วันเดินทางมาถึง ท้องฟ้าแจ่มใสผิดกับคืนก่อน ๆ ที่มืดครึ้ม ขุน ตื่นแต่เช้า จัดกระเป๋าเสื้อผ้าเพียงไม่กี่ชุดลงในกระเป๋าเดินทางใบเก่า ความรู้สึกตื่นเต้นระคนสับสนยังคงวนเวียนอยู่ในใจ
หลังจากทานอาหารเช้าที่ ข้าวหอม เตรียมไว้ให้ ขุนก็เดินออกมาที่หน้าบ้าน พี่เข้ม ยืนรออยู่แล้ว ข้าง ๆ เขาคือรถกระบะคันเก่าของไร่ สีซีดจางไปตามกาลเวลา แต่ก็ยังดูดีและใช้งานได้
“รถคันนี้…พี่ให้แกเอาไปใช้ในเมือง” พี่เข้มพูดขึ้น น้ำเสียงของเขานิ่งเรียบ แต่แววตาเต็มไปด้วยความห่วงใย “มันอาจจะเก่าหน่อย แต่ก็ยังวิ่งได้ดี ดูแลมันดี ๆ นะ”
ขุนมองรถคันนั้นด้วยความรู้สึกตื้นตันใจ เขาไม่คิดว่าพี่เข้มจะให้รถเขาไปใช้ในเมือง “ขอบคุณครับพี่”
พี่เข้มวางมือบนไหล่น้องชาย “ไปถึงแล้วก็ตั้งใจเรียนนะ ไม่ต้องห่วงทางนี้”
ขุนพยักหน้า เขารับกุญแจรถมาจากพี่เข้ม ก่อนจะเดินไปเปิดประตูรถ เตรียมตัวที่จะก้าวเข้าไป
ก่อนที่จะสตาร์ทรถ ขุนเหลือบมองไปยัง บ้านของเดือน ที่อยู่ไม่ไกลนัก เขาสัมผัสได้ถึงความเงียบสงบที่ปกคลุมอยู่ แต่ในใจก็อดคิดถึงเธอไม่ได้
เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะเสียบกุญแจและบิดสตาร์ทเครื่องยนต์ เสียงเครื่องยนต์เก่า ๆ ดังกระหึ่มขึ้นมา
ในวินาทีนั้นเอง…
เดือน ที่แอบมองขุนอยู่จากหน้าต่างห้องนอนของเธอมาตลอด ตั้งแต่เห็นเขากำลังจัดกระเป๋า เห็นเข้มให้รถ และเห็นเขากำลังจะจากไปอีกครั้ง หัวใจของเธอก็บีบรัดจนทนไม่ไหว
เธอตัดสินใจในชั่วพริบตา เดือนรีบวิ่งลงมาจากบ้าน วิ่งสุดฝีเท้าตรงไปยังรถกระบะของขุนที่กำลังสตาร์ทเครื่อง
“พี่ขุน!!!” เดือนตะโกนเรียกชื่อเขาเสียงดังสุดกำลัง
ขุนที่กำลังจะเหยียบคันเร่งชะงักไป เขามองกระจกหลัง เห็นร่างของเดือนที่วิ่งมาหาด้วยความเร็ว ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา
ขุนรีบดับเครื่องยนต์ แล้วเปิดประตูรถออก เดือนวิ่งมาถึงตัวเขาพอดี เธอโผเข้ากอดขุนแน่นอย่างไม่ลังเล อ้อมกอดที่เต็มไปด้วยความรู้สึกทั้งหมดที่เธอเก็บซ่อนไว้ตลอดเจ็ดปีที่ผ่านมา
ขุนรู้สึกถึงแรงกอดที่แน่นหนา และหยาดน้ำตาของเดือนที่ซึมผ่านเสื้อเชิ้ตของเขา เขายืนนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนจะค่อย ๆ ยกมือขึ้นโอบกอดตอบเธออย่างแผ่วเบา
“เดือน…” ขุนเอ่ยเรียกชื่อเธอเสียงแผ่ว “เป็นอะไรไป”
เดือนเงยหน้าขึ้นมองเขา ดวงตาของเธอแดงก่ำ “หนู…หนูคิดถึงพี่ขุน” เธอพูดเสียงสั่นเครือ “อย่าหายไปอีกนะคะ”
คำพูดนั้นทำให้หัวใจของขุนบีบรัด เขาไม่รู้จะตอบเธออย่างไรดี เขาทำได้เพียงแค่กอดเธอแน่นขึ้นอีกนิด ปล่อยให้ความรู้สึกทั้งหมดที่อัดอั้นอยู่ในใจของทั้งคู่ถูกถ่ายทอดผ่านอ้อมกอดแห่งการจากลาครั้งนี้
