Episode 07 ตัวประกัน

4073 Words
ตึกแถวย่านมารุ ไม่รู้ว่าครั้งสุดท้ายที่หัวใจของฉันเต้นเป็นปกติคือเมื่อไหร่ เพราะนับตั้งแต่ที่ฉันได้เจอโอยามะ ก้อนเนื้อในอกก็เหมือนจะต้องทำงานหนักอยู่ตลอดเวลา เกือบหนึ่งชั่วโมงหรือประมาณสี่สิบห้านาทีตามที่โอยามะบอกเราก็เดินมาถึงตึกแถวเก่าๆ หลังหนึ่งในย่านมารุ คนของโอยามะเดินนำเข้าไป ตามด้วยโอยามะ ฉัน แล้วปิดท้ายด้วยคนของโอยามะอีกจำนวนหนึ่ง ด้านในตึกแถวที่เราเดินเข้ามามีสภาพค่อนข้างทรุดโทรม บ่งบอกว่าถูกทิ้งให้รกร้างมานานพอสมควร นั่นทำให้ฉันยิ่งนึกถึงยูริกับพี่ยูตะจนเริ่มเป็นกังวล แต่ก็ไม่กล้าพอจะถามโอยามะออกไป ระหว่างทางที่เดินทางมากับเขา เราไม่ได้พูดกันสักคำเดียว “อีกห้านาทีฉันจะขอคำตอบ คิดได้รึยังว่าจะตอบฉันว่าอะไร” โอยามะหันมาเตือนสติ รู้ตัวอีกทีฉันก็กำลังเดินตามเขาเข้ามาในห้องห้องหนึ่ง ด้านในว่างเปล่า มีเพียงเก้าอี้ไม้เก่าๆ แต่ยังดูแข็งแรงสองตัวตั้งเตรียมเอาไว้ ตัวหนึ่งเป็นของโอยามะเพราะเขาเพิ่งนั่งลงเมื่อครู่ ส่วนอีกตัวฉันยังไม่แน่ใจ “นั่งสิ” สรุปว่าเก้าอี้อีกตัวหนึ่งเป็นของฉัน ซึ่งบอกตรงๆ ว่าฉันไม่ได้รู้สึกดีใจสักนิดเลยที่จะได้นั่งลงข้างๆ เขา แต่รู้ดีว่าไม่สามารถปฏิเสธได้ ฉันนั่งลงที่เก้าอี้ตามคำสั่งของโอยามะแล้วพยายามกวาดสายตามองไปรอบๆ ที่ตอนนี้ห้องทั้งห้องกำลังตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง โอยามะนั่งไขว่ห้างในท่าทีสบายๆ เหมือนเขาเคยชินกับสถานการณ์แบบนี้ ตรงกันข้ามกับฉันซึ่งรู้สึกกลัวกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นเหลือเกิน ภาพห้องที่เต็มไปด้วยคนของโอยามะ รวมถึงเขาที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ในท่าทีสบายๆ แบบนี้ ทำให้ฉันนึกถึงวันที่ลืมตาตื่นขึ้นมาเจอกับเขาที่โกดังเก่าๆ ในวันนั้น “ขอคำตอบ” สัญญาณเตือนจากโอยามะดังขึ้นอีกครั้งทำให้ฉันต้องหันกลับไปมองเขาที่นั่งอยู่ข้างๆ พร้อมกับความรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง “ฉัน คือว่าฉัน...” “ถ้าจำคำถามไม่ได้ ฉันจะถามอีกรอบ ทำไมยูริถึงได้ใช้ให้เธอมาขโมยของในห้องฉัน” คำถามที่โอยามะทวนซ้ำยังคงเหมือนเดิม เหมือนกันกับแววตาและสีหน้าที่เรียบเฉยของเขาเวลาที่มองฉัน “ฉัน ฉัน...” “สาม” “ฉัน ฉัน คือว่าฉัน...” “สอง” “ถ้าฉันตอบ นายจะปล่อยยูริกับพี่ยูตะไปใช่มั้ย” ฉันเสี่ยงถามออกไปทั้งที่กลัวจนตัวสั่นไปหมด “นั่นไม่ใช่คำตอบที่ฉันต้องการ พาตัวออกมา” โอยามะสั่งออกไปเสียงเรียบ ซึ่งในขณะที่เขาพูดออกไป สายตาของเขาไม่ได้ละออกไปจากใบหน้าของฉันเลย “ฉันขอร้องล่ะ อย่าทำอะไรสองคนนั้นเลยนะ นายจะขายฉันก็ได้ เรื่องทั้งหมดเป็นความผิดของฉันเอง” ฉันรีบบอก แต่คำพูดของฉันจะไปมีความหมายกับเขาได้ยังไง ไม่นานทั้งสองคนที่ฉันกำลังพูดถึงก็ถูกคนของโอยามะพาตัวเข้ามานั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าโอยามะกับฉัน ซึ่งถึงฉันจะยังไม่เห็นใบหน้าของพวกเขาเพราะมีถุงผ้าสีดำคลุมอยู่ มือทั้งสองข้างถูกมัดไพล่ไว้ทางด้านหลัง แต่ฉันก็ยังจำพวกเขาทั้งคู่ได้อยู่ดี “ยูริ” “ถ้าฉันไม่สั่งให้พูด ก็คือไม่อนุญาตให้พูด” โอยามะหันมาพูดกับฉันด้วยน้ำเสียงปกติ แต่เพียงแค่นั้นก็ทำให้ฉันกลืนทุกคำพูดกลับลงไปในลำคอโดยอัตโนมัติ พึ่บ! คนของโอยามะดึงถุงผ้าสีดำที่คลุมหัวของพวกเขาทั้งคู่ออก ซึ่งก็ใช่พวกเขาจริงๆ แบบที่คิดเอาไว้ ทั้งคู่จ้องมองมาที่ฉัน สายตาของพวกเขาทำให้ฉันรู้สึกเจ็บปวด แต่วินาทีนี้ แม้อยากจะพูดคำว่าขอโทษออกไปแค่ไหนฉันก็ไม่กล้าพอจะทำเพียงเพราะคำสั่งของโอยามะยังคงก้องชัดอยู่ในหู ยูริค่อยๆ ลืมตาขึ้นมามองฉันช้าๆ เหมือนกับว่าเธอกำลังจะหมดแรง ซึ่งถึงแม้ว่าใบหน้าของเธอรวมไปถึงร่างกายส่วนอื่นๆ เท่าที่ฉันสามารถมองเห็นจะไม่มีร่องรอยของการถูกทำร้าย แต่ดูจากสภาพอิดโรย ใบหน้าซีดขาว ตาโหล รวมไปถึงผมเผ้ากระเซอะกระเซิงแบบนั้นฉันก็พอจะรู้ว่าเธอต้องเจอกับเรื่องร้ายๆ มาแน่ๆ และมันคงทำให้เธอรู้สึกกลัวมาก เธอถึงเอาแต่มองฉันด้วยสองตาสั่นๆ แบบนั้น ด้านข้างของยูริมีพี่ยูตะนั่งคุกเข่าอยู่ในสภาพอิดโรยไม่ต่างกัน สายตาของพี่ยูตะที่มองมาที่ฉันเหมือนจะไม่พอใจและคงกำลังกล่าวโทษฉันเรื่องที่ฉันทำให้เขากับยูริต้องมาตกอยู่ในสภาพแบบนี้ “เอาละ รีบๆ เคลียร์ให้จบๆ สักที ฉันไม่ได้มีเวลาว่างมาก จะถามอีกแค่ครั้งเดียว ทำไมยูริถึงได้ใช้ให้เธอมาขโมยของในห้องฉัน” “ฉันบอกแล้วไงว่าฉันไม่รู้เรื่อง” ยูริพูดเจือเสียงสะอื้น แววตาของเธอดูโกรธแค้นฉันมากจริงๆ “งั้นเหรอ” “ฉันไม่รู้เรื่องจริงๆ นะ ฉันยอมรับว่าฉันเป็นเพื่อนกับยัยนั่นจริง แต่เรื่องที่ยัยนั่นทำ ฉันไม่ได้เกี่ยวด้วย ไม่ได้มีส่วนรู้เห็นด้วยสักหน่อย” ยูริปฏิเสธเสียงดัง และถึงแม้ว่าปลายเสียงจะยังติดสั่นนิดหน่อย แต่สายตาที่เธอมองมายังฉัน รวมถึงความหมายของสิ่งที่เธอพูดมันออกมาคือการที่เธอโยนทุกอย่างมาให้ฉัน “ฉันถามเธอแล้วรึยัง” โอยามะถามฉันเสียงเรียบ ทำเอายูริเม้มริมฝีปากแน่นจนกลายเป็นเส้นตรงดิกและกำลังสั่น “ตอบคำถามของฉัน ฮานะ” “ฉัน...” เหมือนมีก้อนบางอย่างแล่นขึ้นมาจุกอยู่ที่ลิ้นปี่ น้ำเสียงของโอยามะ รวมไปถึงสายตาของยูริและพี่ยูตะกำลังกดดันฉันอย่างหนัก ทุกอย่างรอบกายกำลังทำให้ฉันเริ่มรู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ค่อยออก “ฉัน...” “พูดสิฮานะ! ไม่เห็นเหรอว่าพวกเราต้องเดือดร้อนเพราะช่วยเธอ!” พลั่ก! “พี่ยูตะ!” “ปล่อยฉันนะ อย่าทำร้ายพี่ยูตะ ห้ามทำเขา” ฉันร้องบอก แล้วพยายามที่จะลุกขึ้นจากเก้าอี้เมื่อเห็นกับตาว่าคนของโอยามะเพิ่งจะชกหน้าพี่ยูตะจนเขาล้มลงไปกองกับพื้น ยูริร้องเรียกพี่ยูตะเสียงดัง เธอพยายามจะไปช่วยพี่ยูตะ แต่ถูกคนของโอยามะจับเอาไว้แน่นไม่ต่างจากฉันที่แค่ลุกจากเก้าอี้ก็ยังทำไม่ได้ ไหล่ทั้งสองข้างของฉันถูกบีบและจับกดเอาไว้ ทำให้ฉันได้แต่นั่งมองภาพตรงหน้าด้วยหัวใจที่ปวดหนึบ ทุกอย่างกำลังตอกย้ำกับฉันว่าฉันมันเป็นตัวซวย! “จับขึ้นมา” โอยามะสั่งด้วยน้ำเสียงเรียบๆ แต่เด็ดขาด และคำสั่งของเขาก็ได้รับการตอบรับในทันที คนของโอยามะรีบกระชากพี่ยูตะกลับขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมเพราะเขาไม่สามารถลุกขึ้นเองได้ มือทั้งสองข้างยังคงถูกมัดไพล่หลังเอาไว้ นั่นแปลว่าเขาไม่สามารถจะช่วยเหลือตัวเองได้เลยด้วยซ้ำ อย่าคิดไปถึงเรื่องที่จะสู้เลย แกร๊ก! “ไม่นะ อย่าทำเขา ได้โปรด” ยูริกรีดร้องเสียงดังเมื่อคนของโอยามะชักปืนออกมาแล้วเล็งตรงไปที่หัวของพี่ยูตะ ภาพที่เห็นทำให้ลำคอของฉันแห้งผาก ลมหายใจติดขัดไปในทันที “ฉันจะต่อเวลาให้มันอีกสามวินาที” โอยามะพูดขึ้นมาเสียงเย็น แววตาของเขาสงบนิ่งเหมือนไม่รู้สึกอะไรกับการสั่งฆ่าคน แน่สิ คนอย่างเขาจะไปรู้สึกอะไร! “ฉัน...” “ยัยฮานะ ยัยตัวซวย!” ยูริหันมาแผดเสียงใส่ฉัน แววตาของเธอเกรี้ยวกราดและกำลังอาฆาตฉันอย่างรุนแรง “สอง” เวลาที่โอยามะเป็นคนนับถอยหลังทำให้ฉันกัดฟันแน่น หลายครั้งที่พยายามจะลุกแต่ก็ถูกกดให้นั่งนิ่งๆ อยู่ที่เดิม การที่ต้องนั่งมองยูริและพี่ยูตะคุกเข่าอยู่ตรงหน้า มันทำให้ฉันรู้สึกเกลียดตัวเองขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก “หนึ่ง” “ฉันทำเอง ฉันเป็นคนทำเรื่องทั้งหมดเอง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับยูริหรือว่าพี่ยูตะทั้งนั้น ฉันทำคนเดียว” ฉันสารภาพออกไปทั้งน้ำตา พูดจบฉันก็ต้องสูดหายใจเข้าปอดอีกครั้งก่อนจะหันกลับไปสบตาโอยามะทั้งที่กำลังกลัวเขาสุดหัวใจ ไม่รู้ครั้งนี้เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วที่ฉันรู้สึกว่าตัวเองกำลังก้าวเข้าไปใกล้ความตาย “ฉันผิดเองโอยามะ” “เธอมันตัวซวย!” พลั่ก! ใบหน้าของพี่ยูตะหันไปตามแรงตบเมื่อถูกคนของโอยามะตบด้วยด้ามปืนในมือ หัวใจของฉันสั่นระริกและจวนเจียนจะขาดเมื่อทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันกำลังตอกย้ำว่าฉันเป็นตัวปัญหา ฉันทำให้ทุกคนรอบข้างต้องเดือดร้อน ฟึ่บ! เสียงการขยับตัวของโอยามะทำให้ฉันสะดุ้งเฮือกแต่ก็ยังต้องพยายามเก็บอาการ แม้ว่าโอยามะจะไม่ได้ลุกขึ้นด้วยท่าทีรีบร้อนเลยสักนิด แต่ตอนนี้ต่อให้เขาจะนั่งมองหน้าฉันหรือยืนหายใจเฉยๆ ก็สามารถทำให้ฉันหวาดผวาได้ทั้งนั้น “ลุกขึ้น” คำสั่งของโอยามะทำให้ไหล่ทั้งสองข้างของฉันเป็นอิสระ ฉันค่อยๆ ลุกขึ้นยืนช้าๆ ตามคำสั่งทั้งที่สองขาแทบจะยืนไม่ไหว “หมดเวลา” เวลาของฉันหมดลงแล้ว จะแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงอะไรก็คงไม่ได้อีกแล้ว เพราะทันทีที่โอยามะยกมือขึ้นมาแบตรงหน้า คนของเขาก็รีบเดินเอาปืนเข้ามาวางบนมืออย่างรู้หน้าที่ ร่างสูงก้าวเข้ามาหาฉันด้วยท่าทีที่มั่นคง แต่ยิ่งเขาขยับเข้ามาใกล้ ฉันก็ยิ่งรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะล้มลงไปกับพื้น และเมื่อทนกับความกดดันจนฝืนตัวเองต่อไปไม่ไหว สองขาของฉันก็อ่อนแรงและทรุดลงไปทันที เพียงแต่ยังไม่ทันที่ฉันจะล้มลงไป โอยามะก็เอื้อมมือมาคว้าตัวฉันเอาไว้ได้ซะก่อน ท่ามกลางบรรยากาศของความเงียบภายในห้องสี่เหลี่ยมที่มีคนอยู่นับสิบคน ฉันกลับได้ยินเพียงเสียงเต้นของหัวใจตัวเอง โอยามะคว้าตัวฉันเอาไว้ เขาดึงฉันเข้าสู่อ้อมแขนที่แข็งแรงแบบที่ทำให้ฉันรู้สึกได้ว่าเขาจะไม่มีทางปล่อยให้ฉันล้มลงไปง่ายๆ แต่นั่นไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นมาสักนิด การที่โอยามะยืนซ้อนอยู่ด้านหลังแล้วโอบฉันเอาไว้ด้วยแขนซ้ายเพียงข้างเดียว มือข้างนั้นของเขาโอบมาจับอยู่ที่ต้นแขนขวาของฉัน และแรงบีบตรงนั้นก็มีมากพอจะทำให้ฉันรู้ว่าไม่ว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น ฉันจะไม่มีทางหนีและไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธที่จะรับรู้ได้อีก ทั้งฉันและเขาต่างก็ยังคงหันหน้าไปทางยูริและพี่ยูตะที่นั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้น ปืนในมือขวาของโอยามะที่จ่ออยู่ตรงขมับของฉันสั่งให้ฉันยืนนิ่ง แม้ว่าเขาจะไม่ได้ออกคำสั่งเสียงดังเลยแม้แต่คำเดียว “คำตอบของเธอไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้อง” โอยามะกระซิบย้ำอีกครั้งข้างๆ หู ก่อนที่เขาจะยืดลำตัวขึ้นตรงเต็มความสูง และถึงแม้จะเป็นเพียงแค่เสียงกระซิบเพียงแผ่วเบา แต่แค่นั้นก็มากพอจะทำให้ฉันสั่นไปทั้งตัว ก่อนที่ไม่กี่วินาทีต่อมา ฉันจะต้องเบิกตาโพลงเมื่อปืนที่จ่ออยู่ตรงขมับเปลี่ยนเป้าหมายจากฉันเป็นพี่ยูตะ “พวกนายจะทำอะไรพี่ยูตะ ปล่อยนะ อย่าทำเขา” ยูริกรีดร้องพร้อมกับพยายามดิ้นไปมาเมื่อคนของโอยามะเอาถุงผ้าสีดำกลับไปคลุมหัวของเธอเอาไว้อีกครั้ง การกระทำนั้นบ่งบอกว่าสิ่งที่โอยามะกำลังจะทำต่อไปนี้...ไม่ใช่เรื่องที่น่าดูเลย “นี่คือบทเรียนแรกสำหรับคนที่คิดจะโกหกฉัน” โอยามะยังคงพูดกับฉันด้วยเสียงกระซิบ ก่อนที่ภาพเบื้องหน้าของฉันจะกลายเป็นสีดำเมื่อเขาปล่อยมือออกจากต้นแขนของฉันเพื่อใช้มือข้างนั้นปิดดวงตาทั้งสองข้างของฉันเอาไว้แทน “โอยามะ คือว่า...” ปัง! “กรี๊ดดด” เสียงปืนดังขึ้นตั้งแต่ที่ฉันยังพูดไม่ทันจบประโยคด้วยซ้ำ เขาไม่เปิดโอกาสให้ฉันได้ขอร้องหรืออ้อนวอนเขาแม้แต่คำพูดเดียว เสียงยูริกรีดร้องบาดหัวใจฉันเหลือเกิน เสียงสะอื้นของเธอที่ฉันได้ยินทำให้น้ำตาของฉันไหลออกมาเป็นสาย ก้อนสะอื้นแล่นขึ้นมาจุกอยู่ที่ลำคอ ร่างกายสั่นและอ่อนแรงแต่กลับไม่สามารถล้มลงไปนั่งกับพื้นได้ด้วยซ้ำทั้งที่โอยามะไม่ได้โอบฉันเอาไว้เหมือนตอนแรก วินาทีนี้แม้แต่จะหายใจแรงฉันก็ยังไม่กล้าทำ เสียงร้องไห้ของยูริกรีดลึกลงในหัวใจฉันทีละนิดๆ ความตายเป็นยังไงฉันไม่รู้หรอก แต่ถ้ายังมีลมหายใจอยู่แล้วต้องทรมานแบบนี้ ฉันก็อยากจะตายไปซะ “พอสักทีเถอะ นายจะเอายังไงก็ว่ามา จะขายฉันหรือจะทำอะไรกับฉันก็เชิญ แต่อย่าทำแบบนี้อีกเลยโอยามะ ยูริกับพี่ยูตะเขาไม่เกี่ยว” ฉันพยายามอ้อนวอนเขาอีกครั้ง แม้จะรู้ว่าเขาไม่อยากฟังแต่ฉันไม่สามารถทนอยู่กับความรู้สึกแบบนี้ได้อีกแล้ว ปัง! เสียงปืนดังขึ้นอีกหนึ่งนัด แต่ภาพเบื้องหน้าของฉันก็ยังคงเป็นสีดำสนิทเมื่อโอยามะไม่ยอมเปิดมือออกเพื่อให้ฉันมองเห็นความเคลื่อนไหวใดๆ มีเพียงเสียงร้องของยูริเท่านั้นที่ฉันยังได้ยินชัดเจน ความกดดันทำให้ฉันตื่นกลัว ภาพในจินตนาการจากเสียงที่ได้ยินทำให้ฉันหวาดผวา ในที่สุดฉันก็ตัดสินใจจะดึงมือของโอยามะออกแล้วเอื้อมมือออกไป ฟึ่บ! “โอ๊ย!” “เธอคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน” โอยามะตะคอกเสียงดังใส่ฉันหลังจากที่ฉันพยายามแย่งปืนจากมือของเขา ซึ่งรู้แต่แรกว่ามันคงสำเร็จได้ยาก และก็จริงเพราะตอนนี้เขากอดฉันเอาไว้แน่นกว่าเดิม เพียงแต่ถูกกระชากให้หันหลังให้ยูริกับพี่ยูตะแล้วเท่านั้น จากที่โดนบดบังการมองเห็นด้วยฝ่ามือ ก็กลับกลายเป็นถูกกั้นเอาไว้ด้วยร่างกายที่สูงใหญ่ของโอยามะ ซึ่งกำลังทำตัวเองเป็นกำแพงขังฉันเอาไว้ เบื้องหน้าของฉันคือแผ่นอกกว้างๆ ของโอยามะ ที่ไม่ว่าฉันจะพยายามดิ้นแค่ไหน ก็ไม่สามารถหลุดออกจากอ้อมกอดที่เปรียบเหมือนกรงขังอันแน่นหนาของเขาได้เลย ยิ่งดิ้นก็มีแต่จะยิ่งทำให้วงแขนที่โอบรัดฉันอยู่แน่นขึ้นจนฉันแทบหายใจไม่ออกและต้องหยุดดิ้นลงเองในที่สุด ปัง! แล้วเสียงปืนนัดที่สามก็ดังขึ้น ไม่รู้เป็นเพราะหูฉันอื้อไปหมดแล้วหรือเป็นเพราะอ้อมแขนของโอยามะที่ยังคงกอดรัดฉันเอาไว้แนบอก ถึงได้ทำให้ฉันรู้สึกว่าเสียงปืนที่ได้ยินเบาลงกว่าสองนัดก่อนหน้า แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญที่ฉันอยากรู้ สิ่งที่ฉันอยากรู้ที่สุดในตอนนี้ก็คือเขายิงพี่ยูตะหรือยูริตรงไหนต่างหาก “ฉันยอมแล้ว อย่ายิงเขา ฉันเป็นคนหลอกให้ฮานะเข้าไปขโมยของในห้องนายเอง ฉันทำเพราะต้องการเอามันไปแลกกับอิสรภาพของฉัน ไดสึเกะบังคับให้ฉันทำ ไดสึเกะบอกว่าถ้าฉันเอามันไปให้เขาได้ เขาจะปล่อยฉันไป!” ยูริโพล่งทุกอย่างออกมาจนหมด คงเป็นเพราะว่าเธอเองก็ไม่สามารถทนต่อความกดดันได้เหมือนกัน ไดสึเกะที่ยูริพูดถึงก็คือหนึ่งในสมาชิกของแบล็กสกอร์เปี้ยน หากแต่เขาไม่ใช่สมาชิกธรรมดา เพราะเขาเป็นหลานชายของคุณโอซึนซึเกะ อดีตประธานของแบล็กสกอร์เปี้ยน ทายาทรุ่นที่สี่ของโอซุนสึเกะ ผู้ก่อตั้งแบล็กสกอร์เปี้ยนขึ้นมาอีกด้วย และเพราะว่าไดสึเกะเป็นถึงหลานชายเพียงคนเดียว ซึ่งถือเป็นสายเลือดแท้ๆ ของผู้ก่อตั้งแบล็กสกอร์เปี้ยนขึ้นมา แต่เขากลับเป็นได้เพียงแค่สมาชิก ต่างจากโอยามะซึ่งเป็นเด็กปลายแถวที่โอซุนสึเกะเก็บมาเลี้ยง แต่กลับได้รับการแต่งตั้งให้เป็นประธาน ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนไม่สู้ดีนัก “ฉันทำเพราะจำเป็น ฉันไม่มีทางเลือก” “เธอไม่รู้จริงๆ เหรอว่าไอ้ไดสึเกะมันหลอกเธอ หรือถ้าจะให้ฉันพูดตรงๆ ก็คือมันไม่มีทางจะปล่อยเธอไป ไม่อย่างนั้นมันจะให้เธอมาเอาของที่ไม่มีทางเอาไปได้อย่างนั้นทำไม” โอยามะถามย้ำด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น “ต่อให้จะไม่มีโอกาสฉันก็ต้องทำ ฉันไม่อยากเป็นของไดสึเกะ” ยูริพูดเจือเสียงสะอื้น “ถ้าอย่างนั้นทำไมเธอถึงไม่เข้ามาขโมยมันไปด้วยล่ะ” “ฉัน...ฉัน...กลัว” “แปลว่าเพื่อนของเธอคงไม่กลัวสินะ” คำถามของโอยามะทำให้มือไม้ของฉันเย็นเฉียบขึ้นมาในทันที “ตอบคำถามฉัน! ฉันถามว่าเธอคิดว่าเพื่อนของเธอไม่กลัวรึยังไง!” เสียงตะคอกของโอยามะทำให้ฉันสะดุ้งเฮือกอยู่ในอ้อมกอดของเขา และคิดว่ายูริเองก็คงจะตกใจไม่ต่างกัน “ก็แล้วทำไมนายต้องสนใจเรื่องนั้นด้วยล่ะ ยัยนั่นเข้าไปขโมยของของนาย นายก็แค่กำจัดทิ้งไปซะ แค่เด็กกำพร้าตายไปสักคนก็ไม่น่าจะใช่เรื่องใหญ่สำหรับนายสักหน่อย นายจะสนใจทำไม” คำตอบของยูริทำให้ร่างกายของฉันชาดิกไปหมดจนเกือบไร้ความรู้สึก ก่อนหน้านี้ฉันเคยคิดว่าตัวเองโดดเดี่ยวเพราะไม่มีใครต้องการฉัน แต่เพิ่งจะรู้เมื่อไม่กี่วินาทีนี้นี่เองว่าความโดดเดี่ยวที่แท้จริงมันเป็นยังไง โอยามะอ่านทุกอย่างออกหมด นอกจากเขาจะรู้คำตอบของทุกอย่างดีอยู่แล้ว เขายังรู้ทันความคิดของยูริทั้งที่ฉันไม่เคยรู้เลย ไม่คิดว่าเธอจะคิดแบบนั้นกับฉันจริงๆ ก็แค่เด็กกำพร้างั้นเหรอ ฉันมันก็แค่เด็กกำพร้าในสายตาของเธอสินะ! “แล้วถ้าฉันนึกอยากจะฆ่าเธอขึ้นมาบ้างล่ะ” โอยามะถามเสียงเรียบ ร่างกายของเขายังนิ่งมาก แต่ฉันกลับได้ยินเสียงหัวใจของเขาเต้นแรงขึ้นเหมือนกำลังโมโหแต่พยายามที่จะข่มอารมณ์เอาไว้ “ยัยนั่นเป็นคนออกตัวว่าจะช่วยฉันเอง พูดออกมาเองว่าต่อให้ถูกนายจับได้หรือฆ่าตายก็ไม่เป็นไร เพราะคงไม่มีใครเสียใจหรือต้องการอยู่แล้วตั้งแต่แรก แล้วแบบนี้นายจะมาโทษแต่ฉันได้ยังไง” ฉันไม่คิดเลยว่าเธอจะคิดแบบนั้นกับฉัน มันจริงอยู่ที่ฉันเคยคิดว่าฉันตัวคนเดียว ต่อให้ต้องตายไปจริงๆ ก็คงไม่มีคนเสียใจ แต่ฉันไม่คิดว่าเธอจะถึงขนาดอยากให้ฉันถูกฆ่า “ก็แปลว่าถ้าเธอตายจะมีคนเสียใจมากกว่าสินะ เธอคิดว่าชีวิตเธอมีค่ามากกว่าชีวิตของเด็กกำพร้าอย่างฮานะใช่รึเปล่า” คำถามของโอยามะทำให้ฉันได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นอีกครั้ง เพราะยูริไม่ได้ตอบคำถามของเขา