Prologue
2 ปีที่แล้ว...
เสียงเพลงแจ๊สดังคลออย่างต่อเนื่องท่ามกลางบรรยากาศของร้านกาแฟที่ผู้คนกำลังเดินเข้าออกขวักไขว่ในช่วงเวลาเที่ยงวัน เวฬากำลังนั่งเขียนนิยายเรื่องใหม่ของเขาอย่างตั้งใจ ข้างกายมีแก้วกาแฟอเมริกาโนเย็นที่ถูกดูดไปครึ่งหนึ่งวางไว้ใกล้ๆ เขานั่งอยู่ที่มุมนี้มาตั้งแต่ช่วงเวลาสิบนาฬิกาที่ร้านเปิดจนกระทั่งถึงตอนนี้โดยที่ลุกไปเข้าห้องน้ำเพียงครั้งเดียว เขาจดจ่ออยู่กับงานเขียนชิ้นนี้เป็นอย่างมาก เพราะคาดหวังว่าจะให้มันประสบความสำเร็จบ้างสักครั้ง ซึ่งที่ผ่านมาแม้ว่าเขาจะออกผลงานมาถึงหกเรื่องแล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่มีเรื่องไหนที่ประสบความสำเร็จจนทำให้เขาเป็นที่รู้จักในฐานะนักเขียนเลยแม้แต่เล่มเดียว หนังสือที่พอจะสร้างรายได้ให้เขาได้มากที่สุดก็เหมือนจะมีเพียงแค่เล่มแรกเท่านั้น เล่มต่อๆ มาก็มีจำนวนคนอ่านน้อยมาโดยตลอด
หลายครั้งที่เวฬาท้อใจจนอยากจะเลิกเขียนนิยาย แต่มันก็ทำไม่ได้เพราะนี่คือสิ่งเดียวที่เขาทำแล้วมีความสุขแม้จะมีรายได้น้อยจนอยู่ในขั้นที่เรียกได้ว่าเป็นนักเขียนไส้แห้งก็ตาม แม่ของเขาก็บอกอยู่ตลอดว่าให้ไปหางานประจำทำได้แล้วแต่ก็ดูเหมือนจะไม่นำพาสักเท่าไหร่ ความหลงใหลในเสียงกดแป้นพิมพ์กับการได้จดจ่ออยู่กับตัวอักษรบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ยังคงเด่นชัดในใจของเขาจนยากที่จะละทิ้งมันไปได้
“อื้อออ...” เวฬาหยุดเรียวนิ้วที่กำลังกดพิมพ์ตัวหนังสือเมื่อนึกขึ้นมาได้ว่านั่งจดจ่ออยู่หน้าจอมานานเกินไปแล้ว คำพูดของคุณหมอที่ฝังเข็มลดอาการปวดบริเวณหลังส่วนล่างและก้นกบผุดขึ้นมาในหัวของเขาว่าไม่ควรจะนั่งท่าเดียวเป็นระยะเวลานานเกินไป อย่างมากที่สุดก็ไม่ควรเกิน 30-40 นาทีแล้วลุกยืนหรือเดินเพื่อเปลี่ยนท่าทางบ้าง เพราะไม่อย่างนั้นจะทำให้อาการกลับมากำเริบอีก ซึ่งหากยังไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการทำงาน ฝังเข็มให้ตายก็ไม่มีวันหายอยู่ดี เขาจึงยืดเหยียดแขนออกไปจนสุดความยาวเพื่อบิดขี้เกียจก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปยังหน้าแคชเชียร์เพื่อสั่งขนมหวานอีกสักชิ้นเพราะหวังใจว่าการกินของหวานจะช่วยให้อารมณ์ของเขาดีขึ้น งานเขียนของเขาจะได้ดำเนินไปได้อย่างราบรื่นกว่าในตอนนี้
“รับอะไรดีคะ” สาวน้อยยิ้มแป้นเอ่ยถามเมื่อเห็นหนุ่มร่างสูงเดินงัวเงียเข้ามายืนมองอยู่บริเวณหน้าตู้เค้ก
“ขอเค้กมะพร้าวชิ้นหนึ่งครับ” เวฬาเอ่ยบอกพลางชี้นิ้วไปยังชิ้นเค้กสีขาวนวล มีเนื้อมะพร้าวประดับอยู่ด้านบนที่แช่อยู่ในตู้
“ได้ค่ะ” หญิงสาวตอบรับก่อนจะเดินไปหยิบเค้กชิ้นนั้นออกมาจากตู้แช่ “รับเครื่องดื่มเพิ่มไหมคะ?”
“ไม่ครับ กาแฟที่สั่งไปยังกินไม่หมดเลยครับ”
“โอเคค่ะ ทั้งหมด 95 บาทค่ะ”
“แสกนจ่ายนะครับ”
“ได้ค่ะ” สาวน้อยเอ่ยตอบพลางยิ้มรับแล้วหันไปกดจิ้มที่หน้าจออยู่ครู่เดียวก่อนคิวอาร์โค้ดสำหรับชำระเงินจะแสดงผลบนหน้าจอของเครื่องรูดบัตรเครดิต
เวฬากดเปิดแอพลิเคชันธนาคารเพื่อแสกนจ่ายค่าเค้กชิ้นนั้น เสียงใบเสร็จถูกพิมพ์ออกมาจากเครื่องรูดบัตรดังขึ้นก่อนจะตามมาด้วยกระดาษสีขาวใบเล็กยาวค่อยๆ เคลื่อนตัวออกมา พนักงานสาวยื่นมือไปดึงจนได้ยินเสียงแคว่กดังขึ้นมาแวบหนึ่งแล้วยื่นใบเสร็จนั้นให้เวฬา ชายหนุ่มยิ้มก่อนจะยื่นมือไปรับใบเสร็จตามด้วยจานเค้กที่วางไว้บนเคาท์เตอร์ เขาหันหลังเดินกลับมานั่งที่เดิมตรงบริเวณโต๊ะบาร์ติดริมกระจกหันหน้าออกไปยังถนนซึ่งมีคอมพิวเตอร์คู่กายของเขาวางเอาไว้ จึงทำให้เขาได้พบว่าที่นั่งด้านข้างที่เคยว่างอยู่ตอนนี้มันไม่ได้ว่างอีกต่อไปแล้ว
ชายหนุ่มตัวสูง 183 เซนติเมตร หุ่นหนาเล็กน้อย ผิวสองสี ใบหน้าบ่งชัดว่าเป็นคนไทยแท้นั่งอยู่ตรงนั้นพลางจิบกาแฟอเมริกาโนเย็นเหมือนกันกับที่นักเขียนนิยายหนุ่มดื่ม...
เวฬาเดินไปหย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้ คนข้างๆ หันมามองแล้วยิ้มให้ คนที่ปกติไม่ค่อยจะสุงสิงกับใครอย่างเวฬาพอต้องมาเจอกับสถานการณ์แบบนี้ก็แอบเลิ่กลั่กเป็นพิเศษเพราะไม่รู้ว่าจะต้องรับมือยังไง หากเป็นคนอื่นคงบอกไปตรงๆ ว่ามีคนนั่งอยู่ก่อนแล้ว แต่คนขี้อายและปากหนังอย่างเขาทางออกเดียวที่คิดได้ คือนั่งเงียบๆ แล้วก้มหน้าก้มตาทำงานของตัวเองต่อไป กลัวว่าหากพูดอะไรแล้วทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจ จะกลายเป็นเรื่องเอาได้ และเขาจะไม่ยอมให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นแน่ๆ เขาเลยทำเพียงแค่จ้องมองกลับไปด้วยใบหน้านิ่งแล้วหันกลับมาสนใจงานเขียนของตัวเองต่อ
“เป็นนักเขียนเหรอครับ” คนข้างๆ เอ่ยถาม
“ใช่ครับ”
“น่าสนุกดีนะครับ”
“ไม่สนุกหรอกครับ รายได้น้อยจะแย่” เวฬาเอ่ยตอบก่อนจะวางนิ้วลงบนแป้นพิมพ์แล้วเริ่มเขียนนิยายที่เขียนค้างเอาไว้ต่อ
“ผมหมายถึงเรื่องที่คุณกำลังเขียนอยู่ น่าสนุกดีนะครับ”
“นี่คุณแอบอ่านเหรอ...” เวฬาหันขวับมามองคนข้างๆ ทันทีเมื่อได้ยินแบบนั้น เขาแอบไม่พอใจเล็กน้อยเพราะนี่มันคืองานเขียนดราฟแรก เขาไม่ได้อยากจะให้ใครมาอ่านสักหน่อยเพราะมันยังไม่ใช่งานที่สมบูรณ์ขนาดนั้น
“ขอโทษด้วยครับที่แอบอ่าน พอดีมานั่งแล้วสายตามันกวาดไปเห็น แต่ผมอ่านแล้วสนุกดีนะครับ”
“คุณก็อวยผมเกินไป เพิ่งจะดราฟแรกเอง ยังต้องแก้ไขอีกเยอะครับ”
“แต่เรื่องอื่นๆ ของคุณ ผมว่าก็สนุกนะครับ”
“หื้ม?”