อ้อมกอดของ เดือน ทำให้ ขุน รู้สึกราวกับถูกตรึงอยู่กับที่ เขาไม่คาดคิดว่าเธอจะวิ่งมาหาและกอดเขาแน่นขนาดนี้ ความรู้สึกผิดบาปที่อยู่ในใจตลอดเจ็ดปีถูกกระตุ้นขึ้นมาอีกครั้งเมื่อสัมผัสได้ถึงหยาดน้ำตาของเธอ
“เดือน…พี่ขอโทษ” ขุนกระซิบเสียงแผ่ว ไม่รู้จะพูดอะไรได้มากกว่านั้น
เดือนผละออกจากอ้อมกอดช้า ๆ ดวงตาแดงก่ำจ้องมองขุนอย่างแน่วแน่ แม้จะมีน้ำตาคลอ แต่แววตาของเธอกลับเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นที่ทำให้ขุนประหลาดใจ
“พี่ขุนจำได้ไหมคะ” เดือนเอ่ยถาม เสียงของเธอสั่นเครือแต่ชัดเจน “ว่าตอนเด็ก ๆ เดือนเคยบอกว่า…โตขึ้นหนูจะแต่งงานกับพี่ขุน”
คำพูดนั้นราวกับสายฟ้าฟาดลงกลางใจของขุน เขานิ่งไปทันที ไม่คิดว่าเดือนจะเอ่ยถึงคำสัญญานั้นออกมาตรง ๆ ในตอนนี้ ภาพของเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ที่ยื่นดอกเข็มให้ผุดขึ้นมาในหัวอีกครั้ง
ขุนมองเดือน เขาสังเกตเห็นความจริงจังในดวงตาของเธอ ไม่ใช่เพียงแค่ความทรงจำในวัยเด็ก แต่เป็นความรู้สึกที่ยังคงอยู่จริง
“เดือน…” ขุนพึมพำ เขาไม่รู้จะตอบอย่างไรดี ความรู้สึกมากมายถาโถมเข้ามา ทั้งความประหลาดใจ ความตื้นตันใจ และความเจ็บปวดจากอดีตที่ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองไม่คู่ควร
เดือนเห็นความลังเลในแววตาของขุน แต่เธอก็เลือกที่จะพูดต่อ เธอรู้ว่านี่อาจเป็นโอกาสสุดท้ายที่เธอจะได้บอกความรู้สึกของเธอให้เขาฟังก่อนที่เขาจะจากไปอีกครั้ง
“หนู…หนูไม่เคยลืมเลยนะคะพี่ขุน” เดือนพูดเสียงอ่อนลง “หนูรอพี่ขุนมาตลอด…รอว่าเมื่อไหร่พี่ขุนจะกลับมา”
คำพูดของเดือนทำให้ขุนรู้สึกจุกในลำคอ เขาสัมผัสได้ถึงความจริงใจ ความผูกพัน และความเจ็บปวดจากการรอคอยที่เดือนต้องแบกรับมาโดยตลอด เขาอยากจะบอกเธอว่าเขาเองก็ไม่เคยลืมคำสัญญานั้น แต่ชีวิตในเมืองใหญ่และเรื่องราวต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาทำให้เขาเปลี่ยนไปมาก จนไม่กล้าที่จะยึดมั่นในคำพูดที่ไร้เดียงสาในวัยเด็ก
พี่เข้ม ที่ยืนมองอยู่ห่าง ๆ เงียบ ๆ มาตลอด ก็เดินเข้ามาใกล้
“ขุน…ถึงเวลาแล้วนะ” พี่เข้มเอ่ยขึ้นเบา ๆ น้ำเสียงของเขานิ่ง แต่แววตาเต็มไปด้วยความเข้าใจ
ขุนหลับตาลงชั่วครู่ เขาหันกลับไปมองเดือนอีกครั้ง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย
“เดือน…พี่…พี่ขอโทษ” ขุนเอ่ยซ้ำอีกครั้ง “พี่ต้องไปแล้ว”
เขาไม่ได้ให้คำตอบใด ๆ กับคำสัญญาของเดือน แต่เลือกที่จะขอโทษอีกครั้ง ซึ่งทำให้เดือนรู้สึกเจ็บปวดไม่น้อย เธอพยักหน้ารับช้า ๆ ปล่อยให้หยาดน้ำตาไหลอาบแก้มอีกครั้ง
ขุนก้าวเข้าไปในรถ เขาบิดกุญแจสตาร์ทเครื่องยนต์อีกครั้ง เสียงเครื่องยนต์เก่า ๆ ดังกระหึ่มขึ้นมา ขุนขับรถออกไปช้า ๆ ผ่านสายตาของเดือนที่ยืนมองเขาอยู่ตรงนั้น
เดือนยืนนิ่งอยู่หน้าบ้าน มองรถของขุนที่ค่อย ๆ แล่นห่างออกไปจนลับสายตา เธอปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาอย่างเงียบ ๆ พร้อมกับความรู้สึกเจ็บปวดที่ทบทวีคูณ
คำสัญญาในวัยเด็ก…ยังคงเป็นคำสัญญาที่เฝ้ารอ และเธอก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่มันจะถูกเติมเต็ม
เสียงรถกระบะของขุนหายลับไปทางถนนดินที่ทอดผ่านแนวลำไยสลับกับดอกหญ้าแห้ง
ฝุ่นจากล้อรถค่อย ๆ จางลง เหลือเพียงความเงียบสงบที่ปกคลุมไร่อีกครั้ง
เงียบเกินกว่าจะเป็นเพียงความสงบของเช้า
เพราะในความเงียบนั้น มีเสียงของหัวใจที่แตกละเอียด…ทั้งสองดวง
เดือนยังคงยืนอยู่ตรงนั้น ไม่มีคำพูด ไม่มีการขยับใด ๆ เธอไม่รู้เลยว่าเวลาผ่านไปกี่นาที หรือกี่ชั่วโมง รู้แค่ว่าเธอไม่กล้าหันหลังกลับ เพราะกลัวว่าความรู้สึกที่เพิ่งพูดออกไป จะหล่นหายอยู่กลางลานดิน
คุณแม่ของเดือนเดินออกมาจากบ้านอย่างเงียบ ๆ
เธอไม่ได้เอ่ยถามใด ๆ เพียงแค่มองลูกสาวของตนอย่างเข้าใจ
ก่อนจะค่อย ๆ เดินเข้าไปโอบไหล่เล็ก ๆ นั้นเบา ๆ
“ไม่เป็นไรหรอกลูก…ถ้าเขาใช่จริง ๆ เขาจะกลับมา”
คำพูดเพียงประโยคนั้น ทำให้เดือนน้ำตาไหลอีกระลอก
เธอพยักหน้าเบา ๆ ไม่กล้าสบตาแม่ แต่หัวใจก็เหมือนถูกปลอบอย่างแผ่วเบา
อีกฟากหนึ่ง
บนทางหลวงสายยาวที่ทอดไปยังเมืองใหญ่
ขุนขับรถโดยไม่เปิดเพลง เขาปล่อยให้เสียงเครื่องยนต์และลมจากหน้าต่างที่เปิดแง้มกล่อมความเงียบของเขา
แต่ในใจ…ไม่ได้เงียบเลยแม้แต่น้อย
ทุกคำพูดของเดือนยังวนอยู่ในหัวเขา
ทุกหยดน้ำตาของเธอยังอุ่นอยู่บนอกเสื้อ
และภาพสุดท้ายของรอยยิ้มเจื่อน ๆ ใต้ตาคลอของเธอ ก็ยังตามหลอกเขาทุกครั้งที่หลับตา
เขายกมือขึ้นแตะที่พวงมาลัยแน่นขึ้น
แล้วเผลอกระซิบเบา ๆ กับตัวเอง
“…พี่ก็ไม่อยากหายไปอีกเหมือนกัน เดือน”
แต่เขาก็ยังขับต่อไป
เพราะบางครั้ง…การหายไปอีกครั้ง อาจเป็นสิ่งเดียวที่จะทำให้เขากลับมาได้อย่างมั่นคง
ในห้องนอนของเดือน คืนนั้นเธอหยิบกล่องไม้เล็ก ๆ ใบหนึ่งออกมาจากใต้เตียง
กล่องที่เก็บของตั้งแต่สมัยประถมจดหมาย ดอกไม้แห้ง กระดุมเสื้อที่ขุนเคยซ่อมให้ และดอกเข็มที่เธอเคยยื่นให้เขาตอนพูดคำสัญญา
เดือนเปิดกล่องอย่างระมัดระวัง
เธอหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นมา เป็นลายมือเด็ก ๆ เขียนด้วยปากกาสีชมพูที่จางไปตามกาลเวลา
"พี่ขุนห้ามลืมคำสัญญานะ ถ้าเดือนโตแล้ว พี่ต้องแต่งงานกับเดือน"
เดือนหลับตาลงแนบกระดาษไว้กับอก
แม้น้ำตาจะยังรินไหล
แต่ครั้งนี้…หัวใจของเธอไม่ได้แตกสลายเหมือนเช้านั้นอีกต่อไป
เพราะอย่างน้อย วันนี้เธอก็ได้พูดมันออกไปแล้ว
และไม่ว่าเขาจะกลับมาตอนไหน…หัวใจของเธอก็จะยังรออยู่ที่เดิม