และฉันไม่รู้ว่าที่เธอเงียบ เพราะเธอตอบไม่ได้หรือไม่กล้าตอบกันแน่ “ไอ้ไดสึเกะคงดีใจที่ฉันยกชีวิตที่แสนจะมีค่าของเธอให้มัน” โอยามะพูดขึ้นอีกครั้งหลังจากที่เขายืนรอคำตอบจากยูริสักพัก แต่เธอก็ยังไม่พูดอะไรออกมา “อย่ายุ่งกับน้องสาวฉัน ไอ้สารเลว!” พลั่ก! “กรี๊ดดด พี่ยูตะ!” เสียงของพี่ยูตะและยูริทำให้ฉันเริ่มขยับอีกครั้งหลังจากที่พยายามยืนนิ่งมาตั้งแต่ต้น ฉันอยากรู้ว่าเบื้องหลังของฉันเกิดอะไรขึ้น แต่โอยามะกลับไม่ปล่อยให้ฉันได้มีแม้แต่โอกาสจะชำเลืองหางตามองด้วยซ้ำ เขาใช้มือเปล่ากดหัวของฉันเอาไว้ราวกับอยากจะกดให้ฉันจมหายลงไปในอกของเขา “เอามันออกไป ส่วนผู้หญิงพาไปตีตราสินค้า รอคำสั่งจากฉันส่งตัวให้ไดสึเกะ” “ไม่ได้นะโอยามะ ขอร้องล่ะ อย่าส่งฉันให้ไดสึเกะนะ ได้โปรด” ฉันได้ยินยูริพยายามอ้อนวอน ซึ่งฉันรู้ดีว่าเธอกลัวไดสึเกะมาก ดังนั้นการส่งเธอไปให้ไดสึเกะไม่ต่างจากการฆ่าเธอทั้งเป็น! “อย่าแตะต้องยูริ ถ้าพวกนายจะทำก็ทำฉันสิ อย่ายุ่งกับน้องสาวฉัน!” “ยัยฮานะ เพราะแกคนเดียว ที่ทุกอย่างต้องเป็นแบบนี้ก็เพราะแก” เสียงของพี่ยูตะและยูริค่อยๆ เบาลงคล้ายกับว่าทั้งคู่กำลังอยู่ห่างออกไป หรือไม่ก็คงเป็นเพราะมือของโอยามะที่เลื่อนระดับจากหัวของฉันลงมาที่หู เขาทำราวกับว่าไม่อยากจะให้ฉันได้ยินอะไรทั้งนั้น เขากำลังปิดกั้นประสาทการรับรู้ของฉันทุกทาง ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็นหรือการได้ยิน การกระทำของโอยามะทำให้ฉันนึกถึงคำพูดของเขาก่อนที่เขาจะพาฉันมาที่นี่ขึ้นมา เขาเพิ่งบอกฉันว่าต่อไปนี้ฉันจะอยู่ในความดูแลของเขา ซึ่งฉันไม่คิดเลยว่ามันจะต้องเป็นแบบนี้ “เพราะแก ยัยฮานะ แกต้องรับผิดชอบ” ไม่ว่าฉันจะพยายามสะกดกลั้นทุกอย่างเอาไว้ยังไง สุดท้ายก็พ่ายแพ้ให้กับน้ำตาที่กำลังไหลออกมา เสียงของยูริยังคงดังก้องอยู่ในหู และมันทำให้ฉันเผลอยกมือขึ้นมากำชายเสื้อของโอยามะแน่น ถ้อยคำอาฆาตแค้นของยูริทำให้ฉันรู้สึกชาวาบไปทั้งตัว อยากจะพูดอะไรสักคำก็พูดไม่ออก อยากจะอ้อนวอนขอร้องให้โอยามะปล่อยยูริกับพี่ยูตะไปก็ไม่กล้า เพราะรู้ดีว่าต่อให้ฉันจะพูดอะไรเขาก็คงไม่ฟัง และคงเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ในเมื่อเขารู้ทุกอย่างหมดแล้ว เขารู้ทุกอย่างแต่กลับถามฉัน ถามทั้งที่คงรู้ว่าฉันจะโกหก เรื่องบ้าบอนี่มันตลกสิ้นดี!
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD