“คุณหนู เหตุใดจึงไปชวนพวกนางเล่าเจ้าคะไหนว่าคุณหนูมิชอบหน้าพวกนางอย่างไรเล่า อีกอย่างพวกนางสองคนพึงใจต่อองค์ชายทั้งสองนะเจ้าคะ คุณหนูจะยอมให้พวกนางเจอพระองค์ได้อย่างไร??" เสี่ยวถงไม่เข้าใจ
“เหตุใดจะให้เจอมิได้ ข้าบอกเจ้าแล้วไงว่าจะร้ายอย่างมีคุณค่า พวกนางอยากเจอก็ให้เจอที่เหลือก็อยู่ที่ความสามารถของพวกนางล่ะนะ อยากได้ก็เอาไปใครสนกันล่ะ” ยักไหล่อย่างไม่แคร์ ‘ตอนนี้ใบหน้าองค์ชายเราก็จำไม่ได้สักคนด้วยซ้ำแต่ก็คงจะหล่อมากล่ะนะก็เป็นพระเอกกับพระรองนี่’
“โธ่…คุณหนูทำไมกล่าวเช่นนี้ล่ะเจ้าคะมิใช่ว่าเมื่อก่อนคุณหนูปักใจรักองค์ชายเฝ้ารอทั้งสองพระองค์และจะมิให้ผู้ใดมาแย่งไปมิใช่เหรอเจ้าคะ"
“ข้าเคยกล่าวเช่นนั้น?”
“เจ้าค่ะ”
“งั้นตอนนี้ข้าเปลี่ยนใจแล้ว เจ้าฟังนะเสี่ยวถง” เท้าสะเอวเชิดหน้าพูดจริงจัง “พรหมลิขิตบันดาลชักพาฟ้าดินก็มิอาจขัดขวางพระเอกนางเอกย่อมครองคู่กัน” เดินจากไปปล่อยเสี่ยวถงผู้โง่งมยืนนิ่งคิดอยู่ที่เดิม ‘เช่นนั้นรึ?.แล้วพระเอกนางเอกอันใด?'
หลังกลับจากงานประชันบุพผางามเกาฮูหยินเรียกบุตรสาวเข้าไปพบที่เรือนใหญ่กล่าวถึงเรื่องเตรียมชุด เครื่องประดับ มากมายจนเหม่ยเซียนหัวหมุนไปหมดเข้ายามซวี่(19.00)ฮูหยินจึงปล่อยให้บุตรสาวกลับไปแช่น้ำชำระล้างร่างกายพร้อมพักผ่อน และกล่าวย้ำว่าพรุ่งนี้สายๆยามเฉิน(9.00)ให้เข้าไปหาอีกครั้งที่เรือนใหญ่
ในห้องอาบน้ำมีหญิงสาวโฉมสะคราญนอนแช่น้ำ ขัดผิวกายอย่างผ่อนคลายเสียงเพลงคลอออกมาจากริมฝีปากบางสวยแผ่วเบา "รักก็คือรัก …" เสี่ยวถงที่ยืนอยู่ด้านนอกคอยจัดเตรียมชุดอมยิ้มพร้อมตะโกนถาม
“คุณหนูจะใช้ชุดเอ่ออ..ชั้นในสีอะไรใส่นอนเจ้าคะ??”
“กลางคืนข้าไม่ใส่ไม่ต้องเตรียม อึดอัด”
“เจ้าค่ะ”
บนหลังคาเรือนหลานฮวา องครักษ์สองคนนั่งคุยกันเบาๆ
“ชุดชั้นในคือสิ่งใดทำไมข้ามิเห็นรู้จัก??” กงลี่ถาม
“ข้าก็มิรู้จัก คงเป็นเรื่องที่มีแค่สตรีที่รู้กระมัง” ฝูจินตอบ
“อ่อ..เป็นเช่นนั้น” สององค์รักษ์มองหน้ากันพร้อมยกสุราขึ้นจิบ ‘เรื่องนี้คงมิต้องรายงานองค์ชายเพราะมันเป็นเรื่องของสตรีไม่สำคัญอันใด’ กงลี่ผงกหัวขึ้นลงกับตัวเอง
๑--------------------------------๑
วันปักปิ่นมาถึงอย่างรวดเร็ว ในยามเหม่า(05.00)เสี่ยวถงเข้ามาปลุกคุณหนูแต่เช้า เพื่ออาบน้ำชำระร่างกาย วันนี้เหม่ยเซียนแต่กายด้วยชุดสีขาวบริสุทธิ์ ปักลวดลายดอกซากุระสีชมพูอ่อน นางตกแต่งใบหน้าด้วยโทนสีชมพูเพื่อให้เข้ากับชุด ริมฝีบางทาชาดสีชมพูมันวาว ทาเปลือกตาสีแดงผสมสีขาวจางๆไม่เข้มมากใช้ดินสอสีดำที่หาซื้อได้เมื่อวันก่อนเขียนขอบตาเฉียงขึ้นเล็กน้อยขับให้ดวงตาที่มีไฝเล็กๆ ตรงหางตาซ้าย ดูมีเสน่ห์มากยิ่งขึ้น ‘ดีนะที่หน้าผากหายแล้ว’ ผมเกล้ามวยขึ้นครึ่งหัวติดเครื่องประดับคล้ายกิ๊บรูปผีเสื้อแค่หนึ่งชิ้นเพื่อให้มีที่ว่างปักปิ่น ภาพใบหน้างดงามล่มเมืองสะท้อนออกมาในกระจก
“คุณหนูของบ่าวงดงามที่สุดในแคว้นเลยเจ้าค่ะ” เสี่ยวถงยืนยิ้มอยู่ด้านหลังแววตาปลาบปลื้มอย่างปิดไม่มิด
“เป็นเรื่องธรรมดาอ่ะนะ ฮิฮิ” เสี่ยวถงอมยิ้ม
“ไปเรือนใหญ่เลยรึไม่เจ้าคะ??”
“อืม..ไปเลยสิป่านนี้ญาติฝ่ายท่านแม่คงมากันแล้วกระมัง”
“เจ้าค่ะ”
จูเหม่ยเซียนออกจากเรือนหลานฮวาเพื่อเดินไปยังเรือนใหญ่ วันนี้ภายในจวนจัดงานพิธีปักปิ่นให้นาง ก็คล้ายวันเกิดในโลกเดิมล่ะนะ แต่คนที่นี่วันปักปิ่นคือวันที่จะประกาศให้ผู้คนรู้โดยทั่วกันว่าฉันโตเป็นสาวพร้อมจะออกเรือนแล้ว 'ช่างไม่ยุติธรรมนะว่ามั้ย?'
ภาพสาวงามเดินผ่านประตูห้องโถงเรือนใหญ่ เกิดเป็นภาพติดตาผู้ที่ได้มองเห็นเหม่ยเซียนไล่มองบรรดาผู้หลักผู้ใหญ่พร้อมย่อกายถวายคำนับจนครบทุกคนแล้วเดินผ่านเข้ามาหาท่านพ่อกับท่านแม่ เกาฮูหยินอดมิได้ที่ชมบุตรสาว
“วันนี้เหม่ยเอ๋อร์ของแม่งดงามที่สุดจริงๆ” ข้างๆท่านแม่ของนางมีท่านป้าสกุลเกา เกาหลี่ฮวาซึ่งเป็นพี่สาวของท่านแม่ของนาง กล่าวว่า
“หากไม่ติดว่าเจ้าเป็นหลานสาวของป้า ป้าจะส่งแม่สื่อมาทาบทามเจ้าเสียวันพรุ่งนี้เลย” เสียงหัวเราะของคนในครอบครัวประสานกันออกมาเต็มห้องโถง ทั้งหมดนั่งพูดคุยจิบน้ำชากันครู่ใหญ่
“เชิญทุกท่านรับอาหารเช้าพร้อมกันเถิด ต้นยามซื่อ(9.00)เราจะได้เริ่มพิธีปักปิ่นให้เหม่ยเอ๋อร์” ท่านเสนาบดีจูกล่าวกับทุกคน 'วันนี้เหมือนวันรวมญาติจริงๆ'
ยามเฉิน (08.00) เวลาไม่ขาดไม่เกินหน้าจวนสกุลจูมีรถม้าสามคันจอดเรียงรายกันมา สองคันแรกมีตราประทับจากวังหลวงติดอยู่ข้างรถ อีกหนึ่งคันที่จอดเป็นคันที่สามเป็นของจวนเสนาบดีฝ่ายซ้ายไป่เยี่ยกวง รถม้าสองคันแรกมีบุรุษหนุ่มหล่อเหลาคมคายก้าวลงมาจากรถม้าพร้อมกันและกำลังเดินเข้าประตูจวนไป โดยมีองครักษ์คนสนิทกงลี่และฝูจินเดินตามหลังไม่ห่างกาย แต่ภายในรถของจวนสกุลไป่หญิงสาวที่นั่งอยู่ด้านในสองคนคือคุณหนูไป่และคุณหนูตู้ ที่ยังคงกำลังนั่งประหม่าเขินอายมิกล้าลงจากรถหลังจากสาวใช้เดินมาบอกว่ารถม้าขององค์ชายทั้งสองจอดอยู่ด้านหน้ารถของนาง
“เยว่ชิงถ้าเราไม่กล้าลงไปเราจะคลาดกับทั้งสองพระองค์นะ หลังจากนั้นถ้าเราจะหาทางเข้าไปพุดคุยด้วยคงลำบากแล้ว” ตู้ฟางซินบอกสหายทั้งๆที่ตนเองก็ประหม่าเช่นกัน
“ใช่สินะ นี่เป็นโอกาสดีที่เราจะได้พบพระองค์ ป่ะฟางซินลงไปกันเถอะ” ‘เราต้องกล้าเท่านั้นสินะ’
ทั้งสองสาวรีบลงจากรถม้าก้าวเดินเพื่อที่จะให้ทันองค์ชายที่เดินอยู่ข้างหน้า เยว่ชิงเห็นว่าตามไม่ทันแน่แล้วจึงผลักตู้ฟางซินพุ่งถลาให้ไปชนกับแผ่นหลังขององค์ชายสามทันที ตู้ฟางซินที่ตามแผนสหายรักไม่ทันวิ่งถลาไปข้างหน้าพร้อมกรีดร้องเสียงดัง
“อ๊ายยยย…” ถลาล้มลงไป จนเกือบจะชนแผ่นหลังขององค์ชายสามตามแผนของไป่เยว่ชิง ฉับพลันองค์รักษ์ประจำพระองค์ กงลี่ ปราดเข้ามายืนด้านหน้า ผลักตู้ฟางซินล้มลงด้านข้างอย่างแรง ตุ้บๆ! เสียงของสะโพกกระทบพื้นดังลั่นหน้าจวนสกุลจู
“เจ้าจะทำอันใด รู้หรือไม่แตะต้องเชื้อพระองค์โดยมิได้รับอนุญาตต้องโทษโบยยี่สิบไม้” กงลี่เอ่ยเสียงเหี้ยม
ตู้ฟางซินที่ล้มลงกับพื้นก้มหน้าลงด้วยความอับอายสององค์ชายหันกลับมามองนาง และเหลือบตามองไปทั่วบริเวณ ด้านหน้าประตูจวนมีชาวบ้านมามุงดูกันมากมาย ฝูจินองครักษ์ขององค์ชายรองกล่าวเอ่ยรายงานด้านหลังทั้งสองพระองค์เสียงเบา
“สตรีที่ล้มลงกับพื้นคือบุตรีพ่อค้ารายใหญ่สกุลตู้ นามตู้ฟางซินพะยะค่ะ ส่วนสตรีชุดสีฟ้าที่ยืนอยู่ด้านหลังของนางมีนามว่าไป่เยว่ชิงเป็นสหายสนิทพะยะค่ะ”
“บุตรีเสนาบดีไป่” เจ้าหย่งเจี้ยนกล่าวพร้อมจ้องใบหน้านาง 'น่าจะเป็นเด็กสาวที่คอยแอบมองพระองค์กับองค์ชายสามวิ่งเล่นกับเหม่ยเอ๋อร์ในวัยเยาว์กระมัง' หญิงสาวสกุลไป่เห็นเจ้าหย่งเจี้ยนมองอยู่ก็ก้มหน้าเอียงอาย
“หึหึ แผนตื้นๆของสตรีน่ารังเกียจ กงลี่ไล่นางออกไปอย่าให้ข้าเห็นหน้าของนางภายในจวนเหม่ยเอ๋อร์เด็ดขาด” เจ้าหย่งเซิงกล่าวเหยียดหยาม สะบัดชุดเดินเข้าจวนท่านเสนาบดีจูทันที
“น่ารำคาญ” เจ้าหย่งเจี้ยนกล่าวทิ้งท้าย แล้วเดินจากไป
๑--------------------------------๑
เมื่อลุกขึ้นยืนได้ตู้ฟางซินก็เปิดฉากทันที ความอับอายวันนี้นางจะจำเอาไว้แน่นอน
“เยว่ชิง เจ้าผลักข้า”
“ข้าเปล่านะ เป็นซือโถวที่ผลักเจ้า ข้าเห็นดังนั้นแม้จะตกใจแต่ก็ช่วยเจ้าไว้ไม่ทัน” สาวใช้ซือโถวที่ยืนข้างกายหันหน้ามามองนางอย่างไม่อยากจะเชื่อหู ‘เหตุใดคุณหนูจึงโยนเผือกร้อนมาให้บ่าว’ แม้จะตกใจแต่ยังต้องปกป้องนายสาวของตนเอง
“บ่าวทำเองเจ้าค่ะ เพราะบ่าวเห็นคุณหนูตู้กำลังจะเหยียบหนูที่วิ่งผ่านมา จึงผลักคุณหนูบ่าวมิทราบว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นเจ้าค่ะ บ่าวขออภัย บ่าวสมควรตายเจ้าค่ะ” ผงกหัวปลกๆ
“หึ สมควรตายงั้นเหรอ ข้าเป็นแค่บุตรสาวของพ่อค้าจะสามารถเอาผิดกับบ่าวของบุตรีท่านเสนาบดีได้อย่าไร..วันนี้ข้าขายหน้ามาพอแล้ว ถ้าข้ายังกล้าเข้าไปร่วมงานคงจะหน้าหนาเกินทน เชิญเจ้าเข้าไปร่วมงานเองเถอะเยว่ชิง” ตู้ฟางซินถูกสาวใช้พยุงกายให้ลุกขึ้น เหลือบตามองสองนายบ่าวสกุลไป่แล้วสะบัดหน้าก้าวออกจากประตูจวนสกุลจู พบองครักษ์กงลี่รอส่งนางกลับจวน
“ท่านองครักษ์ข้ากลับเองได้ คงมิต้องให้ท่านองครักษ์เสียเวลาไปส่ง ขอบพระคุณอย่างยิ่ง” ค้อมหัวลง ก้าวเดินช้าๆจากไป กงลี่มองตาม ได้แต่ส่ายหัวเบาๆแล้วรีบก้าวเท้าตามสององค์ชายเข้าไปด้านใน
ไป่เยว่ชิงยืนนิ่งเฉยด้วยจิตใจอันสับสน หน้าประตูจวนเปิดกว้างไว้รับแขกมีพ่อบ้านยืนสงบนิ่งอย่างสุภาพราวกับว่าก่อนหน้านี้ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ต่อจากนี้นางต้องเข้าไปด้านพร้อมกับสาวใช้ซือโถวจะเกิดเรื่องอันใดขึ้นต่อจากนี้มิมีผู้ใดรู้ได้คงต้องลองวัดใจดู ‘ข้าขอโทษที่ผลักเจ้านะฟางซิน’ ตัดสินใจเดินเข้าไปด้านในโดยมีบ่าวรับใช้ในจวนเป็นคนนำทางไปยังห้องโถง
๑--------------------------------๑
ด้านในงานพิธีปักปิ่น มีผู้อาวุโสมากมายมอบของขวัญพร้อมคำอวยพรให้แก่เจ้าของงานที่นั่งยิ้มหวานรับของหน้าบาน ตอนนั้นเองบ่าวที่นำทางเชิญแขกเข้ามาด้านในแจ้งเสียงดังหน้าประตูว่า “องค์ชายรองและองค์ชายสามเสด็จ”
ทุกคนในห้องลุกขึ้นยืน “ถวายพระพรองค์ชายเพคะ/พะยะค่ะ”
“อย่าได้มากพิธี เชิญท่านผู้อาวุโสลุกขึ้นเถิด”เจ้าหย่งเจี้ยนกล่าว
“เหม่ยเอ๋อร์ ?” เจ้าหย่งเซิงเดินไปพยุงสตรีที่อายุน้อยที่สุดในงานขึ้นมายืนประจันหน้า