“ฉันสัญญาว่าฉันจะกลับมา”
“อย่าไปนะ”
“รอฉันนะ...ฮานะ ฉันจะกลับมารับเธอ”
“ไม่ อย่าไป อย่าทิ้งฉันไปนะริว อย่าไป!” ฉันตะโกนร้องเรียกเด็กผู้ชายตัวสูงๆ ที่ยืนอยู่บนกำแพงสูงจนท่วมหัวของฉัน แต่ไม่ว่าจะพยายามร้องเรียกเขาเท่าไหร่ เขาก็ไม่ฟังเสียงของฉันเลย
ริวส่งยิ้มให้ฉันพร้อมกับโบกมือลา เขาย้ำกับฉันว่าเขาจะกลับมาหาฉัน เขาเคยสัญญาว่าจะไม่ทิ้งฉัน แต่สุดท้าย…หลังจากที่เขาเลือกจะกระโดดลงไปที่อีกฟากหนึ่งของกำแพง เขาก็ไม่เคยกลับมาหาฉันอีกเลย
“ริว อย่าทิ้งฉันไป อย่าไปนะ ข้างนอกมันอันตราย”
“รอฉันนะ ฮานะ”
“ริว กลับมา กลับมาหาฉัน กลับมา!” เสียงของฉันค่อยๆ หายไปในอากาศเมื่อริวไม่กลับมาอีกแล้ว
“นี่ ตื่นได้แล้ว ฝันบ้าอะไรของเธอ”
ฝัน! บ้าจริง ฉันฝันไปเหรอเนี่ย!
สองตาของฉันเบิกโพลงขึ้นมาโดยอัตโนมัติเมื่อได้ยินเสียงของใครสักคนที่กำลังเรียกฉันพร้อมกับที่เขย่าเพื่อให้ฉันรู้สึกตัว อาการมึนหัวเข้าจู่โจมทันทีที่ฉันลืมตาจนฉันต้องยกมือขึ้นมากุมขมับ เสียงลมหายใจดังจนน่ากลัวแถมยังร้อนผ่าวจนรู้สึกได้
“ตื่นสักทีเถอะ ฉันคิดว่าเธอจะตายไปแล้วซะอีก” ผู้หญิงคนนั้นรำพึงรำพันพร้อมกับทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ เตียง
ใช่! เตียง ฉันนอนอยู่บนเตียงจริงๆ แถมยังใส่เสื้อผ้าของใครก็ไม่รู้ ไม่ได้สวมเพียงชุดชั้นในกับเสื้อโค้ทตัวใหญ่ของโอยามะเหมือนตอนก่อนจะหมดสติไปแล้ว
โอยามะ! ชื่อนี้ทำให้ฉันสะดุ้ง ทั้งที่มีแค่ชื่อของเขาที่แวบเข้ามาในความคิด
“ที่นี่ที่ไหน” ฉันรีบถามพร้อมกับค่อยๆ ดันตัวเองขึ้นจากฟูกที่นอน ยังรู้สึกมึนหัวไปหมดแต่ไม่กล้าจะนอนต่อ พยายามกวาดสายตามองไปรอบๆ แล้วพบว่าภายในห้องห้องนี้มีเพียงฉันกับผู้หญิงคนที่เพิ่งปลุกฉันให้ตื่นขึ้นมาจากฝันร้ายเมื่อครู่อยู่กันแค่สองคนเท่านั้น
“เธอคิดว่าไงล่ะ” เธอย้อนถามพลางไหวไหล่ใส่ฉันเล็กน้อย
“ฉันไม่รู้ ฉันจำอะไรไม่ได้เลย” ฉันสารภาพเสียงอ่อย ก่อนจะก้มหน้าลงแล้วพยายามนึกอีกรอบ
จำได้ว่าก่อนที่ภาพทุกอย่างจะค่อยๆ เลือนหายไป ฉันได้ยินผู้ชายสองคนที่ตามไปจับตัวฉันมาพูดกันว่าจะพาฉันมาที่แบล็กทาวน์
“โอยามะสั่งให้คนพวกนั้นไปจับตัวฉันมา อื้อออ”
“จะบ้าเหรอ โพล่งออกมาเสียงดังทำไม เธออยากตายรึยังไงเนี่ย”
อยู่ๆ ผู้หญิงคนนั้นก็พุ่งเข้ามาปิดปากฉันเอาไว้จนแน่น แถมยังกระซิบกระซาบพูดกับฉันราวกับกลัวว่าใครจะมาได้ยินเข้า
น้ำเสียงลอดไรฟันที่ได้ยินทำเอาฉันรู้สึกตกใจ แต่ครู่หนึ่งเมื่อเริ่มตั้งสติได้ ความตื่นตกใจก็กลายเป็นความรู้สึกเริ่มแน่นหน้าอกไปซะดื้อๆ ขอบตาร้อนผ่าวและเริ่มสั่นเมื่อรู้ตัวแล้วว่าหมดทางหนีรอด
ฉันอยู่ที่แบล็กทาวน์และกำลังจะถูกขาย เป็นเพียงแค่สินค้าชิ้นหนึ่งที่ยังมีชีวิต!
“ฉันต้องทำอะไรบ้างเหรอ” ฉันพยายามรวบรวมสติแล้วถามออกไปอีกรอบ ซึ่งเธอคนนั้นก็ยังเอาแต่มองฉันด้วยแววตาประหลาดใจ
“เธอหมายถึงอะไรล่ะ”
“ก็หมายถึงสินค้าน่ะ”
“สินค้าอะไร”
“ก็สินค้าในงานประมูลยังไงล่ะ ฉันกำลังจะถูกขาย” ฉันพูดออกไปด้วยความสิ้นหวัง
ก๊อกๆๆ
เสียงเคาะประตูดังแทรกขึ้นมาก่อนที่เธอคนนั้นจะได้ตอบคำถามของฉัน ซึ่งทันทีที่ฉันหันไปมอง ประตูห้องก็ถูกเปิดเข้ามาโดยที่คนในห้องยังไม่มีใครได้เอ่ยปากอนุญาตด้วยซ้ำ ทำราวกับว่าคนด้านนอกมีสิทธิ์จะเปิดเข้ามาเมื่อไหร่ก็ได้
ผู้ชายตัวสูงๆ ในชุดสีดำคนหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมกับถุงกระดาษในมือ ซึ่งเมื่อเขาเห็นว่าฉันกำลังนั่งมองเขาอยู่ เขาก็เดินตรงเข้ามาหาฉันทันที
“เปลี่ยนเสื้อผ้าซะ อีกสิบนาทีจะมารับ” ผู้ชายในชุดสูทยูนิฟอร์มสีดำแบบที่ฉันคุ้นตาพูดพร้อมกับวางถุงกระดาษในมือลงที่ปลายเตียง ถ้าฉันจับต้นชนปลายไม่ผิด ฉันคิดว่าในถุงนั้นน่าจะเป็นเสื้อผ้า
“นายจะพาฉันไปไหน” ฉันรีบถามพลางมองผู้ชายคนนั้นด้วยแววตาหวาดๆ แต่เขากลับไม่ยอมตอบคำถามของฉัน แล้วหันไปมองผู้หญิงคนนั้นแทนทันที
“เธอละเมอหาใครสักคนชื่อริวค่ะ”
คำบอกเล่าของผู้หญิงคนนั้นทำให้ฉันเบิกตาโพลง
“ขอบใจ”
“หมดหน้าที่ของฉันแล้ว ฉันไปได้รึยังคะ”
“ยัง จัดการที่เหลือต่อให้เสร็จ มีเวลาสิบนาทีก่อนที่คุณโอยามะจะถึง”
“ได้ค่ะ จะรีบจัดการให้เดี๋ยวนี้” เธอรับปากอย่างรวดเร็ว ซึ่งหลังจากที่เธอพูดจบ ผู้ชายคนนั้นก็เดินกลับออกไปทันทีโดยไม่หันมามองฉันเลยด้วยซ้ำ
“นี่นาย...”
“เงียบน่า ถามไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก ไม่ได้ยินที่เขาสั่งรึไง”
ฉันถูกปรามโดยผู้หญิงที่ฉันไม่รู้จักแม้แต่ชื่อของเธอ เธอขึงตาใส่ฉันแล้วออกคำสั่งผ่านทางสายตาว่าให้ฉันหุบปากให้สนิท
ปัง!
แล้วประตูก็ปิดลงอีกครั้งโดยที่ฉันยังไม่เข้าใจอะไรเลยสักอย่างเดียว
“ตกลงนี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย!” ฉันอดไม่ได้ที่จะร้องถาม และคิดว่าคนที่ยังนั่งอยู่กับฉันนี่แหละที่น่าจะตอบคำถามฉันได้ดีที่สุด
“ฉันถามว่านี่มันเรื่องอะไร”
“ฉันไม่รู้” เธอปฏิเสธทั้งที่ไม่กล้าสบตาฉันด้วยซ้ำ
“ไม่จริง เธอต้องรู้สิ ไม่อย่างนั้นเธอจะรับปากผู้ชายคนนั้นได้ยังไง ไหนจะยังเรื่องที่เธอรายงานผู้ชายคนนั้นว่าฉันละเมออีกล่ะ บอกฉันมานะ”
“อย่ามาเสียงดังใส่ฉันนะ ฉันบอกว่าไม่รู้ก็คือไม่รู้สิ หน้าที่ของฉันก็คือมาเฝ้าเธอจนกว่าเธอจะฟื้น แล้วก็รายงานให้คุณคิราวะรู้เท่านั้นเอง” ผู้หญิงคนนั้นอธิบายเสียงเรียบ
“ใครคือคิราวะ”
“ก็บอดี้การ์ดคนสนิทของคุณโอยามะคนเมื่อกี้นี้ยังไงล่ะ”
บอดี้การ์ดของโอยามะงั้นเหรอ
“รีบๆ ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าสิ มัวนั่งอึ้งอยู่ทำไมล่ะ”
“ปะ...เปลี่ยนทำไม” ฉันถามเสียงสั่น พูดไปก็มองหน้าเธอคนนั้นสลับกับถุงกระดาษไปอย่างนึกกลัว
ทั้งที่ก่อนหน้านี้ฉันเคยบอกกับตัวเองว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นฉันก็ไม่กลัวอะไรอีกแล้วทั้งนั้น แต่เพียงแค่ได้ยินชื่อของโอยามะ หัวใจของฉันกลับสะท้านไปหมด
“ฉันไม่รู้หรอกว่าเปลี่ยนทำไม รู้แต่ว่าคิราวะสั่งให้เปลี่ยนก็ต้องเปลี่ยน หรือเธออยากถูกคิราวะกระชากไปเปลี่ยนให้ก็ตามใจ”
คำขู่จากผู้หญิงแปลกหน้าทำให้ฉันเม้มริมฝีปากแน่น กลืนทุกคำปฏิเสธลงไปอย่างไม่มีทางเลือก ภาพในคืนก่อนตอนที่ถูกจับถอดเสื้อผ้าฉายชัดเข้ามาในหัวราวกับถูกตั้งเวลาเอาไว้
“มองทำไม หรือเธอคิดว่าฉันโกหก พวกเขาน่ะทำได้ทุกอย่างที่คุณโอยามะสั่งเชียวนะ อย่าว่าแต่จับเธอเปลี่ยนเสื้อผ้าเลย ถ้าคุณโอยามะต้องการมากกว่านั้น จะเขา ฉัน หรือเธอก็ไม่มีสิทธิ์ขัดขืน”
“มะ...ไม่หรอก พะ...พวกเขาก็แค่พาฉันมาขาย” ฉันเถียงตะกุกตะกัก
“ถ้างั้นเธอก็น่าจะรู้ว่าพวกเขาคงไม่เอาของสกปรกๆ ไปขาย”
ของสกปรกเหรอ นี่คือเหตุผลที่เขาสั่งให้ฉันเปลี่ยนเสื้อผ้าสินะ
“ฉันจะบอกเอาไว้เลยนะฮานะ ว่าต่อให้เธอจะดื้อดึงยังไงก็ไม่มีทางสำเร็จหรอก ยังไงซะพวกเขาก็ต้องได้ในสิ่งที่พวกเขาต้องการ ส่วนไอ้เรื่องงานประมูลอะไรนั่นน่ะ มันจัดไปตั้งแต่วันศุกร์แล้ว!”
“มะ...หมายความว่ายังไง”
“ก็หมายความว่าเธอนอนหมดสติไปสี่วันเต็มๆ ยังไงล่ะ เลยวันประมูลมาแล้ว จะมีอีกทีก็วันศุกร์สิ้นเดือนหน้าโน่น”
คำอธิบายของเธอทำให้ฉันรู้สึกมึนหัวไปหมด
“ศุกร์สิ้นเดือนเหรอ”
“ใช่ การประมูลจะจัดขึ้นทุกวันศุกร์สิ้นเดือน เพราะฉะนั้นวันนี้เธอมีโอกาสรอดแล้ว รีบๆ ทำตัวดีๆ ซะ เผื่อว่าถ้าเธอทำให้คุณโอยามะถูกใจ เขาจะได้ไม่ขายเธอ”
บอกตรงๆ ว่าฉันไม่เข้าใจอะไรสักอย่างที่ผู้หญิงคนนี้กำลังพูด เพราะถ้าฉันตีความหมายไม่ผิด ไอ้คำว่าทำให้ถูกใจนั่นมันไม่น่าจะเป็นเรื่องอย่างอื่นไปได้ ซึ่งจากการพบกันวันนั้น บอกตรงๆ ว่าคงเป็นไปได้ยาก เพราะฉันคิดว่าเขาไม่มีทางถูกใจกับสิ่งที่ฉันทำลงไปแล้วแน่นอน
“เชื่อฉันเถอะน่า เธอรู้ตัวมั้ยว่ามีไม่กี่คนหรอกนะที่จะได้รับโอกาสจากคุณโอยามะ บางทีถ้าเธอทำให้เขาพอใจในตัวเธอได้ เขาอาจจะไม่จับเธอไปเป็นสินค้าก็ได้”
“แบบนั้นไม่เรียกโอกาสสักหน่อย เพราะมันไม่ต่างอะไรกับการเป็นสินค้าสักนิด” ฉันบอกออกไปทันทีเมื่อคำว่าทำให้คุณโอยามะพอใจในตัวฉันวนไปวนมาอยู่ในหัวไม่หยุด
“แต่การได้เป็นสินค้าของคุณโอยามะ มันดีกว่าเป็นสินค้าของไอ้พวกโรคจิตคนอื่นๆ เป็นไหนๆ เธอไม่มีทางรู้หรอกว่าใครจะประมูลได้เธอไป หน้าตาเป็นยังไง อายุเท่าไหร่ นิสัยใจคอเป็นยังไง ถ้าไปเจอไอ้พวกวิตถารขึ้นมา ฉันว่าสู้ยอมเป็นสินค้าของคุณโอยามะซะดีกว่า เพราะเท่าที่ฉันรู้และเห็นมาคุณโอยามะก็หน้าตาดีกว่าไอ้พวกที่เข้าร่วมงานประมูลเกือบทั้งหมด แถมยังไม่ได้มีท่าทีว่าจะเป็นโรคจิตแบบบางคนด้วยซ้ำ”
ทำไมในสมองของฉันไม่มีเรื่องหน้าตาเข้ามาเกี่ยวข้องเลยสักนิด เพิ่งจะมานึกได้ตอนที่เธอพูดด้วยซ้ำ ส่วนเรื่องโรคจิตนั่นฉันไม่แน่ใจเลยจริงๆ แต่ถ้าถามเรื่องความป่าเถื่อนและเลือดเย็น ฉันว่าผู้ชายที่ชื่อโอยามะนี่คงได้คะแนนเต็ม
“ทีนี้เธอจะเอายังไง จะเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วให้ฉันช่วยแต่งหน้าให้ดีๆ รอโอกาส หรือจะให้คิราวะกลับมาจัดการเอง เพราะยังไงซะเธอก็หนีไม่พ้นหรอก อยู่ที่ว่าจะเลือกไปสภาพไหนเท่านั้นเอง”
ทำไมเหมือนมีทางเลือกแต่กลับไม่มีล่ะ ยิ่งฟังเธอพูด ฉันก็ยิ่งรู้สึกเหมือนเธอกำลังพยายามหว่านล้อมให้ฉันยอมเป็นสินค้าของโอยามะอย่างไรอย่างนั้น
“เขาให้เธอมาพูดหว่านล้อมฉันเหรอ”
คำถามของฉันทำให้ผู้หญิงตรงหน้าถอนใจแรง ก่อนจะปฏิเสธด้วยการส่ายหัวเบาๆ
“เปล่า ฉันไม่ได้หว่านล้อม แต่แค่กำลังเตือนว่าเธอไม่มีทางเลือก คนที่คิดจะลองดีกับคุณโอยามะ ไม่เคยมีใครมีจุดจบที่ดีหรอก เพราะฉะนั้นตอนนี้ทางออกที่ดีที่สุดสำหรับเธอก็คือการรู้จักปรับตัวเพื่อเอาตัวรอด” ผู้หญิงคนนั้นพูดพลางไหวไหล่เบาๆ คล้ายกับว่าไม่ได้สนใจสิ่งที่ตัวเองกำลังพูดเท่าไหร่นัก แต่ฉันดันเชื่อทุกคำพูด เพียงแต่ไม่ได้เชื่อเพราะคิดว่าเธอหวังดี แต่เชื่อเพราะฉันพิสูจน์มาแล้วต่างหาก
ก๊อกๆๆ
แล้วเสียงประตูก็ดังขึ้นอีกครั้งก่อนที่ประตูบานนั้นจะถูกเปิดเข้ามาทันทีเหมือนครั้งแรก
“ไปได้แล้ว” บอดี้การ์ดที่ชื่อคิราวะพูดเสียงเรียบ ซึ่งฉันไม่รู้หรอกว่าเขาพูดกับฉันหรือผู้หญิงคนนั้น จนกระทั่งคนข้างๆ ลุกขึ้นยืน
หมับ!
ไม่รู้อะไรดลใจให้ฉันเอื้อมมือไปคว้าข้อมือของเธอเอาไว้ เพราะถึงเราจะเจอกันครั้งแรกและจนป่านนี้ฉันก็ยังไม่รู้จักชื่อเธอด้วยซ้ำ ฉันก็รู้สึกดีที่จะมีเธออยู่เป็นเพื่อน
ผู้หญิงคนนั้นหันกลับมามองฉันอีกครั้งด้วยแววตาว่างเปล่า พร้อมกับค่อยๆ ทิ้งลมหายใจออกมาเบาๆ เธอส่ายหัวนิดหน่อยเหมือนอยากจะเตือนฉันว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่ฉันจะรั้งเธอเอาไว้
นี่ฉันจะทำอะไรไม่ได้เลยหรือยังไงกันนะ!
“ฉะ...ฉันยังไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้า หนะ...หน้าก็ยังไม่ได้แต่งด้วย” ฉันโพล่งออกไปด้วยเสียงสั่นเครือ ตอนนี้ขอแค่ต่อเวลาได้ แม้เพียงสามถึงห้านาทีฉันก็ต้องทำ
ฟึ่บ!
แล้วมือของฉันก็หลุดออกเมื่อถูกเจ้าของข้อมือที่ฉันพยายามรั้งเอาไว้แกะออกอย่างไม่ไยดี ก่อนที่เธอจะเดินจากไปโดยไม่พูดอะไรกับฉันอีกเลยแม้แต่คำเดียว
ไม่ทันได้รู้จักชื่อ ไม่มีแม้แต่คำร่ำลา
“ลุกขึ้นแล้วตามมา”
นั่นคงเป็นคำสั่งที่เขาต้องการสั่งฉันสินะ เพราะตอนนี้ภายในห้องเหลือแค่ฉันกับเขาแล้วนี่นา
“ฉะ ฉัน...”
“ทำตามที่สั่งก็พอ” น้ำเสียงเย็นเยียบเอ่ยซ้ำอีกรอบพร้อมกับช้อนตามองฉันนิดหน่อย แต่ฉันกลับสัมผัสได้ถึงความอันตราย
ฉันเม้มริมฝีปากแน่นพลางค่อยๆ ขยับตัวเองลงจากเตียง อาการปวดหัวพลันมลายหายไปเมื่อความกดดันเข้ามาแทนที่
ร่างสูงเดินนำฉันออกไปเงียบๆ ฉันได้แต่มองตามแผ่นหลังกว้างๆ นั้นแล้วค่อยๆ ก้าวเท้าเดินตามเขาออกมา
โถงทางเดินมีขนาดไม่กว้างมาก แต่กลับยาวจนฉันรู้สึกใจสั่น ยิ่งไม่รู้ว่าจุดหมายปลายทางคือที่ไหนก็ยิ่งรู้สึกกลัว
เสียงฝีเท้าก้องสะท้อนไปมาทุกครั้งที่รองเท้าคัทชูย่ำลงบนพื้นพรม ต่างจากฉันที่ไม่ว่าจะเดินมาไกลแค่ไหนก็ยังได้ยินแต่เสียงหัวใจของตัวเอง ฉันเดินออกมาจากห้องนั้นด้วยสองเท้าเปล่าๆ และสวมเสื้อผ้าที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นของใคร