EP.01 เกือบลืมไปแล้ว

4375 Words
EP.01 เกือบลืมไปแล้ว SINGHA Talk’s ผมกำลังเดินทางไปหาคน ๆ หนึ่งเพื่อเจรจาการซื้อขายที่ดินขนาดใหญ่ถึงสามร้อยไร่ น่าตกใจที่เจ้าของดันเป็นคนคุ้นเคยของผมเอง เป็นบุคคลที่ผมก็ไม่รู้ว่าวางสถานะของเขาไว้ตรงไหน ‘โซ่’ คือคนเดียวในโลกที่ผมไม่เคยคิดเลยว่าจะถูกเหวี่ยงให้มาเจอกันอีก ผมก็คงเป็นคนเดียวที่เขาไม่อยากเจอเช่นกัน เรื่องระหว่างผมกับเขามันเต็มไปด้วยความทรงจำที่สุขและเศร้าปนกันไป แต่หนักไปอย่างหลังเสียมากกว่า ถ้าต้องเท้าความจุดเริ่มต้นของเราก็คงจะเป็นตอนมัธยมฯ ต้น เราเรียนโรงเรียนนานาชาติที่เดียวกัน อยู่ห้องเดียวกัน โซ่เป็นคนเดียวที่กล้าเข้ามาวุ่นวายในชีวิตผมหลังจากรู้อยู่แล้วว่าผมเป็นลูกเต้าเหล่าใคร เขาไม่กลัวอำนาจมาเฟียเลยสักนิด กล้าชี้หน้าด่าบอดี้การ์ดของพ่อผมตอนที่เข้ามาบังคับให้ผมรีบกลับบ้าน เพราะมีงานมากมายที่พ่ออยากให้ช่วยทำ ผมไม่มีโอกาสได้เล่นกับใครเลยนอกจากเขา แล้วความสัมพันธ์ของเราก็เปลี่ยนไปเมื่อวันหนึ่งโซ่มาสารภาพรักกับผม แน่นอนว่าผมปฏิเสธประโยคบอกรักนั่นอย่างไม่ไยดี พ่อบอกผมว่าผมจะมีความรักได้หลังจากประสบความสำเร็จในชีวิตแล้วเท่านั้น ผมจึงไม่สนใจเรื่องรักใคร่แบบนั้นเลย แต่รู้อะไรไหม หลังจากโซ่โดนผมปฏิเสธไปเขาก็ยังอยู่กับผม ขนาดขึ้นมัธยมฯ ปลายผมต้องย้ายโรงเรียนไปอีกที่หนึ่งเขาก็ตามมาอยู่ด้วย ผมถามหาเหตุผลจากเขาว่าตามผมมาทำไม เขาบอกผมว่าผมน่ะเข้ากับคนอื่นไม่ได้ ถ้าไม่มีเขา ผมจะไม่มีเพื่อนเลย ตอนนั้นผมไม่เข้าใจในความคิดโซ่มากว่าจะตามติดผมไปทำไม เขามองผมเป็นเพื่อนแต่ผมไม่เคยสนใจเขาเลย แต่ละวันเราแทบไม่คุยกัน แต่โซ่ก็ชอบมาวนเวียนคอยดูแลผมอยู่ข้างกายตลอด เป็นอย่างนั้นจนจบมัธยมฯ ปลาย และก็เป็นอีกครั้งที่โซ่มาสารภาพรักกับผมเป็นครั้งที่สอง ครั้งนี้ต่างไปจากครั้งแรกเล็กน้อยตรงที่ประโยคสารภาพรักของเขามีคำพูดหนึ่งเพิ่มเข้ามาจากการสารภาพรักครั้งแรก ‘โซ่ไม่ได้ขอให้สิงห์รักโซ่นะ รู้คำตอบของสิงห์อยู่แล้วล่ะว่าต้องปฏิเสธ แต่โซ่ก็จะอยู่ข้างสิงห์ไปจนกว่าความเจ็บปวดจะมาแทนที่ความรักที่โซ่มีต่อสิงห์นั่นแหละ พอถึงวันนั้น โซ่จะหายไปจากชีวิตของสิงห์เอง’ ผมจำได้ว่าครั้งนั้นผมไม่ตอบอะไรเขากลับไป ยืนฟังจนเขาพูดจบจากนั้นผมก็เดินไปขึ้นรถเพื่อเดินทางไปทำงานกับพ่อต่อ คิดว่าอีกไม่นานเรื่องของผมกับเขามันคงจบเพราะพ่อจะส่งผมไปเรียนต่อที่อเมริกา ตัวผมคัดค้านอะไรไม่ได้อยู่แล้วจึงยินดีที่จะไป แต่ผมบอกโซ่นะว่าผมจะไปไหน เรียนอะไร วันนั้นเป็นวันที่ผมเริ่มคุยกับเขาก่อนครั้งแรกและบอกลาเขาทันทีที่บอกข้อมูลจบ ความรู้สึกเมื่อตอนหันหลังจากเขามานั้นผมรู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูกเลย ผมกับเขารู้จักกันมาหกปีและมันมากเกินไปหากความสัมพันธ์มันไม่ลงตัวแบบนี้ ผมอึดอัดนะ ผมไม่อยากให้เขาชอบผม ไม่อยากให้คอยเดินตามผมต้อย ๆ คอยดูแลผมทุกอย่าง เขาไม่ใช่คนรับใช้สักหน่อย ควรจะเจอคนที่ดีและมีชีวิตที่ดีกว่านี้ ถ้าผมไม่อยู่ เขาจะได้เป็นอิสระ ถึงผมจะไม่สามารถมอบหัวใจของผมให้เขาได้ แต่ผมก็ใจร้ายที่จะผูกมัดความรู้สึกของเขาไว้กับผมแบบนั้นไม่ลง มันเหมือนการหลอกใช้ หลอกให้รัก ทั้งที่คำตอบมันแน่นอนอยู่แล้วว่าผมไม่ได้ต้องการความรักในรูปแบบนั้นเลยสักนิด ความรู้สึกฉาบฉวยพวกนี้มันไม่สามารถจับต้องได้เหมือนเงินตราที่เป็นเป้าหมายสูงสุดในชีวิตของผมในตอนนั้น ตามที่กล่าวมาเรื่องของผมกับโซ่มันควรจบตั้งแต่ตอนนั้นแล้วใช่ไหม? แต่เปล่าเลย โซ่ตามผมมาเรียนต่อปริญญาตรีที่อเมริกา... ผมเองก็ตกใจมากที่เจอเขายืนชะเง้อมองหาใครบางคนอยู่ที่ใต้ตึกคณะที่ผมเรียน ตอนนั้นยังไม่เปิดภาคเรียนเลย เพิ่งเริ่มคลาสปูพื้นฐานภาษาสำหรับเด็กต่างประเทศได้ไม่กี่วัน ไม่คิดไม่ฝันว่าจะเจอเขาที่นั่น ‘สิงห์ ฮือ โซ่ได้เรียนที่นี่ด้วยนะ เรียนบริหารธุรกิจคณะเดียวกับสิงห์เลย’ ‘ตามมาทำไม?’ ‘ก็คิดอยู่นานว่าจะมาดีไหม แต่อะไรสักอย่างก็ทำให้โซ่ตัดสินใจมา ทำเรื่องกะทันหันไปหน่อยแต่โชคดีที่ยังทันโควตาเข้าเรียน ไม่งั้นไม่ทันเรียนพร้อมสิงห์แน่เลย’ ‘พักที่ไหน?’ ‘หอพักของมหา’ลัยนี่แหละ สิงห์ล่ะ?’ ‘โรงแรมพ่อ’ ‘ว้าว เป็นลูกมาเฟียนี่ดีจริง ๆ อยู่ไหนก็ไม่ลำบาก’ นั่นก็เป็นประโยคทักทายกันอีกครั้ง หลังจากนั้นโซ่ก็ตามมาเช่าโรงแรมเดียวกับผม คอยวนเวียนใช้ชีวิตอยู่ใกล้ตัวผมอย่างกับเงา ช่วงเวลาเกือบห้าปีที่ผมอยู่ที่นั่น ผมมีโซ่อยู่ด้วยทุกวัน อาหารแทบทุกมื้อก็เป็นเขาที่คอยจัดการ เสื้อผ้าของผมทุกชุดโซ่ก็จัดให้ เรียกได้ว่าเป็นคนเดียวที่ผมให้เข้ามาวุ่นวายเพราะผมห้ามอะไรโซ่ไม่ได้เลย เขาดื้อมาก แต่ความสัมพันธ์ของเรามันไม่มีอะไรเกินเลยไปกว่านั้นนะ เหมือนอยู่เป็นเพื่อนกันไปในแต่ละวัน โซ่ช่วยดูแล ช่วยคิดงานไปกับผมแทบจะทุกอย่าง จนผมเข้าใจไปว่าเขาถูกพ่อผมจ้างมาให้คอยช่วยเหลือผมเสียอีก ผมชะล่าใจกับความสัมพันธ์ของเราเข้าจนได้ เป็นความสัมพันธ์ที่คิดสวนทางกันอีกแล้ว ผมเห็นเขาเป็นเพื่อนคู่ใจคนหนึ่งที่ผมไว้ใจเขามากขึ้นแต่โซ่กลับรอคอยให้ผมตอบรับรักจากเขา พยายามทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ให้ผมรักเขาตอบ ซึ่งผมไม่เข้าใจว่าจุดไหนที่ผมทำให้เขายังคิดเกินเลยกับผมอยู่อีก ผมปฏิบัติกับเขาเหมือนเพื่อนจริง ๆ พยายามระมัดระวังการกระทำของตัวเองอยู่เสมอ ผมคิดไปเองว่าเขาเลิกชอบผมไปแล้ว กระทั่งการสารภาพรักครั้งที่สามเกิดขึ้นอีก ครั้งนี้มันน่าอึดอัดกว่าสองครั้งที่ผ่านมา เราโตขึ้น เริ่มทบทวนความรู้สึกตัวเองได้ถี่ถ้วนขึ้น ผมเข้าใจเขามากขึ้นด้วยเช่นกันทว่าคำตอบของผมมันยังคงยืนยันเช่นเดิม ‘ตอนนี้ไม่ได้โซ่ ไม่ใช่ตอนนี้’ ‘ฮ่า ๆ กะแล้วสิงห์ต้องใจแข็งแน่ แต่โซ่เหนื่อยแล้ว โซ่สู้มาสิบปีแล้วสิงห์ มันสุดความสามารถที่โซ่จะทำให้สิงห์รักโซ่ได้แล้วล่ะ ตั้งใจไว้ว่าจะสารภาพรักสิงห์สามครั้ง ตอนนี้มันครบแล้ว ฮ่า ๆ’ เสียงหัวเราะของโซ่วันนั้นมันฟังดูเจ็บปวดมาก ๆ ทั้งที่เขาเชิดหน้าหัวเราะจนตาหยีแต่ใบหน้ากลับเปื้อนน้ำตาจนต้องยกหลังมือขึ้นเช็ดอยู่หลายที ผมยืนมองเขาอยู่อย่างนั้น ในหัวมันว่างเปล่า ไม่รู้จะหาคำพูดไหนมาปลอบใจเขาดี ผมรู้สึกผิดที่เหมือนทำลายความรู้สึกของคนที่ผมคิดว่าเป็นเพื่อนอย่างไม่เหลือชิ้นดี ทั้งชีวิตผมมีโซ่เป็นเพื่อนเพียงคนเดียว แต่เขามองผมเป็นคนรัก... ‘พักผ่อนซะ พรุ่งนี้ค่อยมาคุยกันใหม่’ นั่นเป็นประโยคสุดท้ายที่ผมได้คุยกับเขาและเขาก็ยิ้มรับ เพราะเช้าวันรุ่งขึ้นผมก็ไม่เจอโซ่อีกเลย เขาไปแล้ว ไปโดยไม่ลาผมสักคำ จากวันนั้นจนถึงตอนนี้ก็ผ่านไปสามปีเห็นจะได้ ผมไม่เคยตามหาโซ่ ไม่เคยคิดจะอยากรู้เรื่องของเขาเพราะกลัวจะทำให้เขาเสียใจอีก ผมมีเพื่อนคนเดียว ผมเสียเขาไปครั้งเดียวก็พอแล้ว แต่แล้วจู่ ๆ โชคชะตามันเล่นตลกกับผมเสียได้ มันเหวี่ยงให้ผมมาเจอกับโซ่อีกครั้งในรูปแบบของเจ้าของที่ดินกับนักลงทุน สถานะของเราตอนนี้มันไม่มีอะไรเหมือนเดิมหรอก ผมรู้ว่าโซ่คงเกลียดผมมาก การเสียเวลากับใครสักคนเป็นสิบปีมันไม่ใช่เรื่องตลกเลย และการมาหาเขาในวันนี้ผมมาเพื่อปิดโครงการของพ่อ เผื่อใจไว้แล้วว่าโซ่จะไม่ขายที่ดินให้ผม ถึงอย่างนั้นก็อยากจะรู้เหตุผลว่าทำไม เพราะอะไรเขาถึงปฏิเสธเงินจำนวนห้าพันล้านบาทที่พ่อเสนอให้อย่างไร้เยื่อใย ผมไม่เข้าใจจึงอยากจะลองเจรจาดูก่อน เผื่อมีลู่ทางไหนที่ผมพอจะทำให้เขาใจอ่อนได้บ้าง “นายใหญ่ครับ ถึงแล้วครับ” ผมดึงสติตัวเองให้มาอยู่ในเหตุการณ์ปัจจุบัน ตอนนี้คงต้องละทิ้งเรื่องราวในอดีตไว้ก่อน ผมเปิดม่านเพื่อมองออกไปนอกหน้าต่าง พบว่าเรากำลังอยู่ที่หน้าซุ้มประตูทางเข้าขนาดใหญ่แต่สภาพทรุดโทรม บานประตูเหล็กสองฝั่งที่มีเถาวัลย์พันวุ่นวายเปิดออกกว้างราวกับที่นี่เปิดต้อนรับให้คนเข้าออกตลอดเวลา สายตาผมจับจ้องไปยังรถซาเล้งคันหนึ่งที่ขนของออกมาจากด้านใน ด้านบนมีผ้าคลุมไว้จนผมมองไม่ออกว่าขนอะไรออกมา ตามมาด้วยรถกระบะคันหนึ่งที่ขนผักมาเต็มหลังรถ ทุกคันขับสวนรถของผมออกไปอย่างกระตือรือร้น “ขับเข้าไป” ขณะที่รถเคลื่อนตัวเข้าไปด้านใน ผมก็เห็นคนมากมายนั่งอยู่ในศาลากว้างจึงบอกให้หยุดรถ บอดี้การ์ดของผมสองคนทำหน้าที่ได้รู้ใจผมนัก เขาลงไปถามหาเจ้าของที่ให้ แต่ผมกวาดตามองจากตรงนี้แล้วรู้ได้ว่าโซ่ไม่อยู่ ในนี้ไม่มีเขา “เขาบอกว่าคุณโซ่เข้าไปในสวนครับ คงจะออกมาตอนใกล้เที่ยง” ถ้านับจากเวลาตอนนี้ไปถึงเที่ยงก็อีกตั้งสามชั่วโมง เฮ้อ ผมคิดว่าจะรีบมาคุยกับเขาแต่เช้าเผื่อจะได้เรื่องได้ราวดูบ้าง แบบนี้เสียเวลาแย่ ผมเฉมองไปยังกลุ่มคนมีอายุนั่งคัดผลไม้อยู่ที่ศาลาด้านข้างนี้ก็แปลกใจ ชาวบ้านที่นี่ล้วนเป็นคนงานของไร่นี้หรือเปล่า แต่ก็อย่างว่า ไร่ผลไม้ใหญ่ขนาดนี้จำเป็นต้องใช้คนงานจำนวนมากน่ะถูกแล้ว พอเพ่งมองไปก็พบว่าไม่ใช่มีแค่คนมีอายุเท่านั้น ลูกเล็กเด็กแดงรวมถึงวัยรุ่นก็มาทำงานที่นี่ ผมเห็นแต่ละคนคัดผลไม้อย่างขะมักเขม้นเลย ไม่นานก็มีรถกระบะสองคันมาจอด คนงานผู้ชายกรูกันเข้ามาช่วยยกของลงจากท้ายรถ และช่วยกันยกลังที่คัดผลไม้เสร็จแล้วขึ้นรถไป ดูแล้วทุกคนรู้จักกันดี ดูจากรอยยิ้มที่ส่งให้กันมันดูจริงใจราวกับยิ้มให้ญาติมิตร อ่า ผมพอจะหาเหตุผลดี ๆ มาโน้มน้าวโซ่ได้บ้างแล้วล่ะ 11.45 น. ผมได้ยินเสียงเอะอะดังเข้ามาจึงเงยหน้าจากเอกสารมองออกไป พบว่าเด็กเล็กหลายคนวิ่งกรูกันผ่านหน้ารถของผมด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ เมื่อผมมองตามไปจึงได้พบกับใครบางคนเข้าแล้ว โซ่... ใบหน้าหวานยิ้มแย้มกับเด็กที่เข้าไปกอด เขายอบตัวนั่งลงหอมแก้มเด็กทุกคนก่อนจะหยิบผลไม้จากย่ามที่เขาสะพายติดตัวให้คนละลูก รอยยิ้มของโซ่ตอนนี้ดูมีความสุขมากจนผมไม่กล้าลงจากรถเลยทีเดียว ก็ผมมันเป็นตัวทำลายความสุขของโซ่มาตลอดนี่หว่า แต่ช่างเถอะ ครั้งนี้ผมมาเพราะเรื่องงาน เรื่องส่วนตัวของเรามันจบไปตั้งแต่สามปีก่อนแล้ว ผมสูดหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อเรียกสติและความมั่นใจกลับคืนมา ก่อนจะลงจากรถแล้วจะเดินเข้าไปหาเขา บางทีเราคงต้องแนะนำตัวกันใหม่ เราไม่ใช่เพื่อนห้องเดียวกันที่เดินตามก้นกันต้อย ๆ อีกแล้ว ทว่าเท้าผมยังเดินได้ไม่ถึงตัวเขา ร่างสูงก็หยัดตัวขึ้นยืนแล้วมองมาที่ผมด้วยสายตาตกตะลึง “สิงห์!” เขายืนนิ่งไปจนกระทั่งผมเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้า ดวงตากลมโตยังคงมองผมตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าราวกับยังไม่เชื่อสายตาตัวเอง “ไม่เจอกันนานเลยนะ โซ่...” “มาที่นี่ทำไม มาหาโซ่เหรอ?” “อืม มีธุระกับโซ่นิดหน่อย” “ให้โซ่ลองเดาไหมว่าสิงห์มีธุระอะไรที่นี่?” “อืม ลองเดาดูสิ” “คิดว่าเดาถูกก็แล้วกัน” จากนั้นโซ่ก็โน้มหน้าลงไปกระซิบกระซาบกับเด็ก ๆ ซึ่งผมไม่ได้ยิน แต่มารู้ตัวอีกทีผมกับบอดี้การ์ดสองคนก็โดนเด็กเล็กสิบกว่าคนเข้ามากอดขา ดึงมือ ลากผมเดินผ่านศาลาแห่งนี้ไป ผมเห็นโซ่เดินหัวเราะตามหลังมาเลยไม่ได้กังวลอะไรเท่าบอดี้การ์ดของผมสองคน ที่พยายามสลัดเด็กออกอย่างออมมือแต่ก็ไม่สำเร็จ ครั้นจะเข้ามากันเด็กออกจากผมเขาก็โดนล้อมจนมาไม่ถึง ผมจึงหันไปส่ายหน้าเล็กน้อยเพื่อบอกว่าผมไม่เป็นไร บอดี้การ์ดจึงค้อมตัวรับคำสั่งแล้วปล่อยเลยตามเลย แล้วไม่นานหลังจากเดินผ่านสนามหญ้านี้ไปก็พบกับบ้านพักหลังหนึ่ง เป็นบ้านปูนชั้นเดียวขนาดเล็กสีขาว ด้านหน้าบ้านมีชานระเบียงให้นั่ง “เด็ก ๆ ไปบอกคนที่ศาลาให้เตรียมมื้อเที่ยงให้พี่โซ่สี่ที่นะ เสร็จแล้วเอามาให้พี่โซ่ที่นี่นะครับ” “ไม่ต้องเผื่อผมสองคนนะครับ ผมยังกินไม่ได้” บอดี้การ์ดของผมพูดแย้งขึ้นมาทันทีเพราะมันผิดกฎ ตามปกติแล้วพวกเขาจะไปกินข้าวได้ก็ต่อเมื่อผลัดเปลี่ยนเวรกัน หรือไม่ก็รอเลิกงานเท่านั้น แต่ผมไม่เคยเคร่งขนาดนั้นหรอก พวกเขารู้ถ้าอยู่กับผมตามลำพังผมไม่ว่าเลยหากใครจะพักผ่อน แต่ถ้าอยู่ต่อหน้าคนอื่นพวกเขาต้องเคร่งวินัยเพื่อรักษาภาพลักษณ์ “ถึงเวลาก็ต้องกินครับ ที่นี่ไม่มีคนอื่น มีแค่ผม คุณไม่ต้องเคร่งนักหรอก ถ้าเจ้านายคุณจะหักเงินเดือนก็มาเก็บเอาที่ผมแล้วกันครับ” “พักเถอะ ทำตามที่เขาบอก” ผมต้องหันไปบอกลูกน้องสองคนเพื่อไม่ให้บรรยากาศตึงเครียดไปมากกว่านี้ โซ่น่ะ เขายังเหมือนเดิมเลยนะ เขาไม่ได้ดูแลแค่ผมหรอก บอดี้การ์ดผมไม่ว่าเปลี่ยนมากี่รุ่นก็เอ็นดูเขาทุกคน ตั้งแต่เด็กจนโต โซ่รู้หมดว่าผมมีบอดี้การ์ดคอยตามกี่คน เวลาเขาซื้อขนมมาก็จะซื้อเผื่อทุกคนด้วย แอบเอาไปให้ตอนผมเผลอเพื่อติดสินบนบอดี้การ์ดให้ผ่อนปรนกับผมหน่อย กลับบ้านช้าหน่อยก็ได้ ให้ผมได้นั่งพัก นั่งเล่นชิงช้าอย่างคนอื่นเขาบ้าง พอเห็นโซ่ยังเป็นเหมือนเดิมผมก็อดนึกถึงอดีตไม่ได้ ลอบมองเสี้ยวหน้าของเขาขณะที่กำลังเปิดก๊อกน้ำหน้าบ้านเพื่อล้างหน้า เสื้อเชิ้ตตัวใหญ่ถูกถกแขนเสื้อขึ้นมาถึงข้อศอก แต่ก็นั่นแหละ โซ่ก็ยังเป็นโซ่ที่ทำอะไรลวก ๆ ไม่ค่อยละเอียด มารู้ตัวอีกทีผมก็ยื่นมือไปพับแขนเสื้อข้างหนึ่งที่มันลู่ลงจนเปียกน้ำให้เขาเสียแล้ว “อ่า ขอบคุณนะ โซ่ขอเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเดี๋ยวออกมากินข้าวด้วย” “อืม” คล้อยหลังของเขาไปผมจึงบอกให้คนไปหยิบเอกสารสัญญาซื้อขายในรถออกมาทันที ดูท่าแล้วโซ่ไม่ได้เกลียดผมอย่างที่ผมคิดไว้ ท่าทีของเขาไม่ได้ต่างไปจากเดิมสักเท่าไหร่ บางทีเราอาจจะคุยกันง่ายกว่าที่คิด อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้มีท่าทีต่อต้านที่ผมมาวันนี้แม้จะรู้ว่าผมมาหาเขาเพราะอะไร ไม่นานเจ้าของบ้านก็เปิดประตูออกมา ผมหันไปมองเขาครั้งนี้จู่ ๆ ก็กลั้นหายใจอย่างไร้สาเหตุ โซ่เปลี่ยนชุดเป็นเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวใหญ่กับกางเกงเลสีครีม เขาปล่อยผมยาวถึงกลางหลังและทัดมันขึ้นหูข้างหนึ่ง เมื่อครู่เขาใส่หมวกอยู่ตลอดผมเลยไม่เห็นทรงผมของเขา ตอนนี้เห็นแล้วผมขอพูดแบบไม่โกหกว่ามันเหมาะกับโซ่มาก ไม่คิดเลยว่าโซ่จะเหมาะกับผมยาวขนาดนี้ ทรงผมรับกับใบหน้าหวาน ขับให้น่ามองกว่าเดิมร้อยเท่าพันเท่าเลย กว่าผมจะรู้ตัวอีกทีก็ได้ยินเด็กตะโกนเรียกชื่อเขาดังแว่วมา นั่นเป็นจังหวะที่ผมจะได้สูดอากาศเข้าปอดหลังกลั้นหายใจอยู่นาน บ้าน่ะ โซ่สวยขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่? เสื่อผืนใหญ่ถูกปูลงบนพื้นชานบ้านด้านหน้า อาหารที่เด็ก ๆ ช่วยกันถือมาถูกวางทับลงไป มองดูแล้วน่ากินไม่น้อย จากนั้นข้าวสี่จานก็ถูกวางเป็นสี่มุม “เด็ก ๆ เอาแกงเขียวหวานมาเพิ่มให้พี่โซ่อีกชามนะครับ ผักต้มจิ้มน้ำพริกนี่คุณลุงเขาไม่กินหรอก” เดี๋ยวก่อน ผมต้องตกใจที่โซ่จำได้ว่าผมกินอะไรหรือไม่กินอะไร หรือควรตกใจที่เขาเรียกผมว่าลุง! ว่าไงนะ ลุงงั้นเหรอ ผมแก่กว่าเขาตรงไหนกัน ก็ได้แต่บ่นในใจนั่นแหละนะ ผมไม่ใช่คนพูดเยอะ เถียงไม่เป็น บอกความรู้สึกไม่ถูก ผมถูกสอนมาให้เก็บอารมณ์ไว้ในใจและปล่อยผ่านไปถ้าไม่ทำให้เราเสียเปรียบ แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่รู้สึกเสียเปรียบให้ยิ้มรับไปก่อนแล้ววางแผนแก้แค้นทีหลัง การไม่โต้แย้งเขาด้วยเรื่องไร้สาระมันก็ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกเสียเปรียบอะไรนี่ ฉะนั้นผมจะปล่อยผ่าน “เพิ่งรู้ว่าโซ่มีที่ผืนใหญ่ขนาดนี้ด้วย โซ่ไม่เคยบอกเลย” ผมเริ่มเปิดบทสนทนา มือหนึ่งปลดกระดุมเสื้อสูทออกก่อนทิ้งตัวนั่งลงบนเสื่อ โซ่นั่งตรงข้ามผม แล้วบอดี้การ์ดสองคนก็ยอบตัวนั่งตามลงมา เมื่อเราเริ่มคุยเรื่องธุรกิจพวกเขาจะเงียบมากเพื่อให้ผมมีสมาธิ “สิงห์ไม่เคยถามนี่ อ่อ ต้องถามว่าสิงห์รู้อะไรเกี่ยวกับโซ่บ้างดีกว่า” แล้วคำตอบของโซ่ก็ทำให้สมาธิผมติดลบศูนย์ทันที ผมรีบถามตัวเองเพื่อเค้นหาประโยคตอบโต้เขาต่อไป ไม่ให้บทสนทนามันเงียบ แต่ในหัวผมกลับโล่งมาก นอกจากรู้ว่าคนตรงหน้าผมชื่อโซ่ ผมก็ไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับเขาเลยสักอย่าง เขาพูดมาแบบนี้เพื่อให้ผมได้คิดทบทวนหรือเปล่านะว่าผมมันแย่แค่ไหน ทั้งที่รู้จักกันมาสิบปีแต่ผมไม่เคยคิดจะสนใจ ไม่คิดจะถามด้วยซ้ำ โซ่พูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง สีหน้าไร้ความรู้สึก เขาสามารถตักข้าวกินต่อได้อย่างเป็นธรรมชาติ ต่างจากผมที่ได้แต่นั่งมองหน้าเขาด้วยความรู้สึกหนักใจ คิดว่าการเจรจาของเรามันจะเริ่มต้นได้ดีกว่านี้เสียอีก ผมเตรียมคำพูดมามากมายพอถึงเวลากลับพูดไม่ออก ชวนคุยต่อไม่ได้ โซ่สวนกลับมาแค่ประโยคเดียวผมก็น็อคไปแล้ว เผลอคิดไปว่าเรารู้จักกันมานานนั่นหมายความว่าเรารู้จักกันดี แต่เปล่าเลย ทำไมผมไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับโซ่เลยสักอย่างวะ “เอ่อ...แล้วนี่โซ่ทำสวนอะไรอยู่เหรอ รายได้ดีไหม?” ผมพยายามพาเข้าประเด็นอีกครั้ง “สิงห์เห็นลุงป้าน้าอาที่ศาลาไหม?” “อืม เห็น” “ทุกคนเป็นคนงานของที่นี่โดยที่โซ่ไม่เคยจ่ายเงินเดือนให้สักบาท” “ทำไม?” “ทุกคนขอเช่าพื้นที่ไร่สวนของโซ่เพื่อทำมาหากิน แต่ละคนก็เข้ามาช่วยกันปลูกผลไม้ เก็บผลผลิต เอาผลไม้ไปส่งขายที่ตลาด พอมีทุนเพิ่มหน่อยก็มาเช่าที่เพื่อทำกินเพิ่ม แต่ละครอบครัวใช้แรงแทนเงิน วันนี้บ้านนี้ไปช่วยบ้านนั้นคัดผลไม้ พรุ่งนี้ก็ผลัดกัน” “แล้วโซ่จะคุ้มอะไร ได้แค่ค่าเช่า” “แล้วสิงห์เห็นเด็ก ๆ พวกนั้นไหม พวกเขาเกือบไม่ได้เรียนหนังสือเพราะครอบครัวขาดรายได้ เพิ่งได้เรียนหลังจากครอบครัวมาทำงานที่นี่ โซ่ไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่จะทอดทิ้งพวกเขาเพื่อเลือกเงินหลายล้านเข้ากระเป๋าตัวเอง” “โซ่ ความใจดีของโซ่มันไม่ยั่งยืนหรอกนะ เงินต่างหากที่จะทำให้ชีวิตมีความสุข โซ่ได้เงินไปโซ่ให้พวกเขาคนละล้านโซ่ยังเหลือเลย” “เหรอสิงห์ แล้วสิงห์ล่ะ ที่บ้านมีเงินมากขนาดนั้นสิงห์เคยมีความสุขจริง ๆ ไหม? รวยขนาดนั้นทำไมสิงห์ต้องทำงานหนักตั้งแต่เด็ก ทำไมไม่นั่งกินนอนกินได้อย่างสบายใจล่ะ ลำบากทำงานงก ๆ ทำไม?” ผมเงียบ ผมก็มีเหตุผลของผมที่ต้องทำงาน ปู่ผม พ่อผม ปูทางเรื่องธุรกิจมาขนาดนี้แล้วผมต้องไปต่อ สำหรับมาเฟียแล้วการกระจายอำนาจเป็นเรื่องสำคัญ ผมหยุดที่จะขับเคลื่อนทุกอย่างให้ประสบความสำเร็จไม่ได้ ฉะนั้นเงินที่ผมมีมันคือทุนเพื่อหมุนเวียนธุรกิจทั้งนั้นแหละ “ราคาสูงสุดที่ให้ได้คือห้าพันล้านบาทนะโซ่ โซ่เอาไปทำอะไรได้อีกหลายอย่าง” “แลกกับคนทั้งตำบลจะไม่มีที่ทำกิน จะตกงาน ขาดรายได้ เด็กจะไม่ได้เรียนต่อเพราะพ่อแม่ไม่มีเงินน่ะเหรอ?” “ถ้าที่นี่ถูกสร้างเป็นสนามกอล์ฟ ทุกคนจะได้ทำงานที่นี่ทั้งหมด ตกลงไหม?” “ทำงานเป็นอะไร? คนตัดหญ้า? มันมีอะไรให้ทำมากกว่านี้เหรอ พวกเขาไม่มีความรู้นะสิงห์ จะให้เข้าไปประจบสอพลอคนใหญ่คนโตเขาก็ทำไม่เป็น มันไม่เหมือนการทำไร่ทำสวนที่หาทุนมาเช่าที่ได้เรื่อย ๆ วันไหนเหนื่อยก็นอนอยู่บ้าน วันไหนขยันหน่อยก็มาทำงานแต่เช้า วันหนึ่งกินข้าวสี่ห้ามื้อยังไม่มีใครว่า ความภูมิใจมันต่างกัน” “แล้วโซ่จะยึดติดอะไรกับพวกเขานัก นี่มันพื้นที่ของโซ่นะ โซ่ห่วงแค่ตัวเองก็พอ” “ที่นี่คือความสุขเดียวที่โซ่มี” “โซ่ให้เงินพวกเขาไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้ คนละล้านสองล้านยังได้เลย” “หึ สิงห์พูดง่าย คิดว่าพวกเขาจะยอมรับเงินฟรี ๆ เหรอ ดูถูกใจกันเกินไปหรือเปล่า ศักดิ์ศรีคนเราใช้เงินฟาดหัวไม่ได้ทุกคนนะ” “ที่นี่มันมีอะไรดีนักหนาวะโซ่” ผมเริ่มอารมณ์เสีย ช้อนในมือวางลงบนชามเสียงดัง ไม่ต่างจากโซ่ที่วางจานข้าวลงแล้วนั่งเท้าเอวพลางถลึงตาใส่ผม “สิงห์ลองมาอยู่ที่นี่สักพักไหม แล้วหาข้อเสียว่าที่นี่ตอนนี้มันไม่ดียังไง ทำไมโซ่ต้องยอมขาย แล้วการเป็นสนามกอล์ฟมันดีกว่าตรงไหน” “มันจะดีกว่าทุกอย่าง โซ่ก็ได้เงินด้วยไง” “โซ่ไม่ได้อยากได้เงิน! แต่ที่นี่มันคือความสุขเดียวที่โซ่เหลืออยู่ไงสิงห์ โซ่ไม่อยากขาย แล้วสิงห์เป็นใครอะถึงมาบอกให้โซ่ขายที่นี่ทั้งที่สิงห์ไม่เคยอยู่ที่นี่ด้วยซ้ำ ไม่เคยสัมผัสว่าความสุขแบบนี้มันเรียบง่ายและยั่งยืนกว่าเงินที่สิงห์ว่าอีก” “ได้ เอางั้นก็ได้โซ่ สิงห์จะอยู่กับโซ่ที่นี่จนกว่าโซ่จะยอมขาย!” “เออ งั้นก็ลองดู!! คนอย่างสิงห์จะอยู่ได้สักกี่วัน!” ผมกับโซ่นั่งจ้องตากันไม่กะพริบ ชักอยากรู้แล้วว่าทำไมเขาถึงได้ใจแข็งขนาดนี้ ที่นี่มันมีอะไรดีนักหนาเหรอ ชนบทไกลตัวเมืองขนาดนี้ การสร้างสนามกอล์ฟสิจะทำให้เจริญกว่าที่เป็นอยู่ โซ่คิดอะไรของเขากันแน่ “นายใหญ่ครับ แล้วงานที่กรุงเทพฯ...” บอดี้การ์ดสองคนนั่งเหงื่อซึมเพราะต้องคอยเก็บข้อมูลรายงานคุณเฟย ผมรู้ว่างานผมมีมากมายแค่ไหน แต่นี่ก็งานหนึ่งเหมือนกัน ถ้ามันสำเร็จผมก็ปิดโครงการได้ ในเมื่อโครงการนี้มันมีปัญหาที่สุดผมก็จะอยู่กับปัญหาจนกว่าจะแก้มันผ่านไปได้ “ถ้าโซ่ไม่ขาย กูไม่กลับกรุงเทพฯ!” คำขาดของผมทำให้พวกเขารีบแยกย้ายกันไปส่งข่าวให้ทางกรุงเทพฯ ได้ทราบถึงสถานการณ์ จะได้เตรียมรับมือ ผมได้ยินแว่ว ๆ ว่าให้เปลี่ยนกันมาผลัดเวรหรืออะไรสักอย่าง ผมก็ไม่ได้ตั้งใจฟัง ตอนนี้ความสนใจผมมุ่งตรงไปที่โซ่คนเดียวเท่านั้น เห็นเขาทำปากขมุบขมิบก่นด่าผมด้วย หึ เดี๋ยวได้รู้กันว่าใครจะพ่ายแพ้! เงินที่ผมมีผมไม่เชื่อว่ามันจะซื้อใจคนไม่ได้ End Talk’s
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD