บนรถม้าของจวนเสนาบดีฝ่ายซ้ายไป่เยี่ยกวง มีสตรีสองนางนั่งมองหน้ากันด้วยใบหน้าเคร่งเครียด
“เจ้าได้ยินหรือไม่? ฟางซิน จูเหม่ยเซียนพูดว่าองค์ชายจะเดินทางมามอบปิ่นปักผมให้นางจนถึงจวน เหตุใดยามข้าเข้าพิธีปักปิ่นตอนต้นปีมิเห็นพระองค์ทำเช่นนี้บ้างเล่า ข้าก็เป็นบุตรสาวของเสนาบดีเช่นนาง" ไป่เยว่ชิงคร่ำครวญน้ำตาคลอ
“เยว่ชิง เจ้าต้องเข้าใจว่านางเป็นสหายของทั้งสองพระองค์ในวัยเยาว์ พระองค์จะเสด็จมาร่วมงานก็มิใช่เรื่องแปลกอันใด ข้าว่าตอนนี้เรามาเตรียมตัวเรื่องงานประชันบุปผางามวันพรุ่งนี้จะดีกว่ารึไม่” เอ่ยปลอบโยนพร้อมลูบไหล่เยว่ชิงเบาๆ
“อืม ใช่สินะ….แล้วเจ้าคิดว่าข้า" เงียบเหมือนกำลังชั่งใจสบตาสหายรัก “อกแบนเหมือนไม้กระดานอย่างที่นางกล่าวจริงหรือไม่?”
ฟางซินทำหน้าหนักใจเล็กน้อย “ไม่หรอก…เป็นนางนั่นแหละที่ผิดที่อกใหญ่เกินวัย เจ้าดูงดงามสมวัยแล้วจริงๆนะเชื่อข้าเถอะ”
“จริงสินะ ขอบใจเจ้ามาก” ไป่เยว่ชิงถอนหายใจอย่างโล่งอกพร้อมกับยิ้มให้ตู้ฟางซิน
๑--------------------------------๑
ยามซวี่ (19.00-21.00) บนต้นไม้ใหญ่ในจวนสกุลจูมีบุรษชุดดำสี่คนยืนมองสาวน้อยหน้าผากบวมปูดที่นั่งเท้าคางเหม่อมองพระจันทร์เสี้ยวอยู่ริมหน้าต่างหนึ่งในนั้นเอ่ยทำลายความเงียบ
“เหตุใดนางจึงทำท่าทางเหงาหงอยเช่นนั้นล่ะ พี่รอง ” เจ้าหย่งเซิงหันหน้ามองพี่ชาย
“ไม่รู้สิ นางคงหงอยเหงาเพราะคิดถึงเจ้ากระมังน้องสาม ” ทำสีหน้าเบื่อหน่ายกับคำถามโง่งม
“จริงรึ!!!” ยิ้มกว้าง สององครักษ์ กงลี่และฝูจิน ที่ยืนด้านข้างกลอกตาไปมา
“รอนางนอนหลับ ข้าจะเข้าไปดูนางสักหน่อย"
“เหตุใดต้องรอนางนอนหลับล่ะไปตอนนี้ไม่ดีรึ นางจะได้ดีใจที่เจอข้า!!” หย่งเจี้ยนถอนหายใจ ‘เรื่องใดที่เกี่ยวข้องกับนาง มักจะทำให้น้องข้าโง่งมได้ตลอดจริงๆ’
"นี่มันยามใดแล้วเจ้าสาม ไปหานางตอนนี้นางมิตกใจแย่รึ? เจ้าจะเข้าไปด้วยรึไม่???" หย่งเจี้ยนถามน้องชาย
“ข้าต้องเข้าไปอยู่แล้วสิ" รีบตกลงอย่างไว "พรุ่งนี้เรามารับนางไปร่วมงานประชันสาวงามดีรึไม่พี่รอง”
“ไม่ดี…ข้าจะรอเจอนางในวันปักปิ่นเลยทีเดียว หลังจากนี้เพียงแค่สี่วันเท่านั้น เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนช่วงนี้ข้าจะเข้าวังไปอยู่เป็นเพื่อนเสด็จแม่เสียหน่อย ตอนนี้คงทราบแล้วกระมังว่าเราถึงเมืองหลวงแล้ว”
“เช่นนั้นก็ดีเหมือนกัน” หันไปถามองครักษ์ประจำตัว “กงลี่ เจ้าตามสืบเรื่องคนที่ชนนางตกบันไดได้ความว่าอย่างไร? เจอตัวหรือไม่?”
“ยังไม่เจอตัวพะยะค่ะ สอบถามเสี่ยวเอ้อที่อยู่ในเหตุการณ์วันนั้นได้ความว่า ชายคนนั้นเป็นคนพเนจร กินเสร็จก็ไม่จ่ายค่าอาหาร เสี่ยวเอ้อชั้นบนวิ่งไล่ตามจับ ชายผู้นั้นจึงกระโดดลงจากชั้นบน ชนคุณหนูจูอย่างแรงเสียหลักตกลงมาพะยะค่ะ ชายคนนั้นเห็นว่าเหตุการณ์ชุลมุนจึงรีบวิ่งหนีหายไปอย่างไร้ร่องรอยพะยะค่ะ”
“ตามต่อไปถ้าเจอเมื่อไหร่รีบส่งตัวมาให้ข้า” หย่งเซิงกล่าวเสียงเหี้ยม
“พะยะค่ะ” กงลี่รับคำ
๑--------------------------------๑
'เฮ้ออ…คิดถึงแม่จ๋า พ่อนนท์ กับพี่อาร์มจังเลย ป่านนี้จะเป็นยังไงบ้างนะ' เหม่อมองพระจันทร์ฝากความคิดถึงไปหาคนไกล
“คุณหนูเจ้าคะ จะนอนเลยหรือไม่เจ้าคะบ่าวจะได้เข้าไปดับเทียน” เสี่ยวถงเปิดประตูเข้ามาถาม
“อืม ดับเลยละกันข้าจะนอนแล้ว” เหม่ยเซียนเดินมาที่เตียงนอนล้มตัวลงห่มผ้าแล้วหลับตาลง ‘หวังว่าพรุ่งนี้คงไม่มีเรื่องยุ่งอะไรอีกนะ’ เสี่ยวถงปิดหน้าต่างดับเทียน ปิดประตูแล้วออกจากห้องไป
๑--------------------------------๑
ยามวิกาลมาถึงสตรีงดงามนอนหลับโดยไม่รู้ตัวเลยว่ามีโจรเด็ดบุปผาย่องเข้ามาถึงสองคน
“ดูหน้าผากนางสิพี่รอง ช่างน่าสงสารยิ่งจะหายทันวันปักปิ่นรึไม่ข้ากลัวนางจะไม่งาม” แลมองน้องชายอย่างเหยียดหยาม
“ทายาแก้บวมสักสองวันคงจะหายแล้วกระมัง แต่ถึงจะไม่หายนางก็ไม่ได้ดูน่าเกลียดอันใด รึเจ้าว่าน่าเกลียด?” หันมองน้องชายหน้าเคร่งขรึม
“พูดอันใดของท่านในสายตาข้านางมิเคยน่าเกลียด” พูดพลางนั่งลงข้างเตียงลูบไล้แก้มเนียนเบาๆ พร้อมกระซิบข้างใบหูเล็ก “พี่หย่งเซิงกลับมาหาเจ้าแล้วเหม่ยเอ๋อร์” ยิ้มตาหวาน ‘แก้มนางช่างนุ่มเสียจริง’
“พอแล้ว ถอยออกมา” ดึงแขนน้องชายให้ลุกขึ้นแล้วขยับตัวเข้ามาแทนที่ก้มลงไปใกล้หน้านาง
“จุ๊บ!” หย่งเจี้ยนจูบหน้าผากมนเสียงดัง
“เห้ย” หย่งเซิงร้องโวยวาย หย่งเจี้ยนรีบดึงแขนน้องชายลากออกไปที่หน้าต่าง
“ร้องทำไมเสียงดังเดี๋ยวนางก็ตื่นหรอก ไปได้แล้วอยู่นานๆมิใช่เรื่องดี” จับแขนน้องชายใช้วิชาตัวเบาโดดออกนอกเรือนพร้อมกัน
“หึ่ยยย อย่าให้ถึงทีข้าบ้างนะพี่รอง” หย่งเซิงโดดไปบ่นไปตลอดทาง
เงาดำนับยี่สิบสายกระโจนตามองค์ชายทั้งสองพระองค์ออกนอกจวนสกุลจูรวดเร็วปานสายลม ทิ้งไว้เพียงความเงียบงันยามค่ำคืนและเสียงจิ้งหรีดรำไร
ต้นยามเฉิน(7.00)ในห้องอาบน้ำของเรือนหลานฮวาสกุลจู เสี่ยวถงกำลังถือใยบวบ ขัดหลังขาวเนียนให้คุณหนูที่กำลังนั่งสบายอยู่ในถังอาบน้ำ
“คุณหนูจะเข้างานบุปผางามยามใดเจ้าคะ บ่าวจะได้ไปบอกอาไช่ให้เตรียมรถม้า"
“ข้าจะไปยามเซิน(15.30)”
“เหตุจึงไปยามเซินล่ะเจ้าคะงานเริ่มยามเว่ย(13.00) ถ้าคุณหนูไปช้างานประชันบุปผาคงใกล้จบพอดี”
“นั่นล่ะที่ข้าต้องการ ข้ามิได้เข้าร่วมประชันสาวงามสักหน่อยไปตอนที่ใกล้จะรู้ผลยังจะสนุกกว่า ใครจะได้หรือไม่ได้รางวัลล้วนไม่เกี่ยวอันใดกับข้า” หันมองเสี่ยวถง “เจ้าว่าจริงรึไม่”
“ก็จริงเจ้าค่ะ” ขัดหลังไปมองคุณหนูไป 'คุณหนูก้มมองอะไรในน้ำน่ะ'
“เสี่ยวถง เจ้าออกไปหามีดเล่มบางหรือกรรไกรเล่มเล็กๆ สะอาดๆมาให้ข้าหน่อยสิ ข้าจะกำจัดสิ่งสกปรก” ‘อายุจะสิบห้าเริ่มมีแล้วสินะแต่ขออภัยที่พี่ต้องเอาออก เพราะพี่ไม่ชอบที่น้องสาวสกปรก’
“เจ้าค่ะ” แม้จะงงว่าเอามาทำอะไรแต่ก็เดินไปจัดหามาให้ “นี่เป็นใบมีดใหม่ที่ใช้สำหรับขูดขนบนหนังหมูเจ้าค่ะ เล็กที่สุดแล้วในโรงครัว ”
“แบบนี้แหละที่ข้าต้องการ เจ้าออกไปก่อนเดี๋ยวข้าทำอะไรนิดหน่อยเดี๋ยวตามไป” ลับหลังเสี่ยวถง จูเหม่ยเซียนก็ใช้ใบมีดจัดการน้องสาวจนเกลี้ยงเกลาสะอาดสะอ้านหมดจด ‘ฮิฮิ แบบนี้แหละเผื่อเป็นประจำเดือนจะได้ไม่ยุ่งยากยุคโบราณผ้าอนามัยก็ไม่มีเช็ดล้างดูแลก็ลำบาก' อาบน้ำอีกสองสามขันก็ก้าวออกมาจากห้องอาบน้ำเสี่ยวถงยืนมองร่างเปลือยเปล่าของคุณหนูหน้าแดงหูแดง ‘บ่าวเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ ว่าเอาใบมีดมาทำสิ่งใด’
หลังรับสำรับเช้าที่เรือนใหญ่เสร็จเรียบร้อยเหม่ยเซียนจึงกลับมานั่งสอนเสี่ยวถงเย็บชุดชั้นในพร้อมสาธิตวิธีการใส่ให้ดูทำเอาเสี่ยวถงเขินอายนั่งบิดตัวไปมาอีกรอบ โดยมีคุณหนูหัวเราะเสียงดังลั่นอยู่ด้านข้าง
๑--------------------------------๑
พระราชวังแคว้นเจ้า…ยามซื่อ(10.00)
ทางเดินระหว่างตำหนักอู่หลง(ของหย่งเจี้ยน)กับตำหนักลิ่วหลง(ของหย่งเซิง) ปรากฏร่างของสององค์ชายเดินออกมาพร้อมกันดั่งเช่นนัดหมาย ด้านหลังติดตามด้วยองครักษ์คนสนิทสองคน และองครักษ์เงาเกือบยี่สิบคนที่แอบซ่อนตามจุดต่างๆเช่นเคย
ในศาลาพักผ่อน ใจกลางวังหลวงโฉมงามสองนางนั่งพูดคุยจิบชาสบายอารมณ์พูดคุยเรื่องทั่วไปด้านข้างมีเหล่านางกำนัลขันทีคอยรับใช้อยู่ไม่ห่างกายจวบจนมีเสียงหยอกเย้าแว่วดังเข้ามาขัดจังหวะสนทนา
“ถวายพระพรจางฮองเฮา/ถวายพระพรหลันกุ้ยเฟยพะยะค่ะ” สององค์ชายกล่าวพร้อมกันด้วยรอยยิ้ม
“ไม่ต้องยิ้มเลยนะหย่งเจี้ยน หย่งเซิงเข้ามาหาแม่เดี๋ยวนี้เลย” จางฮองเฮาเอ็ดโอรส
“แม่ได้ข่าวว่ากลับมาตั้งแต่เมื่อวาน พากันไปหลงทางอยู่ทิศใดลูกรัก” หลันกุ้ยเฟยดึงแขนหย่งเซิงลงมานั่งเคียงข้างลูบหัวลูบหน้าโอรสรูปงามด้วยความคิดถึง
“หลงไปอยู่จวนท่านอาจารย์ไม่นานพะยะค่ะ กลับมาถึงวังนั้นมืดค่ำแล้วลูกกับพี่รองจึงไม่อยากเข้าไปรบกวนเสด็จแม่ทั้งสองพะยะค่ะ” กอดเอวหลันกุ้ยเฟยและยิ้ม