเขา ไม่ว่าจะกลั่นแกล้งทางธุรกิจหรือหมายเอาชีวิตลูกชายผม ลูกผมเหมือนผม และเขาฉลาดกว่าที่พวกคุณคิดมาก เขาไม่ยอมตายด้วยเงื้อมมือพวกคุณแน่ เขาเลือดเย็นกว่าที่คุณคิด ถ้าเขารู้ว่าใครจะทำอันตรายให้ตัวเขา แน่นอนว่าเขาไม่เอาไว้หรอก คนที่ตายย่อมเป็นคุณ!’                วิดีโอดังกล่าวจบลงเท่านี้ สีหน้าซีดเผือดของทุกคนมองว่าที่ประธานที่นั่งยกยิ้มมุมปากอย่างยำเกรง เพียงชั่วอึดใจ เอกสารปึกหนึ่งขนาดไม่หนาไม่บางก็ถูกแจกจ่ายให้ทุกคนในที่ประชุม                เนื้อหาในเอกสารล้วนเป็นงานที่สิงห์กับเสือลงมือช่วยพ่อของเขาทำมาตลอด แต่ไม่มีใครรู้ว่าเขาสองคนพี่น้องได้เรียนรู้การทำงานมามากมายแค่ไหน พ่อของเขาคิดแผนการนี้มาหมดแล้ว เฝ้ามองดูความสามารถของทั้งคู่รวมถึงสร้างอำนาจให้ทั้งสองคนอยู่เงียบ ๆ                “นี่แกทำงานพวกนี้ให้พ่อแกจริงเหรอ? ทั้งหมดเนี่ยนะ? เมื่อไหร่กัน ทำไมอาไม่รู้”                “ถ้าอารู้แต่แรก อาคงขัดขาผมกับน้องตั้งแต่เด็กและผมคงไม่มีอำนาจเทียบเท่าพ่ออย่างตอนนี้หรอก”                “แกปิดเงียบตั้งแต่อายุสิบสามได้ยังไง พวกแกทำงานในบ่อนพ่อแกตั้งแต่เด็กเนี่ยนะ”                “แปลกไหมล่ะครับที่อาไม่เคยรู้ เพราะอำนาจที่อามีมันเทียบกับพ่อผมไม่ได้เลยยังไงล่ะครับ เพียงแค่พ่อผมต้องการปกปิด อาก็สอดมือเข้ามารับรู้อะไรไม่ได้เลย หึ ผมขอยืนยันตามที่พ่อบอกนะ ถ้าไม่พอใจจะอยู่ตรงนี้ ถอนหุ้นออกไปกันได้เลย ส่วนวันนี้ปิดประชุมครับ”                เป็นการปิดประชุมที่ไม่มีใครสนใจเลย ทุกคนตกตะลึงกับผลงานพวกเขาจนไม่มีใครเงยหน้ามามองว่าขณะนี้สิงห์กับเสือเดินออกจากห้องประชุมไปพร้อมกับบอดี้การ์ดนับสิบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว                ชายหนุ่มร่างสูงเพรียวสองคนเดินคู่กันเข้าไปยังห้องทำงานของพ่อ ที่ตอนนี้คงเป็นของสิงห์โดยสมบูรณ์แล้ว                “ผมโกรธว่ะพี่สิงห์ พ่อตายไปไม่กี่วันดูปลิงพวกนั้นดิ จ้องแต่จะช่วงชิงสมบัติเรา”                “ไอ้เสือ มึงต้องใจเย็นกว่านี้ คุยกับคนพวกนั้นต้องมีสติ เมื่อไหร่ที่ขาดสติเขาจะหาทางมาเอาชนะเราได้”                สิงห์มองน้องชายตัวเองที่อยู่ในชุดนักศึกษา มาประชุมวันนี้ก็โดดเรียนครึ่งวันเพื่อมารับฟังพินัยกรรมและเพื่ออยู่เคียงข้างพี่ชาย                “พี่จะกลับบ้านกับผมไหม?”                “กูจะอยู่บ้านใหญ่ มีงานหลายอย่างที่พ่อทิ้งไว้ให้ทำ”                “แล้วเรื่องเรียนพี่ล่ะ? ไม่กลับไปเรียนแล้วหรือไง?”                “มีเวลาให้คิดเรื่องนั้นที่ไหน เวลาให้เสียใจเรื่องพ่อยังไม่มีกันเลย”                จริงอย่างที่สิงห์พูด ทั้งสองคนถูกผู้เป็นพ่อปูทางมาทุกก้าวของชีวิต พ่อบอกพวกเขาเอาไว้แล้วว่าไม่ต้องเสียใจ การเกิด แก่ เจ็บ ตายที่แท้แล้วมันคือเรื่องธรรมชาติที่มนุษย์ต้องเผชิญ ตั้งแต่ตรวจเจอมะเร็งระยะแรกพ่อของเขาก็เตรียมงานให้ลูกชายทั้งสองทำมากมาย                สองพี่น้องก้มหน้าก้มตาทำงานที่ได้รับมอบหมายอย่างหนัก สิงห์ต้องคุมคนและสั่งงานจากต่างประเทศ รวมถึงวางแผนขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศด้วย ส่วนเสือที่เพิ่งเข้ามหาวิทยาลัยก็ได้เข้าไปทำงานองค์กรวิทยาศาสตร์แห่งหนึ่งซึ่งเป็นสถาบันวิจัยลับที่ของพ่อ                วินาทีสุดท้ายก่อนที่พ่อจะจากไป พวกเขายังคงทำงานเหล่านั้นไม่หยุดหย่อน อาจเพราะไม่คิดว่าพ่อของเขาจะด่วนจากไปเร็วขนาดนี้ เพิ่งรู้หลังจากที่ท่านเสียว่าร่างกายมีโรคแทรกซ้อนอีกหลายอย่างแต่พ่อของเขาไม่ได้บอกใครเลย คำพูดสุดท้ายที่พ่อคุยกับหมอก็ยังกำชับให้หมอบอกลูกชายว่าเขายังไหว ไม่ต้องเป็นห่วง ให้ทำงานต่อไปจนเสร็จ                ตอนนี้งานค้างคาอยู่อีกมาก ไม่มีเวลามานั่งเสียใจเลยสักวินาทีเดียว พวกเขาได้เพียงมองหน้ากันและหลบตาเพื่อเก็บซ่อนความเสียใจเอาไว้ให้ลึกที่สุด จากนั้นก็แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ต่อ                เสือออกไปพร้อมกับบอดี้การ์ดประจำตัว ตรงดิ่งไปทำงานที่องค์กรวิจัยฯ ส่วนสิงห์ทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟา คว้าแฟ้มเอกสารงานที่ค้างขึ้นมาดู สามแฟ้มที่กองอยู่ตรงหน้ามีกระดาษโน้ตเล็ก ๆ เขียนแปะเอาไว้                ‘โครงการเปิดบ่อนคาสิโนแห่งใหม่’                ‘โครงการบ้านจัดสรรสาขาใหม่’                ‘โครงการสร้างสนามกอล์ฟ’                สิงห์กวาดตามองอย่างช้า ๆ ราวกับกำลังชั่งใจคิดว่าเขาควรหยิบยกโครงการไหนขึ้นมาทำก่อนดี พ่อของเขาวางแผนไว้ให้หมดแล้ว ในอีกห้าปีข้างหน้านี้เขาก็ยังทำงานทั้งหมดไม่เสร็จอย่างแน่นอน ยังมีอีกหลายโครงการที่เขายังไม่ได้เปิดแฟ้มดูเลยด้วยซ้ำ ไหนจะโครงการใหม่ ไหนจะปรับปรุงสิ่งที่มีอยู่ ระบบตรงไหนมีปัญหาก็ต้องเข้าไปแก้ไข                ทุกอย่างมันใช้เวลาเสียหมด ไม่มีสิ่งใดที่ลั่นวาจาสั่งออกไปคำเดียวแล้วมันจะสำเร็จได้อย่างใจหวัง แต่ในใจของสิงห์ตอนนี้เขาอยากประสบความสำเร็จจะแย่แล้ว อยากให้ทุกคนเห็นว่าเขาทำได้จริง ๆ                ที่ผ่านมาสิงห์ช่วยพ่อทำไปหลายอย่างมาก เขาค่อย ๆ เติบโตไปกับการบริหารธุรกิจทั้งด้านมืดและขาวสะอาด แต่นั่นมันอยู่ภายใต้ปีกผู้เป็นพ่อ ทำผิดก็โดนตำหนิและเรียนรู้ในสิ่งที่ถูก หากทำสำเร็จก็ได้รับคำชมและค่าตอบแทนมากมาย                ทว่าตอนนี้ล่ะ? ตอนนี้เขาจะได้รับอะไรบ้างนอกจากความกดดันจากทุกฝ่ายที่พร้อมจะขย้ำเขาให้จมดินเมื่อเขาทำพลาด                “คุณเฟย”                “ครับ นายใหญ่”                เขาหันไปเรียกหาเลขาฯ ส่วนตัวของพ่อ ที่ตอนนี้กลายเป็นคนของเขาแล้ว                “สามโครงการนี้มีโครงการไหนติดปัญหาที่สุดไหม ผมจะแก้ปัญหาให้โครงการนั้นก่อน”                “คงจะเป็นสนามกอล์ฟครับนาย เราเสนอราคาไปให้เจ้าของที่ดินในราคาสูงมาก แต่เขาไม่ยอมขาย”                “ที่ไหน”                สิงห์เอนหลังกับพนักเก้าอี้ หันหน้ามองเลขาฯ รายงานอย่างสนใจ ที่ผ่านมางานที่เขาทำสำเร็จมากที่สุดคือการเจรจานี่แหละ                “เชียงใหม่ครับ เจ้าของคนนี้มีที่ดินน่าสนใจหลายผืนมาก ที่ภาคใต้ก็มีครับ ที่จริงไม่ว่าจะได้ที่ผืนไหนมาทำสนามกอล์ฟก็เหมาะเพราะทำเลดีมาก อากาศดีด้วยครับ”                “พ่อผมอยากได้ที่ไหนล่ะ ผมจะซื้อตามโครงการที่พ่อวางไว้นั่นแหละ”                “เชียงใหม่ครับ แต่นายใหญ่ เอ่อ คุณสุทธิศักดิ์เองก็เจรจาไม่สำเร็จครับ โครงการนี้เลยถูกปัดตกมาหลายปี”                “เอาข้อมูลที่ดินมาให้ผม ผมจัดการเอง”                ความมั่นใจของสิงห์ตอนนี้คงจะเกินร้อย ปากหยักยกยิ้มขึ้นพร้อมกับวางแผนเจรจาไว้ในหัวเป็นฉาก ๆ และไม่นานแฟ้มเอกสารเกี่ยวกับที่ดินผืนนี้ก็ถูกกางออกและวางอยู่ตรงหน้าเขา สิงห์กวาดตาดูข้อมูลสำคัญก่อนเป็นอันดับแรกในส่วนของขนาดพื้นที่ จากนั้นก็ดูรูปภาพมุมสูง และทำเลรอบนอก                “ตอนนี้เป็นสวนผลไม้ครับ ที่สามร้อยไร่ตรงนี้เจ้าของทำเป็นสวนผลไม้ทั้งหมด และมีที่ดินอีกผืนอยู่ข้างกันจำนวนหนึ่งร้อยไร่เป็นของญาติ ถ้ากว้านซื้อแถบนี้ได้ทั้งหมดคงจะดีมากเลยครับ”                “โง่หรือเปล่า ลำพังทำแค่สวนผลไม้รายได้จะสู้ขายขาดแล้วได้เงินใช้ไปตลอดชีวิตได้ยังไง นี่พ่อผมให้เขาน้อยไปเหรอ? เสนอราคาไปเท่าไหร่ล่ะ?”                “ห้าพันล้านบาทครับ แต่เขาไม่ขาย”                สิงห์หันไปมองหน้าเลขาฯ อย่างไม่อยากเชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน                “ว่าไงนะ ห้าพันล้าน? บ้าไปแล้ว ทำไมพ่อให้เขาเยอะขนาดนั้น พ่อคิดอะไรอยู่กันแน่”                “ขนาดว่าเสนอไปสูงแล้วเขายังไม่ตกลงเลยครับ”                “เขาจะเอาเท่าไหร่ มากกว่านี้ผมไม่อนุมัติแน่นอน เขายืดเยื้อเพื่อจะดึงราคาใช่ไหม?”                “เปล่าครับนายใหญ่ เขาไม่ขายครับ กี่บาทเขาก็ไม่ขาย”                กำปั้นใหญ่ทุบลงบนโต๊ะทีหนึ่งเพื่อระบายอารมณ์หงุดหงิด ภายในห้องเงียบสนิทไม่มีใครกล้าส่งเสียงใดออกมา สิงห์กวาดสายตาอ่านรายละเอียดที่ดินพร้อมกับรังสีอำมหิตกระจายอยู่รอบตัว เขารีบเปิดหาชื่อเจ้าของในชั่วอึดใจต่อมา                ข้อมูลบนเอกสารก็มีรายละเอียดครบถ้วน ทั้งชื่อเจ้าของที่ดินและรูปถ่าย...                วินาทีที่สิงห์ได้รับรู้ว่าเจ้าของที่ดินผืนนี้เป็นใคร จู่ ๆ ร่างกายที่เกร็งเครียดกลับอ่อนแรงยวบ เขาจับจ้องรูปภาพนั้นที่มีใบหน้าหวานประดับรอยยิ้มด้วยความรู้สึกสับสน พลางกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคออย่างยากลำบาก                ‘โซ่...’                ชื่อหนึ่งดังกังวานอยู่ในหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า เป็นชื่อที่เขาไม่ได้เรียกมาหลายปีแล้ว ทำไมถึงเป็นเขา ทำไมโลกมันถึงได้กลมขนาดนี้                มือที่เมื่อครู่กำกำปั้นทุบโต๊ะตอนนี้อ่อนแรงราวกับขี้ผึ้งลนไฟ นิ้วเรียวเอื้อมไปเกลี่ยใบหน้าหวานผ่านรูปภาพอย่างแผ่วเบา ทว่านั่นก็เป็นเพียงอารมณ์วูบไหวเพียงชั่วครู่เท่านั้น เมื่อสิงห์ดึงสติกลับมาได้ก็กลับมานั่งตัวตรง ดวงตาที่อ่อนโยนแปรเปลี่ยนเป็นดุดันเฉกเช่นเดิม                “เรื่องที่ผืนนี้ ผมจัดการเอง”                “ให้ผมเตรียมการอะไร นายใหญ่สั่งมาได้เลยครับ”                เลขาฯ ทำหน้าที่อย่างขะมักเขม้น หยิบปากกาจากกระเป๋าเสื้อมาเตรียมจดคำสั่งของเจ้านาย แต่แล้ว...                “ไม่เป็นไร ผม...จะไปคุยกับเขาเอง คุณเฟยช่วยผมดูแลงานอื่นแล้วกัน”                “เอ่อ ให้ผมช่วยดีกว่าครับ เผื่อมีปัญหาอะไรผมจะได้ช่วยเหลือได้”                  “ผมจะไปที่นั่นให้เร็วที่สุด วันนี้เลยยิ่งดี เอาบอดี้การ์ดติดตัวไปแค่สองคนก็พอ คุณจัดการแค่นี้แหละเดี๋ยวที่เหลือผมจัดการเอง”                “ได้ครับ แล้วนายใหญ่จะกลับวันไหนครับ”                ใบหน้าคมนิ่งไปชั่วขณะ หัวคิ้วชนกันบ่งบอกว่ากำลังคิดหนัก                “ไม่มีกำหนด ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเขา”                ไม่ว่าเปล่า หลังพูดจบสิงห์เอาแต่จับจ้องรูปภาพของบุคคลที่ต้องการจะไปหาอย่างไม่วางตา หากบอดี้การ์ดภายในห้องหรือเลขาฯ มีไหวพริบดีพอก็จะเห็นว่าแววตาของสิงห์อ่อนแสงลงมากเมื่อมองรูปดังกล่าว                “คุณสิงห์รู้จักเขาเหรอครับ? ให้ผมติดต่อเขาล่วงหน้าไหม บอกเขาก่อนว่าคุณจะไป”                “ไม่ต้องหรอก”                เขาเลือกตอบคำถามหลัง แต่ไม่ตอบคำถามแรกว่ารู้จักกันไหม สิงห์เลี่ยงที่จะตอบคำถามเพิ่มเติมโดยการลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องนี้ไป เสียงทุ้มออกคำสั่งไม่กี่คำว่าจะกลับบ้าน ทุกคนก็เดินตามออกมาโดยไม่มีใครตั้งคำถามอะไรให้กวนใจอีก                ทว่าขณะที่สองเท้าทิ้งน้ำหนักเดินอย่างมั่นคง ในหัวกลับปล่อยความคิดลอยละล่องดุจฟองอากาศ จินตนาการมากมายพรั่งพรูออกมาว่าเขาเจอโซ่อีกครั้งจะเป็นอย่างไร สีหน้าเหยียดยิ้มสลับกับบึ้งตึงยิ่งทำให้คนรอบข้างสงสัยในตัวเจ้านายเป็นอย่างมาก                ไม่รู้เลยว่าคิดอะไรอยู่ รู้อย่างเดียวว่าเจ้าของที่ดินผืนนี้มีความสำคัญบางอย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นคงไม่ทำให้นายใหญ่อย่างสิงห์เสียความเป็นตัวเองไปขนาดนี้ ถึงกับก้มหน้ามองพื้นแล้วกลั้นยิ้มเอาไว้ เขาไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน                                
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD