ตื๊ดดด
“มาแล้วครับ”
“เข้ามา”
เสียงสนทนากันผ่านอินเตอร์คอมทางหน้าห้องดึงความสนใจจากฉันให้เงยหน้าขึ้นไปมอง ก่อนจะพบว่าคิราวะผลักประตูห้องห้องหนึ่งเข้าไปด้านใน ในขณะที่ตัวเขายังยืนอยู่ด้านนอก
ไม่ต้องมีคำสั่งใดๆ หลุดออกมาจากคนตรงหน้า ฉันก็รู้ว่าจะต้องทำอะไรต่อ แต่ถึงจะรู้อย่างนั้นสองเท้าของฉันก็ยังตายสนิท ยืนอยู่ที่เดิมนิ่งๆ ไม่กล้าขยับหรือแม้กระทั่งหายใจแรง
ตึก!
แค่เพียงได้ยินเสียงฝีเท้าที่ย่ำลงกับพื้นอีกก้าวเดียวก็ทำเอาฉันสะดุ้งเฮือก มือหนายกขึ้นค้างกลางอากาศเมื่อฉันเงยหน้าขึ้นไปสบตากับคิราวะอีกครั้ง และถ้าช้ากว่านี้ฉันอาจถูกเขาจับเหวี่ยงเข้าไป
ฟึ่บ!
สุดท้ายฉันก็ต้องก้าวเท้ามาอย่างไม่มีทางเลือก และเมื่อฉันก้าวพ้นประตูห้องเข้ามา ประตูทางด้านหลังก็ถูกปิดลงทันที
อุณหภูมิภายในห้องเย็นเฉียบจนฉันขนลุก บรรยากาศด้านในเงียบสนิทคล้ายกับไม่มีคนอยู่ ทั้งที่ความจริงแล้วเจ้าของห้องห้องนี้กำลังนั่งมองฉันอยู่ที่เก้าอี้นวมตัวใหญ่หลังโต๊ะทำงาน
ฉันค่อยๆ ก้าวเท้าเข้าไปหยุดยืนอยู่ตรงหน้าผู้ชายซึ่งจ้องมองฉันด้วยสายตาที่กำลังจะสาปให้ฉันกลายเป็นหินไปอยู่รอมร่อ
“อีกสองก้าว”
คำสั่งเพียงสั้นๆ ทำให้ฉันก้าวเท้าออกไปอีกสองก้าวโดยอัตโนมัติ มันเหมือนกับน้ำเสียงนั่นแฝงไว้ด้วยอำนาจที่ถึงแม้เขาจะไม่ได้เน้นย้ำหรือระบุชัดเจนว่ามันหมายถึงอะไร ฉันก็ควรจะรีบเข้าใจมันได้เองโดยไม่ต้องให้เขาพูดซ้ำ
“จากใบเสนอราคา ระบุว่าเธอ...บริสุทธิ์”
อึก! ฉันถึงกับกลืนน้ำลายลงคอยากลำบากเมื่อคนตรงหน้าไม่แม้แต่จะอ้อมค้อมเลยสักนิด
“ตอบคำถาม”
“อะ...อืม”
“ใช่ หรือไม่ใช่”
“ชะ...ใช่” ฉันยังคงตอบตะกุกตะกักเหมือนเดิม ซึ่งสีหน้าของคนถามเองก็ยังเรียบเฉยเหมือนเดิมเช่นกัน
“มีทางเลือกสองทาง จะอยู่รอจนถึงวันศุกร์สิ้นเดือนเพื่อรอการถูกประมูล หรือ...ยอมเป็นสินค้าของฉัน”
คำถามบีบหัวใจของฉันทำให้ม่านน้ำตารื้นขึ้นมาบดบังความชัดเจนของภาพเบื้องหน้าฉันไปในทันที ความเงียบเข้าปกคลุมรอบกาย สิ่งที่ได้ยินชัดยังมีเพียงเสียงลมหายใจของตัวเองที่ดังเข้าออกซ้ำๆ อยู่อย่างนั้นไม่เปลี่ยนแปลง
“ตอบ”
คำเดียวเพียงสั้นๆ ตอกย้ำถึงทางเลือกที่บังคับให้ฉันต้องเลือกเพียงตัวเลือกที่เขาเสนอให้ทำให้ฉันกัดฟันกรอด สองมือกำแน่นอยู่ที่ข้างลำตัวจนรู้สึกตึงไปทั้งแขน
และเมื่อยังไม่มีคำตอบใดๆ หลุดออกจากปากของฉัน คนตรงหน้าก็ใช้แววตาดุดันของเขาจ้องลึกเข้ามายังนัยน์ตาของฉันราวกับกำลังค้นหาคำตอบจากฉันผ่านสายตาคู่นั้น ซึ่งไม่ว่าฉันจะอยากหันหน้าหนีไปทางอื่นมากแค่ไหนก็ไม่สามารถทำได้เลย เมื่อนัยน์ตาสีดำสนิทของโอยามะสะกดให้ฉันยืนนิ่งและตกอยู่ภายใต้คำสั่งของเขาโดยที่ฉันเองก็ไม่ทันได้รู้ตัว
“อยากเป็นสินค้าของคนอื่น หรืออยากเป็นสินค้าของฉัน”
“ฉันไม่อยาก...”
“เลือกเท่าที่ให้เลือก”
แม้คนพูดจะพูดเนิบๆ ไม่ได้มีท่าทีเร่งรัดเอาคำตอบ แต่กลับทำให้คนฟังอย่างฉันรู้สึกเหมือนกำลังถูกบีบทีละนิดๆ
“ถ้าไม่เลือก ฉันจะเป็นคนเลือกให้”
“ก็แล้วนายไม่ได้เลือกให้ฉันตั้งแต่แรกอยู่แล้วรึไง” ฉันโพล่งถามออกไปทั้งที่เสียงสั่น ถามจบก็ก้มหน้าลงอย่างไม่กล้าสบสายตา
“ตอบเท่าที่ถาม”
ฉันไม่ควรเถียงเขาสินะ
“แล้วแต่นาย” ฉันตอบส่งๆ ก่อนจะลอบกลืนน้ำลายลงไปอึกใหญ่
“คิราวะ เข้ามาหน่อย”
สองตาของฉันเบิกโพลงแล้วรีบมองคนตรงหน้าด้วยความสงสัยว่าเขากำลังจะทำอะไรกับฉันกันแน่ เพราะดูเหมือนว่าการที่เขาเรียกคนของเขาเข้ามานั้นไม่น่าจะใช่เรื่องดีกับฉันเท่าไหร่
“ครับ คุณโอยามะ”
“พาออกไป ช่วงบ่ายให้คนเข้ามาตีตราสินค้าแล้วทำโปรไฟล์พร้อมกับตั้งราคา ระบุเป็นสินค้าประเภท SM กลุ่มลูกค้าที่จะเข้าร่วมประมูลเป็นระดับแพลตตินั่ม อย่าลืมว่าเวอร์จิ้น เพราะฉะนั้นตั้งราคาให้สูงกว่าเรตปกติสักสองเท่าด้วย”
“ครับ”
คำสั่งยาวเหยียดได้รับการตอบสนองเป็นคำตอบรับเพียงคำเดียวสั้นๆ ก่อนที่คนของโอยามะจะเดินตรงเข้ามาหาฉันพร้อมกับคว้าหมับที่ต้นแขน
ถึงแม้แรงบีบจะไม่มากแต่กลับทำให้ฉันสะดุ้งจนตัวโยนพร้อมกับรีบหันไปมองหน้าเจ้าของคำสั่งเมื่อครู่ตาปริบๆ
คำว่า SM ที่ได้ยินทำให้ฉันขนหัวลุก ร่างกายเย็นวาบ และชาดิกไปในทันที
“ไป”
“เดี๋ยวๆ ฉะ...ฉัน...”
ฉันควรจะพูดอะไรออกไปดีล่ะ ควรเปลี่ยนคำตอบหรือควรบอกให้เขาเปลี่ยนคำสั่ง แต่ฉันจะกล้าบอกให้เขาเปลี่ยนคำสั่งได้ยังไงกัน
ทุกอย่างเหมือนผ่านไปเร็วมาก รู้ตัวอีกทีฉันก็ถูกคิราวะลากออกมาจนเกือบจะถึงประตูห้องอยู่แล้ว หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำเมื่อรู้ตัวว่าเวลาในการตัดสินใจของฉันเหลือไม่มากแล้ว
“ฉันเลือกเป็นสินค้าของนาย” ฉันตัดสินใจตะโกนออกไปเมื่อประตูห้องเกือบจะถูกปิดลง แต่พูดจนจบแล้วคิราวะก็ยังไม่ยอมหยุดเดิน
“โอยามะ! ฉันยอมเป็นสินค้าของนาย!”
ฟุ่บ!
ในที่สุดฉันก็ดิ้นจนหลุดจากมือของคิราวะ แต่สองขากลับทรุดลงกับพื้น ไม่กล้าแม้แต่จะเดินย้อนกลับเข้าไปในห้องด้วยซ้ำ ตราบใดที่เจ้าของห้องยังไม่อนุญาต
“ฉันยอมเป็นของนาย”
เสียงของฉันสั่นและเบาลงเมื่อสายตาของโอยามะยังจ้องฉันอยู่อย่างเฉยเมย ดวงตาคู่นั้นว่างเปล่า ไร้ความรู้สึก แต่กลับทำให้คนถูกจ้องอย่างฉันสะท้านในอก
“นายออกไปก่อน”
คำสั่งที่หลุดออกมาจากริมฝีปากของโอยามะแทบทำให้ฉันล้มลงไปนอนกับพื้น ทำไมคำพูดเพียงแค่ไม่กี่คำของเขาถึงได้ทำให้ฉันรู้สึกกดดันได้มากขนาดนี้นะ
หลังจากที่คิราวะเดินออกไปตามคำสั่งของโอยามะอีกครั้ง ประตูห้องที่เปิดค้างเอาไว้เมื่อครู่ก็ถูกปิดลง บรรยากาศด้านในกลับเข้าสู่สภาวะเดิมนั่นคือเงียบจนฉันแทบหายใจไม่ออก
“ลุกขึ้น แล้วกลับมายืนในที่ของเธอ”
ที่ของฉัน คือตรงหน้าเขาสินะ
ฉันลอบกลืนน้ำลายลงคอเบาๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนช้าๆ แล้วเดินกลับเข้าไปหาโอยามะตามคำสั่ง โดยพยายามจะทิ้งระยะห่างระหว่างโต๊ะทำงานของเขาให้เท่าเดิม แต่หัวใจกลับเต้นแรงมากจนน่ากลัวว่ามันจะหลุดออกมาจากอก
“มีเงื่อนไขอยู่สามข้อที่เธอต้องยอมรับก่อนที่จะเป็นสินค้าของฉัน ถ้าข้อไหนทำไม่ได้ ให้บอก” โอยามะพูดต่อไปเรื่อยๆ ด้วยโทนเสียงแบบโมโนโทน ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าของเขาในตอนนี้ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ จนฉันไม่สามารถคาดเดาได้ว่าเขากำลังรู้สึกหรือคิดอะไรอยู่กันแน่
“เข้าใจที่พูดรึเปล่า”
“เข้าใจ แต่มีเรื่องจะถาม”
“ว่ามาสิ”
“ถ้าฉันทำตามเงื่อนไของนายได้ไม่ครบทั้งสามข้อ นายก็จะส่งฉันกลับไปเป็นสินค้าตามเดิมใช่รึเปล่า”
“ใช่” โอยามะตอบกลับมาแทบจะทันที ทำเอาฉันนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ
“มีอะไรจะถามอีกรึเปล่า” โอยามะย้อนถามบ้าง ซึ่งฉันก็ได้แต่ส่ายหัวปฏิเสธออกไปอย่างไม่มีทางเลือก
แล้วอยู่ๆ คนที่นั่งมองฉันนิ่งๆ มาตั้งแต่ต้นก็ผุดลุกขึ้นยืน สติของฉันแทบกระเจิงเมื่อเห็นว่าโอยามะยืดลำตัวขึ้นเต็มความสูง ก่อนจะเดินออกมาหยุดยืนอยู่ที่ด้านหน้าโต๊ะทำงานของเขาแล้วนั่งลงบนโต๊ะ ระยะห่างระหว่างเราเหลือเพียงแค่ก้าวเดียวเท่านั้น ก้าวเดียวที่ทำให้ความคิดของฉันเตลิดเปิดเปิงไปถึงไหนต่อไหน
“ข้อแรก ถ้าฉันต้องการ คือห้ามปฏิเสธ”
อึก!
เสียงกลืนน้ำลายของฉันดังจนน่าอาย เงื่อนไขข้อแรกของโอยามะทำให้ฉันเม้มริมฝีปากแน่นจนมันสั่นและรู้สึกเจ็บไปหมด
“ทำได้รึเปล่า”
ฉันมีสิทธิ์ปฏิเสธหรือยังไงล่ะ แล้วมีทางเลือกอื่นที่ดีกว่านี้หรือเปล่า
“ฉันไม่เข้าใจ ห้ามปฏิเสธในกรณีนี้ หมายถึง...”
“ทุกครั้ง ทุกเวลา ทุกสถานที่”
แค่เงื่อนไขข้อแรกยังตัดสินใจยากขนาดนี้ ฉันล่ะกลัวจริงๆ ว่าฉันจะไม่กล้าตอบตกลง ทั้งที่อีกใจก็กลัวเขาจับส่งไปเป็นสินค้าประมูลเหมือนเดิมใจจะขาด
“อืม”
“ทำได้หรือไม่ได้”
“ดะ...ได้”
ตอนนี้การเอาตัวรอดน่าจะสำคัญและควรทำมากที่สุดสินะ
“ข้อสอง ต้องซื่อสัตย์ ระหว่างที่เธอยังเป็นสินค้าของฉัน ห้ามเธอมีความสัมพันธ์กับคนอื่น...เด็ดขาด จนกว่าฉันจะเป็นฝ่ายยกเลิกเงื่อนไข”
“นายจะเป็นฝ่ายยกเลิกเงื่อนไข หมายความว่ายังไง”
“หมายความว่าหลังจากที่เธอตกลงจะเป็นสินค้าของฉัน โดยการยอมรับเงื่อนไขทั้งสามข้อของฉันได้แล้ว ฉันเป็นเพียงคนเดียวที่มีสิทธิ์ยกเลิกเงื่อนไขทั้งหมดระหว่างเธอกับฉัน เธอไม่มีสิทธิ์”
ยิ่งฟังฉันก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงความร้ายกาจของผู้ชายตรงหน้า เดาว่าถ้าฉันยอมรับเงื่อนไขของเขาครบทั้งสามข้อ ฉันคงมีสภาพไม่ต่างจากหุ่นยนต์ที่ไร้ชีวิต
“แล้วถ้านายเป็นคนยกเลิกเงื่อนไข มันหมายความว่ายังไง” ฉันลองเสี่ยงถามออกไปอีกรอบ และคำถามของฉันก็ทำให้โอยามะยกมือขึ้นมากอดอก ก่อนจะใช้สายตาของเขาจ้องมองฉันตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้า
“หมายความว่าฉันมีสิทธิ์ที่จะให้อิสระกับเธอ หรือขายเธอต่อให้คนอื่นก็ได้”
โหดร้ายที่สุด!
ฉันกัดฟันกรอดเมื่อได้ยินคำตอบที่โอยามะพูดออกมาอย่างไม่ละอาย แต่สำหรับฉันมันเป็นการเอาเปรียบกันอย่างชัดเจน เพราะนั่นหมายถึงต่อให้ฉันจะยอมเป็นสินค้าของเขา แต่หลังจากที่เขายกเลิกเงื่อนไขนั้นแล้ว เขาก็ยังสามารถขายฉันได้อยู่ดี
“ได้ หรือไม่ได้”
“ดะ...ได้” ฉันตอบตะกุกตะกัก
เมื่อครู่มีแวบหนึ่งที่ฉันแอบคิดว่าบางทีฉันก็น่าจะลองเสี่ยงยอมให้ตัวเองเป็นสินค้าในการประมูลดู แต่ไม่ว่าจะพยายามหลอกตัวเองยังไง ฉันก็ยังไม่กล้าจะปฏิเสธเงื่อนไขของเขาสักที
“ข้อสาม ไม่มีสิทธิ์เป็นเจ้าของ ไม่ว่าเธอจะคิดหรือรู้สึกอะไร ถ้าเธออยู่ในฐานะสินค้าของฉัน เธอสามารถแสดงออกได้ทั้งหมด ยกเว้นสองข้อที่ห้ามทำคือหึงหวงและแสดงความเป็นเจ้าของ” โอยามะอธิบาย และคำอธิบายของเขาก็กำลังทำให้ฉันหน้าชา
“ได้ หรือไม่ได้”
“ฉันขอถามได้มั้ย”
“ว่ามา”
“ฉันควรหรือไม่ควรรู้สึกอะไรกับนาย” ฉันถามออกไปเมื่อนึกทบทวนถึงสิ่งที่โอยามะเพิ่งพูดจบ คิดไม่ออกจริงๆ ว่าต้องรู้สึกอะไรกับเขา ฉันถึงได้อยากแสดงความเป็นเจ้าของ
“เชื่อฟังคำสั่งฉัน นั่นคือสิ่งที่ควรทำ”
“แล้วอะไรที่ไม่ควร”
“รักฉัน” โอยามะตอบเสียงเรียบ
“เฮอะ!”
“ไม่ได้ห้าม แต่ไม่ควร” โอยามะพูดพลางช้อนตามอง
“เอาอะไรคิดว่าฉันจะรักผู้ชายที่เกือบจะฆ่าฉัน แถมยังพยายามจะจับฉันไปขาย” ฉันย้อนถามออกไปตรงๆ อย่างนึกระบายอาการอึดอัดในอก แต่สุดท้ายพอถามจบ ฉันกลับกลายเป็นฝ่ายต้องเงียบลงเมื่อโอยามะมองมาด้วยแววตานิ่งๆ
“มานี่”
“ฉะ ฉัน...”
“เงื่อนไขแรกคืออะไร”
“ฉะ...ฉัน ฉัน...”
“ถ้าฉันต้องการ คือห้ามปฏิเสธ” โอยามะย้ำนิ่งๆ และแววตาที่เขามองมาก็นิ่งมากไม่ต่างกัน
“ทุกครั้ง ทุกเวลา ทุกสถานที่”
เงื่อนไขข้อแรกยังคงชัดเจนเมื่อโอยามะย้ำมันออกมาอีกรอบ พูดจบเขาก็นั่งนิ่ง ใช้สายตาคู่นั้นจ้องมองฉันราวกับกำลังคาดเดาความคิดของฉันอยู่
ฉันเม้มริมฝีปากแน่นเพราะรู้สึกเกร็งและกลัวไปหมด ถึงจะยังไม่ได้ตกลงครบเงื่อนไขทั้งสามข้อแต่ยังไงซะฉันก็ต้องตกลงอยู่แล้ว จึงจำเป็นต้องก้าวเท้าเข้ามาหาเขาอย่างเลี่ยงไม่ได้
“ใกล้อีก”
“คะ...คือ...”
ฟุ่บ!
สองตาของฉันเบิกโพลงเมื่อถูกโอยามะเอื้อมมือมาคว้ารอบเอวของฉันเอาไว้แล้วออกแรงดึงให้ฉันขยับเข้ามาใกล้ชิดแบบที่ไม่ทันได้ตั้งตัว
ฉันยกมือทั้งสองข้างของตัวเองขึ้นมาดันแผ่นอกกว้างของโอยามะเอาไว้ด้วยความตกใจ นี่เป็นครั้งแรกที่เราอยู่ใกล้กันขนาดที่ฉันรู้สึกอุ่นเพราะลมหายใจของเขาที่เป่ากระทบอยู่บนใบหน้า และดวงตาดุๆ คู่นั้นก็กำลังจ้องมองมาในระยะประชิด
ฟึ่บ!
จากที่ใกล้อยู่แล้วก็ยิ่งใกล้เข้าไปอีกเมื่อโอยามะออกแรงพยายามจะกระชับอ้อมแขนของเขาที่โอบอยู่รอบเอวของฉันให้แน่นขึ้น พร้อมกับโน้มใบหน้าของเขาลงมาใกล้ ทั้งที่ฉันพยายามเหยียดแขนทั้งสองที่ยังคงดันแผ่นอกกว้างๆ ของเขาอยู่ให้ตึงเอาไว้
วงแขนที่โอบกระชับอยู่รอบเอวเริ่มแน่นมากขึ้นทุกทีๆ จนแขนสองข้างของฉันต้านต่อไปไม่ไหว สุดท้ายก็กลายเป็นเพียงแค่ฝ่ามือที่วางแหมะทาบอยู่ที่แผ่นอกของเขาไปอย่างง่ายดาย
แต่ความใกล้ชิดที่มาแบบรวดเร็วไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น เมื่อโอยามะยังปั่นหัวฉันด้วยการลูบฝ่ามือหนาๆ ของเขาไปบนร่างกายของฉัน
จากเมื่อครู่ที่มือทั้งสองข้างของเขาจับอยู่ที่เอวของฉัน แต่ตอนนี้มือหนึ่งกำลังลูบวนอยู่บนแผ่นหลัง ในขณะที่มืออีกข้างลูบลงไปที่สะโพก
ฉันเม้มริมฝีปากแน่นมากเท่าที่คิดว่าจะทำได้ หัวใจเต้นตึกๆ อย่างปกปิดความตื่นกลัวไม่มิด ซึ่งถึงแม้ฉันจะรู้ว่าคนตรงหน้าดูออก แต่ฉันกลับมั่นใจว่าเขาไม่เคยคิดจะแยแสความรู้สึกของฉัน
“หยะ...”
คำต้องห้ามที่ฉันพูดไม่ทันจบเงียบลงไปเมื่อฉันไม่กล้าพูดต่อ เพียงเพราะเห็นว่าเรียวคิ้วสีดำหนาๆ เลิกสูงขึ้นเล็กน้อยเหมือนจะประหลาดใจและกำลังเตือนสติฉันว่าฉันไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ
...ทุกครั้ง ทุกเวลา ทุกสถานที่
“แค่จะบอกว่าฉันเข้าใจแล้ว ฉันจะเชื่อฟังคำสั่งของนาย แล้วก็...ไม่รักนายเด็ดขาด”
แม้จะเป็นการพูดเพื่อปฏิเสธว่าจะไม่รัก แต่ไม่รู้ทำไมมันถึงพูดยากเหลือเกินในเวลาที่ดวงตาคู่นั้นจ้องมองมาเนิ่นนานแบบนี้
“ฉันจะทำต่อได้รึยัง”
คำถามห้วนๆ ชวนให้ใจสั่นหนักกว่าเดิม เดิมทีฉันคิดว่าเขาอาจต้องการแค่ขู่ให้ฉันกลัว แต่จากสัมผัสร้อนๆ ที่ลูบวนอยู่บนสะโพกของฉันมาได้สักพักแล้วฉันก็พอจะรู้ว่าเขาคงไม่แค่ขู่
“อืม” ฉันตอบแบบไม่เต็มเสียงนักก่อนจะค่อยๆ หลับตาลง แต่เหมือนโดนเร่งให้ต้องหลับตาปี๋เมื่อสะโพกที่เขาลูบไล้อยู่เมื่อครู่ถูกขยำหนักๆ จนน่าตกใจ
หัวใจเต้นแรงยิ่งขึ้นราวกับถูกกดปุ่มเร่งระดับการเคลื่อนไหว และคนที่กดมันก็คือคนที่ยังไม่หยุดสัมผัสร่างกายของฉันนี่ยังไงล่ะ
“ลืมตา”
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าฉันต้องทำตามคำสั่ง และทันทีที่ฉันได้สบประสานนัยน์ตาของโอยามะอีกครั้ง ก็พบว่าระยะห่างระหว่างใบหน้าของเราเหลือเพียงไม่กี่เซนติเมตร ก่อนที่มันจะหมดลงเมื่อโอยามะยกมือขึ้นมารั้งท้ายทอยของฉันแล้วทาบประกบริมฝีปากลงมาทันที
สัมผัสที่รวดเร็วชวนให้รู้สึกปั่นป่วนในอก ก้อนเนื้อที่เต้นตุบๆ อยู่กลางอกยังคงเต้นแรงอย่างต่อเนื่อง ริมฝีปากอุ่นร้อนขบเม้มและดูดดึงริมฝีปากของฉันอย่างหนักหน่วงและหื่นกระหาย เช่นเดียวกับมืออีกข้างที่ยังคงบีบและเคล้นสะโพกของฉันแรงๆ อย่างมันมือ
“อื้อออ” ฉันพยายามเปล่งเสียงประท้วงออกไปในลำคอ อยากผลักไสเขาออกไปแต่เรี่ยวแรงกลับแทบไม่เหลือ ก่อนจะต้องลืมตาขึ้นมาพบกับความจริงที่น่ากลัวผ่านทางสายตาคู่นั้นอีกครั้งเมื่อเขาพยายามแทรกปลายลิ้นเข้ามาอย่างชำนาญ
ร่างกายของฉันไม่ใช่ของฉันอีกต่อไปเมื่อมันกำลังเชื่อฟังคำสั่งจากร่างกายของใครอีกคนมากกว่า!
โอยามะแทรกปลายลิ้นเข้ามาในโพรงปากของฉัน เขาใช้มันกวาดต้อนและดุนดันทุกอย่างอย่างเอาแต่ใจ ในขณะที่มือของเขาก็ยังทำหน้าที่ได้ดีเยี่ยมจนฉันรู้สึกแข้งขาอ่อนปวกเปียกเพราะเกินจะต้าน
“หึ!”
เสียงแค่นหัวเราะในลำคอของโอยามะทำให้ฉันรู้สึกว่าใบหน้าร้อนผ่าว เขาละริมฝีปากออกแล้วแต่ยังไม่ได้ถอยหรือผละตัวออกไป ไม่แม้แต่จะปล่อยให้ฉันได้ถอยห่าง และฉันก็ยังไม่มีแรงพอจะทำเองด้วยซ้ำ สภาพตอนนี้น่าอายที่สุดเพราะฉันกำลังรู้สึกเหมือนตัวเองอ่อนแรงอยู่ในอ้อมกอดของเขาไม่มีผิด
“จำที่พูดไว้ให้ดีก็แล้วกัน”
“ฉัน...”
“การตอบสนองของเธอมันบอกแล้วว่าเธอตกลงกับเงื่อนไขทั้งสามข้อ เพราะงั้นก็ไม่ต้องพูดอีก” โอยามะพูดแทรกราวกับไม่อยากจะได้ยินเสียงหรือคำถามของฉันอีกแล้ว ฉันจึงต้องเม้มริมฝีปากแน่นแล้วสะกดกลั้นทุกอย่างเอาไว้ในอก
ฟุ่บ!
หัวใจยังไม่ทันจะเต้นเป็นปกติ โอยามะก็เร่งจังหวะการเต้นของมันด้วยการช้อนตัวฉันขึ้นจากพื้น ซึ่งปฏิกิริยาอัตโนมัติของร่างกายฉันที่ตอบสนองการกระทำของเขาในตอนนี้ก็คือการยกแขนขึ้นไปคล้องคอเขาเอาไว้เพราะกลัวว่าจะตกลงไป
“คราวหน้าถ้าขัดคำสั่งฉัน ขาเธอจะไม่ได้อ่อนแรงเพราะแค่จูบ”
คำพูดชวนให้ใจหวิวทำให้ฉันก้มหน้างุดซบลงกับแผงอกกว้างอย่างไม่มีทางเลือกเมื่อเข้าใจถึงความหมายของสิ่งที่เขาพูด แต่ก็ยังอดสงสัยไม่ได้
“แต่ฉันยังไม่ได้ขัดคำสั่งอะไรของนายเลยนะ”
“ฉันจำได้ว่าสั่งให้คิราวะเตรียมเสื้อผ้าไปให้เธอเปลี่ยนก่อนพามาหาฉัน”
“เอ่อ...”
สรุปว่านั่นคือคำสั่งแรกที่ฉันไม่ได้ทำตามสินะ
“นับจากนี้เธอจะอยู่ในความดูแลของฉันจนกว่าฉันจะเป็นฝ่ายบอกยกเลิกเงื่อนไข”
“อืม ฉะ...ฉันเข้าใจแล้ว” ฉันตอบเบาๆ ก่อนจะเงียบลงอีกครั้ง วินาทีนี้ฉันแยกไม่ออกว่าหัวใจของฉันกำลังว้าวุ่นหรือสงบลงเมื่อได้อยู่อิงแอบแนบชิดกับความมั่นคงและแข็งแรงของโอยามะ บอกตรงๆ ว่าตอนนี้ฉันไม่มีเรี่ยวแรงจะสู้กับอะไรอีกแล้วทั้งนั้น
“ห้ามโกหกหรือทรยศฉัน สงสัยอะไรให้ถาม หรือถ้าฉันเป็นคนถาม หน้าที่เธอก็คือตอบ” โอยามะเน้นย้ำเสียงเรียบทั้งที่เขายังคงอุ้มฉันเอาไว้ในอ้อมแขน ส่วนฉันพยักหน้าเบาๆ แทนคำตอบ
“อืม”
“ตอนนี้ยังสงสัยอะไรอีกรึเปล่า”
“ยะ...ยังนึกไม่ออก” ฉันตอบออกไปตรงๆ เพราะกำลังสับสนไปหมดจนไม่รู้ว่าตอนนี้ฉันควรพูดหรือถามอะไรบ้าง
“งั้นตอนนี้ก็ตอบคำถามก่อนก็แล้วกัน”
“ดะ...ได้สิ”
“ทำไมยูริถึงได้ใช้ให้เธอมาขโมยของในห้องฉัน”
คำถามของโอยามะทำให้ฉันรู้สึกเหมือนถูกกระชากหัวใจออกจากอก สองตาเบิกโพลงเมื่อไม่คิดว่าเขาจะรู้เรื่องทุกอย่างแล้ว แถมเขายังรู้แม้กระทั่งชื่อของยูริ
“ฉัน...”
“เธอมีเวลาสี่สิบห้านาทีในการคิดคำตอบ แต่ถ้าคำตอบของเธอไม่ตรงกับของฉัน บทเรียนที่เธอ เพื่อนของเธอ รวมถึงพี่ชายของเพื่อนเธอจะได้รับ มันจะไม่สวยเท่าไหร่” โอยามะพูดพลางเดินออกมาจากห้องในทันที
“นายจะพาฉันไปไหน”
“ไปหาคำตอบ แต่ก่อนที่ฉันจะได้ยินจากปากของเพื่อนเธอ ฉันอยากฟังจากปากเธอก่อน จะได้ตัดสินใจถูกว่าฉันควรจะสั่งสอนเธอแบบไหนดี”
“นายทำอะไรยูริกับพี่ยูตะ”
“ขึ้นอยู่กับคำตอบที่ฉันกำลังจะได้จากเธอ”