อัจฉรายกหม้อข้าวต้มลงจากเตาด้วยมือที่สั่นนิด ๆ ผ่อนลมหายใจออกมา สุดท้ายก็ทำเสร็จเสียที เธอตักข้าวต้มใส่ชาม โรยต้นหอมและกระเทียมเจียว แล้วนำไปวางลงบนโต๊ะอาหาร ดวงตาที่อ่อนล้าอย่างชัดเจนกวาดมองห้องโล่งหรูที่เงียบผิดปกติ
ทีวีจอใหญ่ยังคงเปิดค้างเอาไว้ ฉายรายการข่าวรอบดึก แต่คนที่เคยนั่งดูอยู่ตรงนั้น ตอนนี้ไร้วี่แววของตัวตน หญิงสาวไม่รู้ว่าเขาหายไปเมื่อไหร่ ทว่าการไม่เห็นก็ใช่ว่าความหนักอึ้งในอากาศจะหายไป
อัจฉราเผลอเม้มปากเล็กน้อย ยังคงสัมผัสได้ถึงความรู้สึกร้อนผ่าวเหนือริมฝีปากจากเหตุการณ์ก่อนหน้า ตรึงตราอย่างยากที่จะลืมเลือน แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็พยายามปฏิเสธที่จะรู้สึกถึงมันอยู่ดี หล่อนส่ายหัวเบา ๆ สูดหายใจเข้าลึก เรียกสติให้หยุดเพ้อเสียที
“ก็แค่จูบ... จะไปคิดมากทำไม ขนาดจูบกับหมายังไม่เห็นต้องคิดอะไรเลย”
แม้ว่าความรู้สึกปวดหนึบผสมกับความขุ่นเคืองมันยังคงกัดเซาะหัวใจของเธออยู่ก็ตาม...
“.....”
ริมฝีปากหยักคลี่ยิ้มหยัน คำพูดของอัจฉรากระทบเข้าสู่โสตประสาทชัดเจนเลยทีเดียว นทียืนอยู่ที่ตีนบันไดทางลงจากชั้นสองของเพนท์เฮาส์กว้าง และยืนอยู่ตรงนี้นานพอที่จะเห็นทุกการกระทำของอัจฉราตั้งแต่แรก จนตอนนี้ร่างเล็กนั่นเดินกลับเข้าไปหลังเคาน์เตอร์กั้นโซนครัวแล้ว
“จูบหมาเหรอ? คิดได้นะ”
เขาพึมพำกับตัวเอง รู้สึกขบขันระคนขัดใจเล็กน้อย ที่เหยื่อตัวน้อยตัวดีของเขากล้าเปรียบเทียบรสจูบของเขากับสัตว์เดรัจฉานชั้นต่ำ ทำอย่างกับมันน่าอัปยศนักหนา ทั้งที่จูบของเขา... ร้อนแรงไม่แพ้ใครแท้ ๆ
นทียืนพิงราวบันไดที่ทำจากกระจกใส คอยจับตาดูการเคลื่อนไหวของอัจฉราต่อไปเงียบ ๆ เหมือนนักล่าที่รอจังหวะขยับออกจากเงามืด เขาสวมเสื้อยืดสีดำและกางเกงวอร์มขายาวสีเทา ผมยังหมาดอยู่นิด ๆ เหมือนเพิ่งอาบน้ำเสร็จมา กลมกลืนไปกับโทนสีเข้มของที่อยู่อาศัยของเขา
ทว่าเมื่อเห็นอีกฝ่ายยังเหมือนจะไม่รู้ตัว ชายหนุ่มก็ค่อย ๆ เคลื่อนไหว ก้าวเท้าลงจากบันไดขั้นสุดท้ายอย่างช้า ๆ จงใจทุกฝีก้าวจนมาถึงโต๊ะอาหาร สายตากดลงมองชามข้าวต้มหมูสับร้อน ๆ หอมน้ำมันกระเทียมเจียว
ก่อนจะมองไปยังแผ่นหลังเล็กที่โค้งงอลงเล็กน้อยเพราะความเหนื่อยล้า สายตาวาวโรจน์ ราวกับกำลังเฝ้ามองนกน้อยที่กำลังกระพือปีก เคลื่อนเกาะคอนไม้ในกรงทองที่เปิดประตูทิ้งเอาไว้ไปมา ช่างเป็นภาพที่แปลกตา... แต่น่าพึงพอใจอย่างถึงที่สุด
“ข้าวต้มน่ากินดีนะ”
เสียงทุ้มราบเรียบจงใจเอ่ยให้ดังเหนือความเงียบ เพียงพอที่จะให้คนตัวเล็กซึ่งกำลังง่วนอยู่กับการเก็บล้างในครัวสะดุ้งเบา ๆ ตามคาด มุมปากช้ำเล็กน้อยกระตุกยิ้มพร้อมเสียงหัวเราะในลำคอ
“.....”
อัจฉรากลืนน้ำลายลิ้มรสขมปร่าในปากอย่างหนืดคอ หัวใจเต้นระรัว หยุดทุกการเคลื่อนไหวในทันที โดยไม่มีการตอบกลับใด ๆ เกิดขึ้น เธอรู้สึกเย็นวาบแทบจะรับรู้ได้ถึงสายตาที่มองมาจากข้างหลัง เสียงครูดเก้าอี้กับพื้นหินอ่อนก็ดังขึ้น นทีหย่อนกายนั่งลงด้วยความเนิบนาบอย่างจงใจ
“หอม...”
ขณะที่พูดมือใหญ่ก็ยื่นออกไปหยิบช้อนสั้นคนข้าวต้มเบา ๆ แล้วก็ตักขึ้นมาช้อนหนึ่งจรดริมฝีปาก ลิ้มรสชาติที่คุ้นเคยบนลิ้น ก่อนจะกลืนลงไปอย่างละเลียด โดยที่เขายังคงจ้องมองแผ่นหลังเล็กที่เกร็งทื่อขึ้น ภายใต้สายตาของเขาที่พุ่งแรงกดดันเข้าใส่เธออย่างมหาศาล
“อร่อยดี... รสชาติยังเหมือนเดิม แต่กระเทียมเจียวขมไปหน่อยนะ”
อัจฉราฟังเสียงช้อนกระทบกับชามเซรามิก รู้สึกอัดอั้น เหมือนหัวใจที่ถูกสูบลมใส่เต็มที่ พองโตจนตึงเครียดแทบจะระเบิด มือบางกำผ้าเช็ดจานแน่นขึ้นเล็กน้อย เธอไม่รู้จะต้องตอบสนองอย่างไรดี เธอยังรู้สึกเคืองเขา แต่อีกใจหนึ่งมันก็คอยจะขบถต่อความตั้งใจของเธออยู่เรื่อย
“เนยใช้ของที่มีทำง่าย ๆ ส่วนกระเทียมเจียว... เนยดูแล้วมันก็ไม่ไหม้นะคะ”
อัจฉราสูดหายใจเข้าเบา ๆ สรุปเธอเลือกที่จะตอบกลับ พยายามควบคุมน้ำเสียงที่เรียบเฉย แล้วจึงหันกลับไปมองคนที่บ่นแต่ก็ยังคงนั่งกินอยู่ สีหน้าราบเรียบ หลุบตามองพื้น กลบเกลื่อนความยุ่งเหยิงในใจ
“แต่ถ้าคุณนทีว่ามันขม เดี๋ยวตักชามใหม่แบบไม่ใส่กระเทียมเจียวให้ก็ได้นะคะ”
“ไม่ต้อง ฉันอิ่มแล้ว... พอดี”
เมื่ออีกฝ่ายพูดจบ คิ้วโก่งรับกับใบหน้าเป็นต้องขมวดเข้าหากันเล็กน้อย เธอเงยหน้ามองชามข้าวต้มที่วางอยู่ตรงหน้าของนที ทำให้เขาแสยะยิ้มเล็กน้อย ราวกับคาดการได้อยู่แล้วว่าอัจฉราจะต้องมีปฏิกิริยาเช่นนี้
“มาเก็บเอาไปล้างสิ...”
นทีว่าพลางปล่อยช้อนในมือกระแทกขอบเซรามิกเสียงดังกริ๊กอย่างจงใจกวนประสาท มองเห็นริมฝีปากของเธอเม้มเข้าหากัน เขาสูดหายใจเข้าก่อนจะพูดต่อ
“แล้วก็ทิ้งที่เหลืออยู่ไปให้หมดเลยด้วย... อย่าเก็บเอาไว้ เพราะฉันไม่ค่อยชอบกินของอุ่นซ้ำ ๆ”
“ค่ะ”
อัจฉราตอบกลับเสียงเบา น้ำเสียงแหบแห้งเล็กน้อย จำยอมอย่างปฏิเสธไม่ได้ เธอเดินมาเก็บชาม ยิ่งเข้าใกล้ นทีก็ยิ่งเห็นความอ่อนเพลียของหล่อนชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นสีหน้าที่ซีดเซียว เม็ดเหงื่อตามกรอบหน้า หรือแม้แต่ความแห้งแตกของริมฝีปากที่เขาเคยบดขยี้
“.....”
ดวงตาคู่สวยที่ขอบตาลึกกว่าปกติเล็กน้อย เผลอชำเลืองมองคนที่ยังนั่งนิ่ง แต่ก็ต้องหลบตาเมื่อปะทะกับเจ้าของนัยน์คู่คมเข้าอย่างจัง มือที่สั่นเล็กน้อยรีบยื่นออกยกชามข้าวมาถือเอาไว้ทันที สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นใต้ฝ่ามือที่แทบไม่ลดลงเลย ก็อดที่จะแอบกดด่าทางสายตา
‘สั่งให้ทำดึก ๆ แต่มาบอกว่าอิ่มแล้ว... ดมกลิ่นแล้วอิ่มทิพย์หรือไงกัน เป็นคนใช้ก็คนเหมือนกันนะ’
“ถ้าจะขนาดนั้นพูดออกมาเลยก็ได้นะ ไม่ต้องแอบด่าฉันผ่านสายตาหรอก”
คำพูดรู้ทันของนทีตัดผ่านความเงียบขึ้นมา ทำให้อัจฉราใจหายวาบ สะดุ้งเล็กน้อยด้วยความตกใจผสมอาย เพราะลืมไปเสียสนิทว่าคนปากร้าย ตาดี หูไว สมกับที่ประกอบวิชาชีพทนายความอันลือชื่อของเขาจริง ๆ
กระนั้นอัจฉราก็ไม่ได้โต้ตอบอะไรอีกแล้ว เธอสะกดกลั้นความเจ็บใจเอาไว้ ความอดทนประเภทนั้นทำให้นทีต้องหัวเราะ ‘หึ’ ออกมา มองร่างเล็กกลับเข้าไปในครัว เทข้าวต้มที่เหลืออยู่แทบเต็มชามลงถังขยะตามคำสั่งอย่างน่าพึงพอใจ
คนร่างบางเดินวนรอบราวกับหนูติดจั่น แต่เป็นหนูที่ยังละทิ้งหน้าที่ของตนเองไปไม่ได้เสียที กลีบปากอวบอิ่มเม้มเข้าหากัน หัวใจเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ ทั้งยังปวดหัวตุบ ๆ อย่างไม่สบายตัวจนต้องสะบัดหัวเบา ๆ เดินไปที่อ่างล้างจาน
ทุกอย่างอยู่ในสายตาของนที ซึ่งกำลังจิบน้ำเปล่าเงียบ ๆ อยู่ที่เดิม ความอ่อนแอของอัจฉราเริ่มชัดเจนมากขึ้น เธอฝืนร่างกายทำงานหนักตลอดทั้งวันและคืนจนเห็นผล ทว่านทีไม่ได้รู้สึกผิดเลยแม้แต่น้อยที่ใช้เธอขนาดนี้ ทั้งที่เห็นอยู่ว่าสภาพของหญิงสาวเกินจะรับไหวแล้ว
กระทั่งชามเซรามิกลื่นฟองสบู่ในมือของหล่อนร่วงลงพื้นเสียงดัง ‘เพล้ง!’ กระเบื้องสีขาวแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยบนพื้นหินอ่อนสีดำ ริมฝีปากหยักได้รูปเหยียดออก สีหน้าราบเรียบทันที ขณะที่คนร่างบางเริ่มยืนโงนเงนต่อหน้าต่อตา
“ฉิบหาย...”
เสียงทุ้มสบถออกมา ความพอใจเปลี่ยนเป็นความไม่สบอารมณ์ทันที ร่างสูงดันตัวเองลุกออกจากเก้าอี้ครูดพื้นเสียงดัง สายตาตรึงอยู่ที่อัจฉราซึ่งกำลังจะล้มลง เพียงแต่ขยับเท้าไม่กี่ก้าวเท่านั้น เขาก็พุ่งเข้าไปประคองร่างเธอเอาไว้ได้อย่างฉิวเฉียด
“เนย... เธอได้ยินฉันไหม”
นทีเรียกชื่อเสียงกดต่ำ เขย่าร่างของคนในอ้อมแขน คิ้วของเขาขมวดแน่น กัดกรามจนเป็นสันนูน หัวใจเต้นระรัวด้วยความรู้สึกเดือดดาลผสานกับความรำคาญอย่างถึงที่สุด เมื่ออัจฉราไม่ยอมตอบสนอง มิหนำซ้ำตัวของเธอยังร้อนฉ่าอย่างกับไฟ
“วันหนึ่งแม่งจะสลบไปได้อีกกี่รอบ... หมอให้ยามาได้แดกบ้างไหมวะ”
วาจาร้ายกาจพ่นออกมา ขณะที่เขาจ้องมองใบหน้าซีดเผือดของอัจฉรา ดวงตาปิดพริ้มตัดขาดจากการรับรู้ เห็นแล้วมันก็หงุดหงิดจนสบถคำหยาบออกมาชุดใหญ่ ทว่าวาจาจะร้ายกาจเพียงใด นทีก็ไม่รอช้าที่จะช้อนร่างบางอุ้มขึ้นในท่าเจ้าสาว ใช้เท้าเขี่ยเศษชามแตกบนพื้นให้พ้นทาง
ก่อนจะก้าวเท้าฉับ ๆ พาอัจฉรามุ่งหน้าขึ้นสู่ชั้นสอง แขนแกร่งกระชับรอบร่างที่อ่อนปวกเปียกเอาไว้กันไม่ให้เผลอทำเธอตก ขณะที่เขาเดินขึ้นบันไดทีละสองขั้น จุดหมายคือห้องนอนใหญ่ของเขาเองอย่างไม่ลังเล
นทีใช้ศอกกระทุ้งประตูที่ปิดไม่สนิทให้เปิดออก เผยให้เห็นห้องนอนกว้างขวาง มีกระจกหน้าต่างบานใหญ่เห็นวิวเมือง ตกแต่งสไตล์โมเดิร์นหรูหรา เน้นสีเทาดำเป็นพิเศษ ทั้งของตกแต่งและเฟอร์นิเจอร์ ทุกอย่างดูเรียบร้อยเข้าที่ เหมือนกับเตียงนอนขนาดคิงไซซ์กลางห้อง
ชายหนุ่มวางร่างของหญิงสาวให้นอนบนเตียงที่ขึงด้วยผ้าปูที่นอนสีเทาเข้มและเครื่องนอนเข้าชุดลงด้วยความนุ่มนวลกว่าปกติ แล้วนั่งลงข้างเธอ น้ำหนักของเขาทำให้ฟูกนุ่มยุบเล็กน้อย ผิดไปจากคนร่างบางที่ยังจดจำน้ำหนักที่เบาราวกับขนนกได้ดี
นทีถอนหายใจออกมาอย่างหนัก มองดวงหน้าที่หลับตาพริ้ม สีหน้าของเขาราบเรียบแต่แววตาฉายประกายความรำคาญอย่างชัดเจน บางอย่างที่คล้ายกับความร้อนใจลึก ๆ ยื่นมือออกไปเหนือหน้าผาก ปลายนิ้วเกลี่ยปอยผมสีแดงออกอย่างแผ่วเบา ก่อนทาบฝ่ามือหนาลงบนหน้าผากเพื่อวัดอุณหภูมิ
ความร้อนที่ระอุออกมาก็ทำให้เขาเข้าใจได้เลยว่าอัจฉรานั้นพังลงสมใจอยากแล้ว ทว่ากลับไม่รู้สึกสมใจเลยสักนิด ร่างกายของเธอต่างหากที่กำลังพัง ไม่ใช่จิตวิญญาณอย่างที่ต้องการเห็น เพราะถึงไข้ขึ้นสูงจนสลบ... เธอแม่งยังรั้นไม่ยอมปริปากพูดออกมาสักคำว่า ‘ไม่ไหว’
“หาภาระให้ตัวเองทำเหี้ยอะไรของมึงวะ...”
เขาบ่นพึมพำกับตัวเอง ชักมือออกจากหน้าผากเนียน ลุกขึ้นยืนเหนือร่างที่นอนอยู่ สูดหายใจเข้าเบา ๆ ก่อนจะหันหลังออกไปจากห้องอย่างเงียบเชียบ
“ซวยจริง ๆ กู”