“นิยายของคุณ เรื่องอื่นๆ ก็สนุกดีนะครับ” ชายหนุ่มด้านข้างเอ่ยย้ำ
“นี่คุณอ่านงานของผมด้วยเหรอ มีแต่คนบอกว่างานของผมน่าเบื่อ ทำไมคุณถึงบอกว่ามันสนุก” เวฬาหยุดพิมพ์นิยายในทันทีเพราะเขารู้สึกว่าคำพูดของคนข้างๆ มันน่าสนใจกว่ามาก
“ไม่รู้สิครับ อาจเพราะผมชอบอ่านอะไรแบบนี้มั้ง ผมชอบอ่านพวกนิยายแนว Slice of life อยู่แล้วน่ะครับ เรียบๆ ง่ายๆ ไม่ต้องหวือหวาอะไรมาก เพราะชีวิตจริงของผมมันหวือหวามากพออยู่แล้วครับ”
“อ่อครับ...”
“เล่มล่าสุดก็สนุกดีนะครับ ถึงแม้ว่าจะเปลี่ยนจากแนวเดิมที่เคยเขียนมา แต่ผมก็ยังชอบอยู่ดี”
“เล่มนั้นใช้พลังงานเยอะมากเลยครับ เพราะมันเป็นแนวเซ็กซี่ด้วย เส้นเรื่องก็เน้นแต่ฉากเซ็กส์ ยากเอาเรื่องอยู่เหมือนกันครับ” เวฬาพูดไปยิ้มไปเพราะเริ่มรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาบ้างแล้ว
“แต่ทำได้ดีเลยนะครับ ฉากเซ็กส์คุณเล่าได้ละเอียดเสียจนผมอ่านแล้วเห็นภาพตามเลย”
“คุณพูดแบบนี้ผมก็เขินเหมือนกันนะครับ” เวฬาหลบสายตาทันทีพลันหูทั้งสองข้างของเขาก็แดงกล่ำจนสังเกตเห็นได้
“ผมชื่อวาคีนครับ” ชายหนุ่มด้านข้างแนะนำตัว
“เป็นลูกครึ่งเหรอครับ?”
“จะว่างั้นก็ได้ครับ แต่เป็นลูกครึ่งเชียงใหม่-กรุงเทพนะครับ” วาคีนพูดพลางยกยิ้มจนคนฟังแอบยิ้มตาม
“คุณวาคีนนี่ตลกเหมือนกันนะครับ ผมเวฬานะครับ”
“โอ๊ะ! คุณใช้ชื่อจริงเป็นนามปากกาเลยเหรอครับ? ทีแรกผมนึกว่าคุณตั้งขึ้นมาใหม่ เห็นเขียนแปลกๆ”
“เปล่าหรอกครับ เวฬาคือชื่อนามปากกาของผม”
“แล้วชื่อจริงล่ะครับ” วาคีนถามกลับ
“ผมอยากให้คุณเรียกผมว่าเวฬามากกว่าครับ”
“ได้ครับคุณเวฬา ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ”
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ คุณวาคีน”