หลังจากการสูญเสียครั้งใหญ่ที่เปลี่ยนแปลงชีวิตผู้คนในเมืองกรานีซ ทั้งสองตระกูลเริ่มตระหนักถึงผลกระทบจากความเกลียดชังที่สะสมมาอย่างยาวนาน การเผชิญหน้าระหว่างผู้นำของตระกูลวรรษาและรัตติกาลในวันที่ไร้ลูกหลานของพวกเขานั้นเต็มไปด้วยความเงียบงันและเจ็บปวด คำพูดใด ๆ ก็ไม่สามารถแทนที่สิ่งที่พวกเขาสูญเสียได้ แต่ก็ไม่มีใครกล้าที่จะกล่าวโทษอีกฝ่าย เพราะพวกเขาต่างรู้ดีว่าความเกลียดชังนั้นเป็นสิ่งที่พวกเขาเลือกแบกรับมาตลอด
ในช่วงเวลานั้น เมืองกรานีซเหมือนกับหยุดนิ่ง ประชาชนที่เคยแบ่งแยกตามตระกูลเริ่มรู้สึกถึงความไร้สาระของความบาดหมางที่ไม่มีที่สิ้นสุด เด็ก ๆ ในเมืองถามผู้ใหญ่ถึงเหตุผลว่าทำไมพวกเขาถึงต้องเกลียดคนอีกฟากของเมือง แต่ไม่มีคำตอบใดที่ชัดเจนพอ ทุกคนต่างตระหนักว่าความเกลียดชังที่ถูกส่งต่อมานั้นไร้เหตุผลและไม่มีความหมาย
ในสวนลับที่เคยเป็นสถานที่พบปะของดารินและวิลาศ ผู้คนเริ่มมารวมตัวกันเพื่อวางดอกไม้และสวดมนต์ให้กับวิญญาณของทั้งสอง มีคำเล่าลือว่าในคืนที่เงียบสงบ แสงจันทร์จะตกกระทบกับศาลาหินตรงกลางสวน จนเกิดเป็นภาพเหมือนเงาของชายหนุ่มและหญิงสาวที่กำลังนั่งจับมือกัน คนในเมืองเริ่มมองเห็นสวนแห่งนี้เป็นสถานที่แห่งความหวังและการเริ่มต้นใหม่
ในเวลาเดียวกัน ผู้นำตระกูลทั้งสองเริ่มพยายามสร้างความสัมพันธ์ที่ดีขึ้น การประชุมระหว่างสองฝ่ายเกิดขึ้นในหอประชุมกลางเมือง ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปีที่ผู้นำทั้งสองได้นั่งพูดคุยกันโดยไม่มีอาวุธ พวกเขาตัดสินใจที่จะยุติความเป็นศัตรูและสร้างสนธิสัญญาสันติภาพ โดยมีเป้าหมายร่วมกันในการฟื้นฟูเมืองกรานีซให้กลับมาสงบสุข
ประชาชนในเมืองที่เคยอยู่ภายใต้ความหวาดกลัว เริ่มปรับตัวเข้าสู่ยุคใหม่ เด็ก ๆ จากฟากเหนือและฟากใต้เริ่มเรียนหนังสือร่วมกันในโรงเรียนแห่งใหม่ที่สร้างขึ้นตรงกลางเมือง ซึ่งตั้งอยู่ใกล้สวนลับที่เป็นสัญลักษณ์ของความรักและความเสียสละ
อย่างไรก็ตาม ความทรงจำของดารินและวิลาศไม่ได้เลือนหายไป พวกเขากลายเป็นตำนานที่ผู้คนเล่าขานกันอย่างต่อเนื่อง เรื่องราวของทั้งสองถูกนำไปแต่งเป็นบทกวีและบทเพลงที่ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น ทุกครั้งที่มีการจัดงานเทศกาลแห่งแสง ผู้คนจะจุดตะเกียงสองดวงในสวนลับ เพื่อระลึกถึงดารินและวิลาศที่กล้ารักเหนือความเกลียดชัง
แม้จะผ่านไปหลายปี เมืองกรานีซก็ยังคงเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น สันติภาพที่เกิดขึ้นไม่ได้เพียงแต่หยุดความขัดแย้งระหว่างสองตระกูล แต่ยังรวมถึงการปลูกฝังแนวคิดใหม่ให้แก่คนรุ่นหลังว่า ความรักและความเข้าใจสามารถเอาชนะทุกสิ่งได้
ในคืนหนึ่งที่ลมพัดเบา ๆ และท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาว เด็กหญิงตัวน้อยคนหนึ่งเดินผ่านสวนลับพร้อมกับแม่ของเธอ เธอถามแม่ว่าทำไมคนในเมืองถึงรักสวนแห่งนี้นัก แม่ของเธอยิ้มและเล่าเรื่องราวของชายหนุ่มและหญิงสาวที่กล้ารักกันแม้จะอยู่คนละฟากของความเกลียดชัง เด็กหญิงคนนั้นฟังอย่างตั้งใจ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองดวงดาวและกล่าวว่า "ถ้าหนูโตขึ้น หนูจะรักทุกคนเหมือนที่พวกเขารักกัน"
แม้ดารินและวิลาศจะจากไป แต่ความรักของพวกเขาได้สร้างแรงบันดาลใจให้คนรุ่นหลัง ความรักนั้นไม่ได้จบลงในโศกนาฏกรรม หากแต่เป็นจุดเริ่มต้นของยุคใหม่ที่เปี่ยมด้วยความหวัง ความเมตตา และการให้อภัย เมืองกรานีซเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง กลายเป็นเมืองที่ไม่มีใครต้องอยู่ใต้เงาของความเกลียดชังอีกต่อไป และเรื่องราวของพวกเขาก็กลายเป็นนิทานก่อนนอนที่ไม่มีวันลืมเลือน