คืนนั้นเป็นคืนที่ยาวนานสำหรับ ขุน เขานอนอยู่บนเตียงเก่าในห้องเดิม แต่กลับรู้สึกเหมือนเป็นคนแปลกหน้าในบ้านตัวเอง ทุกสิ่งรอบกายยังคงเหมือนเมื่อเจ็ดปีก่อนที่เขาจากมา ยกเว้นเพียงเสียงหัวเราะของแม่ที่หายไป และความเงียบเหงาที่เข้ามาแทนที่
เขาพลิกตัวไปมา หลับตาลงแต่ภาพในหัวกลับมีแต่เรื่องราวที่ถาโถมเข้ามา ทั้งความโดดเดี่ยวในเมืองใหญ่ คำพูดของพี่เข้มที่เคยตัดรอนความฝันของเขา ภาพของแม่ที่นอนแน่นิ่งในคืนนั้น และที่สำคัญที่สุดคือแววตาของ เดือน ที่มองมาที่เขาด้วยความดีใจระคนเจ็บปวด
“พี่ขุนหายไปไหนมาคะ…หนูคิดถึงพี่ขุนมาก” คำพูดของเดือนยังคงก้องอยู่ในหูของขุน มันเป็นคำถามที่เขาไม่รู้จะตอบอย่างไรดีในตอนนี้ เขายังไม่พร้อมที่จะเปิดเผยบาดแผลทั้งหมดในใจให้ใครรับรู้
เช้าวันรุ่งขึ้น แสงแดดยามเช้าสาดส่องเข้ามาในห้อง ขุนตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกที่หนักอึ้ง เขาเดินลงมาจากบ้าน กลิ่นหอมของกับข้าวลอยมาแตะจมูก
ข้าวหอม กำลังจัดสำรับอยู่บนโต๊ะไม้ใต้ถุนบ้าน เธอเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้ขุน รอยยิ้มที่อบอุ่นและจริงใจทำให้ขุนรู้สึกผ่อนคลายลงเล็กน้อย
“พี่ขุน ตื่นแล้วเหรอคะ มาทานข้าวเถอะค่ะ” ข้าวหอมเอ่ยชวนด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
ขุนพยักหน้า เขานั่งลงบนม้านั่งไม้ฝั่งตรงข้ามกับ พี่เข้ม ที่นั่งอยู่ก่อนแล้ว อาหารเช้าบนโต๊ะดูน่ากิน แต่ความเงียบระหว่างสองพี่น้องยังคงปกคลุมอยู่ พี่เข้มไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ตักข้าวใส่จานแล้วยื่นให้ขุน
ขุนรับจานข้าวมา วางช้อนลงไปแล้วแต่กลับยังไม่ตักกิน เขามองไปรอบ ๆ บ้าน ไร่ลำไยที่คุ้นเคย ทุกอย่างดูเหมือนเดิม แต่กลับมีบางสิ่งที่เปลี่ยนไปอย่างไม่อาจย้อนคืน
“แกคงเหนื่อยมามาก” พี่เข้มพูดขึ้นในที่สุด เสียงของเขาทุ้มต่ำและแฝงความรู้สึกบางอย่างที่ขุนไม่เคยได้ยินมาก่อน
ขุนเงยหน้าขึ้นมองพี่ชาย พี่เข้มไม่ได้มองเขาตรง ๆ แต่สายตาของเขากลับเต็มไปด้วยความเข้าใจที่ลึกซึ้ง
“พักก่อนเถอะ…ไม่ต้องรีบ” พี่เข้มพูดต่อ “บ้านนี้ยังมีที่ให้แกเสมอ”
คำพูดนั้นทำให้หัวใจของขุนรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาอย่างประหลาด มันเป็นคำพูดที่เขาไม่เคยได้ยินจากพี่เข้มมาก่อน เป็นคำพูดที่ปลดล็อกความหนักอึ้งในใจเขาไปได้เล็กน้อย
ขุนพยักหน้า เขาตักข้าวเข้าปาก รสชาติของอาหารเช้าวันนี้ไม่เหมือนเดิม มันมีรสชาติของความเงียบ…ความเงียบที่เต็มไปด้วยความเข้าใจและการให้อภัย
หลังจากทานอาหารเช้า ขุนก็เดินออกมาที่ลานหน้าบ้าน เขามองไปยัง บ้านของเดือน ที่อยู่ไม่ไกลนัก เขาเห็นเงาร่างของเดือนกำลังรดน้ำต้นไม้อยู่หน้าบ้าน แผ่นหลังเล็ก ๆ นั้นดูคุ้นเคย แต่ก็งดงามเกินกว่าที่เขาจะจินตนาการได้
ขุนถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาไม่รู้ว่าควรจะเริ่มต้นพูดคุยกับเดือนอย่างไร หลังจากที่เขาหายไปนานขนาดนี้ แต่เขาก็รู้ว่าเขาต้องทำ ต้องเผชิญหน้ากับความรู้สึกที่ค้างคาในใจของเธอ และของตัวเขาเองด้วย
บ่ายวันนั้น ขณะที่ขุนกำลังช่วยพี่เข้มเดินตรวจงานในไร่ลำไย เสียงรถกระบะสีขาวคุ้นตาคันหนึ่งก็แล่นเข้ามาจอดที่หน้าบ้าน ขุนจำรถคันนั้นได้ดี หัวใจของเขาเต้นระรัวด้วยความรู้สึกที่ปะปนกัน
ประตูรถเปิดออก พอล ชายหนุ่มร่างสูงโปร่ง หน้าตาคมเข้ม ก้าวลงมายืนยิ้มทักทายอย่างเป็นกันเอง ตามมาด้วย ลินดา หญิงสาวร่างเพรียว ใบหน้าสวยคมในชุดกระโปรงลายดอก เธอคือเจ้าของ ไร่ดอกไม้และคาเฟ่ชื่อดังที่อยู่ทางเหนือของไร่ลำไย ของพวกเขา ซึ่งเป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่สำคัญ และเป็นเพื่อนสนิทของพี่เข้ม
“พี่เข้ม! ไม่เจอกันนานเลยนะครับ” พอลเอ่ยทักทายพร้อมรอยยิ้มกว้าง ก่อนจะเดินเข้าไปตบไหล่พี่เข้มเบา ๆ
ลินดาเองก็ยิ้มให้พี่เข้มอย่างอบอุ่น “มาเยี่ยมถึงที่เลยค่ะ เห็นว่าช่วงนี้ผลผลิตลำไยน่าจะดี”
พี่เข้มพยักหน้าพลางยิ้มรับ “มาพอดีเลย งั้นอยู่กินข้าวเย็นด้วยกันนะ”
สายตาของพอลกับลินดาเหลือบมาเห็นขุนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ พี่เข้ม ใบหน้าของทั้งคู่ฉายแววประหลาดใจเล็กน้อย ก่อนที่รอยยิ้มจะกว้างขึ้นกว่าเดิม
“ขุน! นายกลับมาแล้วเหรอ!” พอลร้องออกมาด้วยความดีใจ เขาก้าวเข้ามาตบไหล่ขุนอย่างแรง “หายไปไหนมาวะ ไม่เห็นหน้าตั้งนาน”
ลินดาก็ยิ้มให้ขุนอย่างอ่อนโยน “ดีใจด้วยนะคะที่กลับมา”
ขุนยิ้มตอบอย่างเก้อเขิน เขายังไม่ชินกับการถูกทักทายแบบนี้หลังจากที่หายไปนาน “ครับ…เพิ่งกลับมาเมื่อวาน”
ทั้งสี่คนพากันเดินเข้าไปในบ้าน เสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะดังขึ้นมาเป็นระยะ บรรยากาศภายในบ้านที่เคยเงียบเหงาดูเหมือนจะกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง การมาของพอลและลินดาทำให้พี่เข้มดูผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด เขายิ้มและหัวเราะบ่อยขึ้นกว่าที่ขุนเคยเห็นมาตลอดหลายวันที่ผ่านมา
ในขณะเดียวกัน…
เดือน ที่กำลังช่วยคุณแม่ทำกับข้าวอยู่ในครัวที่บ้านของเธอเอง ได้ยินเสียงรถและเสียงคนคุยกันดังมาจากบ้านพี่เข้ม เธอแอบชะโงกหน้ามองออกไป เห็นเงาร่างคุ้นตาของพอลและลินดา เธอยิ้มบาง ๆ ที่มุมปาก แม้ทั้งสองจะไม่ค่อยเห็นและสังเกตว่าข้างไร่เพื่อนมีสาวน้อยอยู่ก็ตาม
แต่เมื่อเธอเห็นขุนยืนอยู่กับพวกเขา หัวใจของเดือนก็เต้นระรัวอีกครั้ง เธอรู้สึกอยากจะเข้าไปหาเขา อยากจะคุยกับเขาให้มากกว่านี้ แต่ความเขินอายและความประหม่าก็ยังคงเกาะกุมเธอไว้
เมื่อเห็นว่าทุกคนพากันเข้าไปในบ้านแล้ว เดือนก็ค่อย ๆ ย่องออกมาจากบ้านของเธอเอง เธอเดินเลียบแนวรั้วไปอย่างเงียบ ๆ ตรงไปยังบ้านของพี่เข้ม เมื่อมาถึงหน้าต่างบานหนึ่งที่เปิดอยู่ เดือนแอบชะโงกหน้าเข้าไปมอง
เธอเห็นขุนนั่งอยู่ตรงโต๊ะอาหารกับพี่เข้ม พอล และลินดา พวกเขากำลังคุยกันอย่างสนุกสนาน ใบหน้าของขุนดูผ่อนคลายและมีรอยยิ้มมากกว่าที่เธอเห็นเมื่อวานนี้
เดือนยืนอยู่นิ่ง ๆ ตรงหน้าต่างบานนั้น ปล่อยให้สายลมยามเย็นพัดปลิวผ่านปลายผมของเธอ กลิ่นของลำไยสุกและกลิ่นดินชื้นจากไร่ลอยเข้ามาปะปนกับกลิ่นกับข้าวที่ลอยออกมาจากบ้านของพี่เข้ม
ในใจของเธอ...เต็มไปด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก
ดีใจ...ที่เขากลับมา
กลัว...ว่าเขาจะจากไปอีก
หวัง...ว่าเขายังจำคำสัญญาในวัยเด็กนั้นได้
และคิดถึง...มากจนเธอไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยคำว่า "คิดถึง" ต่อหน้าเขา
เธออยากเข้าไป อยากร่วมโต๊ะ อยากนั่งฟังเสียงหัวเราะของทุกคน
แต่ราวกับบางสิ่งกำลังกั้นไว้ ความกลัวที่ยังไม่กล้าก้าวข้าม
เธอเงียบอยู่ตรงนั้นอีกสักพัก ก่อนจะยิ้มบาง ๆ ให้กับตัวเอง แล้วค่อย ๆ ถอยกลับ เดินเลียบรั้วกลับบ้านด้วยฝีเท้าเบา ๆ เหมือนคนที่ไม่อยากให้ใครรู้ว่าเคยมายืนตรงนี้
ในคืนนั้น หลังจากที่แขกกลับไปแล้ว ขุนเดินออกมาหน้าบ้าน
ลมเย็นพัดมาเบา ๆ
เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ดวงดาวส่องแสงสว่างเหมือนคืนเก่า ๆ ที่เขาเคยนั่งดูดาวกับแม่ กับเดือน กับพี่เข้ม
แต่วันนี้แม่ไม่อยู่แล้ว
พี่เข้มเงียบกว่าเดิม
และเดือน…ก็ยืนอยู่ไกลกว่าเดิมเพียงแค่รั้วบาง ๆ
ขุนถอนหายใจเฮือกหนึ่งก่อนจะเดินไปที่ข้างบ้าน เดินไปตามแนวรั้วที่เชื่อมไปถึงบ้านของเดือนโดยไม่ตั้งใจ
แต่เขาหยุดเท้าเมื่อเห็นบางสิ่งวางอยู่บนรั้ว
ถ้วยดินเผาเล็ก ๆ สีเทา มีดอกพุดขาวเสียบไว้ พร้อมกระดาษโน้ตแผ่นเล็กที่พับครึ่ง
ขุนเปิดมันออก
ในนั้นมีเพียงข้อความสั้น ๆ ที่เขียนด้วยลายมือเรียบง่าย
“ขอบคุณที่กลับมานะคะ เดือน”
ขุนยืนนิ่งอยู่นาน มองข้อความนั้นอยู่นานกว่าเวลาที่ใช้เปิดมันออก
เขาเงยหน้าขึ้นมองไปยังบ้านของเธอ
หน้าต่างปิดม่านไว้ เงาเลือนรางของโคมไฟภายในส่องออกมาอ่อน ๆ
หัวใจของเขาเต้นช้าลง แต่แน่นขึ้น ราวกับมีบางอย่างกำลังไหลย้อนกลับเข้ามา
เขาวางถ้วยดินเผาลงอย่างเบามือ ยิ้มมุมปากอย่างเงียบ ๆ
ขุนไม่ได้พูดอะไร
ไม่ได้ตอบกลับในคืนนั้น
แต่ความเงียบของเขา…เต็มไปด้วยคำตอบมากมายกว่าคำพูดใด