“ฮานะ”
บ้าจริง ในสถานการณ์แบบนี้ฉันเผลอหลับไปได้ยังไงนะ
“ถึงแล้วเหรอ”
“อืม เดี๋ยวเธออ้อมไปทางด้านหลังนะ ฉันกับพี่ยูตะจะรอที่รถ นี่โทรศัพท์ ถ้ามีอะไรให้รีบโทรมา หรือถ้าฉันเห็นอะไรไม่ชอบมาพากล ฉันก็จะรีบโทรไปบอก” ยูริย้ำพร้อมกับยื่นโทรศัพท์มือถือให้ฉัน ซึ่งฉันก็รับเอาไว้อย่างไม่อิดออด รู้สึกขอบคุณที่เธอยื่นมือเข้ามาช่วย แถมยังคิดอะไรรอบคอบกว่าฉันซะอีก
“เดี๋ยว!” พี่ยูตะเรียกฉันเอาไว้เมื่อฉันหันกลับมาเปิดประตูรถ
พี่ยูตะจอดรถที่ด้านหลังหอพักตรงบริเวณที่ค่อนข้างมืด เพราะตอนนี้เราไม่ต้องการเป็นจุดสนใจของใครๆ ยิ่งถ้าโชคร้ายมีคนของโอยามะมาเห็นเข้าเรื่องมันจะยิ่งไปกันใหญ่
“มีอะไรเหรอคะพี่ยูตะ”
“เอามาเฉพาะของที่จำเป็น แล้วก็เร็วที่สุดด้วย” พี่ยูตะย้ำเสียงเรียบ ฉันพยักหน้าเบาๆ เพราะเข้าใจดีว่าเขาหมายถึงอะไร
หัวใจของฉันเต้นตึกๆ เหมือนเมื่อตอนที่แอบย่องขึ้นไปที่คอนโดของโอยามะไม่มีผิด สายตามองสอดส่องไปรอบๆ เพื่อระมัดระวังตัวเอง ในมือกำโทรศัพท์แน่นเพราะกลัวว่าจะเผลอทำมันหลุดมือ
ฟุ่บ!
“บ้าจริง ทำไมถึงได้มารวดเร็วแบบนี้ล่ะ!” ฉันรำพึงรำพันหลังจากที่พาตัวเองถอยหลังกลับมายืนหลบอยู่ในตรอกแคบๆ ก่อนถึงทางเข้าหอพักทางด้านหลัง
เมื่อกี้นี้เหมือนฉันจะเห็นผู้ชายสองคนมีท่าทีแปลกๆ เดินไปเดินมาอยู่ด้านใน แม้จะไม่แน่ใจนักว่าสองคนที่เห็นจะใช่คนของโอยามะหรือเปล่า แต่เท่าที่ดูจากเสื้อผ้า แว่นดำ รวมถึงบุคลิกที่ดูสง่าผ่าเผยแบบนั้นไม่มีทางใช่ยามประจำหอพักแน่ๆ
ฉันพยายามบอกตัวเองให้ใจเย็นๆ แล้วชะโงกหน้าออกไปแอบมองให้แน่ใจอีกครั้ง ซึ่งเมื่อพบว่าผู้ชายสองคนที่เห็นเมื่อครู่ยังยืนอยู่ที่เดิมเหมือนกำลังรอใครสักคน ฉันก็ยกโทรศัพท์ในมือขึ้นมากดโทรหาพี่ยูตะทันที
โทรศัพท์ในมือของฉันคือโทรศัพท์ของยูริ เพราะฉะนั้นถ้าฉันจะโทรส่งข่าวให้สองคนที่กำลังรอฉันอยู่รู้ ฉันก็ต้องโทรหาพี่ยูตะนั่นแหละ
“ฮัลโหลพี่ยูตะ” ฉันรีบกรอกเสียงลงไปเมื่อพี่ยูตะกดรับแทบจะในทันที เพราะว่าเขาเองก็คงกำลังลุ้นและรออยู่เหมือนกัน
[มีอะไร หรือว่าเจอคนของโอยามะแล้ว]
“ไม่แน่ใจค่ะ แต่มีผู้ชายท่าทางแปลกๆ สองคนยืนแถวๆ หอพักทางด้านหลัง ฮานะไม่รู้ว่าใช่คนของโอยามะรึเปล่า”
[พวกมันเห็นเธอรึยัง]
“ยังค่ะ ฮานะเห็นพวกมันก่อน ก็เลยหลบอยู่ ยังไม่ได้เดินออกไปค่ะ”
[ตอนนี้อยู่ตรงไหน] พี่ยูตะถามเสียงเข้ม และฉันรู้สึกได้ว่าเขากำลังกังวล
“อยู่ตรงตรอกใกล้ๆ กับประตูทางเข้าหอพักทางด้านหลังค่ะ”
[อยู่ตรงนั้นก่อน อย่าเพิ่งออกมาจนกว่าฉันจะโทรกลับไป ฉันจะขับรถวนไปดูด้านหน้า แล้วจะโทรบอก]
“ได้ค่ะ” ฉันรับปากอย่างรวดเร็วก่อนจะกดวางสาย แต่ยังคงกำโทรศัพท์เอาไว้ในมือแน่นเพราะไม่อยากพลาดการติดต่อ
หัวใจของฉันเต้นไม่เป็นส่ำ เมื่อไหร่นะที่ฝันร้ายในคืนนี้จะผ่านไปสักที
ฟุ่บ!
ฉันค่อยๆ หย่อนตัวเองนั่งลงกับพื้นด้วยความรู้สึกอ่อนแรง ใช้ความมืดเพื่อซ่อนตัวเองอยู่ตรงนั้นอย่างไม่รู้จุดหมาย ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เรื่องราวบ้าๆ นี่จะสิ้นสุด
ยิ่งเงียบฉันก็ยิ่งได้ยินเสียงลมหายใจของตัวเองชัดเจน พยายามแล้วที่จะหายใจให้เบาที่สุด แต่วินาทีนี้การบังคับหรือควบคุมความกลัวที่อยู่ลึกสุดของก้นบึ้งหัวใจกลับทำได้ยากเต็มที เพราะนับตั้งแต่วินาทีที่เกือบถูกโอยามะพรากลมหายใจซึ่งเป็นสิ่งมีค่าที่สุดสำหรับชีวิตไป ก็เหมือนกับว่าร่างกายของฉันมันจะไม่เชื่อฟังฉันอีกแล้ว
เขาปลุกทุกความกลัวในจิตใจของฉันขึ้นมา และยากที่ฉันจะสั่งให้มันหลับใหลได้เหมือนเดิม
เวลาผ่านไปนานเกือบครึ่งชั่วโมง แต่ฉันก็ยังไม่ได้รับการติดต่อจากพี่ยูตะหรือว่ายูริ ความร้อนใจเริ่มก่อตัวขึ้นในอกเพราะกลัวว่าพวกเขาจะเป็นอันตราย
หรือว่าคนของโอยามะจะจับพี่ยูตะกับยูริไปนะ!
สมองตั้งคำถามขึ้นมาทันที และคำถามนั้นก็เริ่มทำให้ฉันรู้สึกกังวลจนต้องพยายามลุกขึ้นยืนอีกครั้ง ก่อนจะค่อยๆ ยื่นหน้าออกไปมองหาผู้ชายสองคนนั้น แต่คำตอบที่ได้กลับเป็นความว่างเปล่า
ผู้ชายสองคนนั้นหายไปแล้ว!
ทันทีที่รู้ว่าเหตุการณ์ไม่ปกติฉันก็รีบติดต่อพี่ยูตะอีกครั้ง แต่รอสายอยู่นานก็ยังไม่มีคนกดรับสักที สุดท้ายฉันจึงตัดสินใจจะเดินย้อนกลับไปที่รถ แต่ทว่า...
“ฉันคิดว่าเธอจะนอนในนั้นซะอีก”
“พวกนาย!”
สองตาของฉันเบิกโพลงขึ้นมาทันทีเมื่อได้เผชิญหน้ากับชายชุดดำสองคน ที่เหมือนจะมาดักรอฉันอยู่ตรงนี้นานแล้ว
“จะไปด้วยกันดีๆ หรือจะให้ฉันใช้กำลัง”
“ไม่ ถอยไปนะ ช่วย...”
อุ้ก!
เสียงของฉันจุกอยู่ในลำคอเมื่อไม่สามารถเปล่งออกไปได้ ทันทีที่ฉันพยายามจะร้องขอความช่วยเหลือ หนึ่งในสองคนนั้นก็ตรงเข้ามาชกท้องของฉันอย่างรวดเร็ว และรุนแรงมากพอจะทำให้ฉันล้มทั้งยืน
เป็นอีกครั้งที่ฉันรู้สึกว่าตัวเองเฉียดเข้าใกล้ความตายขึ้นเรื่อยๆ สองขาของฉันทรุดลงไปกับพื้น แต่ยังไม่ทันจะล้มลงไปก็กลับถูกอุ้มขึ้นมาซะก่อน
ฉันไม่มีแรงดิ้นแล้ว ตอนนี้แค่ขยับก็ยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ
“พูดง่ายๆ แต่แรกก็จบ”
“ปล่อยเพื่อนฉันเดี๋ยวนี้นะ!” เสียงตะโกนดังมาจากไหนฉันไม่รู้ รู้แต่เพียงว่าเมื่อสิ้นเสียงนั้นร่างกายของฉันก็โงนเงนไปมาเหมือนกำลังถูกยื้อแย่ง จนกระทั่งฉันเห็นใบหน้าของใครบางคนฉายชัดเข้ามา
“ยูริ”
“อดทนไว้ฮานะ โอ๊ย!” เสียงร้องของยูริดังมากจนฉันตกใจ แต่ฉันจะช่วยเธอได้ยังไงในเมื่อฉันยังเอาตัวเองไม่รอดเลย
“ตายซะเถอะไอ้พวกสารเลว!”
พลั่ก!
เสียงอะไรบางอย่างดังขึ้นอีกครั้ง มันเหมือนมีของแข็งกระทบกัน ซึ่งทันทีที่ได้ยินเสียงร่างของฉันก็เหมือนจะถูกทิ้งลงกับพื้น แรงกระแทกทำให้ฉันรู้สึกจุกเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า
“ยูริ หนีไป!”
“พี่ยูตะ ช่วยยูริกับฮานะ โอ๊ย!” ยูริร้องเสียงดังอีกครั้งเมื่อเส้นผมของเธอถูกกระชากจากชายชุดดำอีกคน ใบหน้าของเธอบิดเบี้ยวเพราะอาการเจ็บปวด ฉันอยากจะลุกขึ้นไปช่วยเธอ แต่ตอนนี้ฉันกลับทำได้เพียงนอนมองเธอทั้งน้ำตา เพราะร่างกายไม่มีเรี่ยวแรงพอจะสามารถขยับได้เลย
“ปล่อยน้องสาวฉัน!”
“เฮอะ รนหาที่ตายกันนักนะ”
แกร๊ก!
“อย่า! อย่าทำร้ายพวกเขา” ฉันเปล่งเสียงออกไปเท่าที่พอจะสามารถทนกับความเจ็บปวดแล้วพูดออกไปได้
“เอาฉันไป พวกนายต้องการฉันก็เอาฉันไป” ฉันพยายามต่อรอง
“ไม่นะฮานะ!”
“ไปซะ! เธอไม่ใช่เพื่อนฉัน ฉันไม่ต้องการความช่วยเหลือจากเธอ!”
“ฮานะ!” ยูริตะโกนเรียกฉันทั้งน้ำตา เธอพยายามจะเดินเข้ามาช่วยฉันแต่ก็ยังถูกพวกมันจับเอาไว้ ในขณะที่พี่ยูตะเองก็ไม่กล้าขยับเพราะในมือของชายชุดดำอีกคนที่ถูกเขาฟาดด้วยท่อนไม้เมื่อครู่ถือปืนเอาไว้ และมันเล็งปลายกระบอกปืนในมือไปที่ยูริ!
“เอาฉันไปสิ สองคนนี้เขาไม่เกี่ยว ฉันต่างหากที่พวกนายต้องการ”
“ยู...”
“หุบปากซะ พาพี่ชายของเธอออกไป ก่อนที่ฉันจะหมดความอดทน เพราะถ้าถึงเวลานั้น เธอก็อย่าหาว่าฉันเป็นตัวซวยอีก”
“แต่ว่า...”
“บอกให้ไปไงเล่า!” ฉันตะคอกใส่ยูริเสียงดังอย่างที่ไม่เคยคิดจะทำมาก่อน และก็ไม่รู้ว่าไปเอาเรี่ยวแรงตะเบ็งเสียงแบบนี้มาจากที่ไหน รู้แต่ว่าฉันจะไม่ปล่อยให้ยูริกับพี่ยูตะที่พยายามช่วยฉันต้องเดือดร้อนไปด้วยเป็นอันขาด
“ปล่อยสองคนนี้ไป แล้วพวกนายจะเอาฉันไปฆ่าที่ไหนก็เชิญ” ฉันรวบรวมแรงเฮือกสุดท้ายพูดออกไป ก่อนจะหลับตาลงอย่างยอมรับในโชคชะตา
ฉันไม่มีอะไรต้องเสียอีกแล้ว ไม่มีอะไรต้องห่วงหรือต้องกังวลอีก ตอนนี้ขอแค่ยูริกับพี่ยูตะปลอดภัย ฉันจะเป็นหรือตายก็ไม่สำคัญ
“เอาไงดีวะ” ผู้ชายชุดดำสองคนถามกันเป็นเชิงปรึกษา เอาเป็นว่าอย่างน้อยก็มีโอกาสที่พวกมันจะปล่อยยูริกับพี่ยูตะไป
“เอาไปแค่คนเดียวก็พอ”
“แน่ใจเหรอวะ”
“แน่ใจสิ คุณโอยามะสั่งให้เอาไปคนเดียว”
“เออๆ เอางั้นก็ได้”
คำตอบที่ได้ยินทำให้ฉันค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ทันได้เห็นพวกมันเหวี่ยงยูริไปทางพี่ยูตะพอดี
“แล้วอย่าปากสว่างล่ะ คงรู้นะว่าถ้าแจ้งตำรวจจะเป็นยังไง” ไอ้คนที่ถือปืนอยู่ถามอย่างท้าทาย ซึ่งเรื่องนี้ทุกคนรู้ดีอยู่แล้วว่าตำรวจช่วยอะไรไม่ได้หรอก อย่างมากตำรวจก็รับเรื่องเอาไว้พอเป็นพิธีแล้วคงปล่อยให้เรื่องค่อยๆ เงียบหายไปเท่านั้นเอง
ใครจะรู้ว่าปีปีหนึ่งแบล็กสกอร์เปี้ยนจ่ายเงินสนับสนุนใต้โต๊ะให้ตำรวจเท่าไหร่ และยังไม่นับรวมหลายๆ โครงการของย่านนี้ที่ได้รับทุนจากเงินสกปรกๆ ของเขา! เพราะฉะนั้นเรื่องการจะใช้กฎหมายกับโอยามะน่ะ ลืมไปได้เลย
“ฮานะ!”
“รีบๆ ไปได้แล้ว!”
“พวกนายจะทำอะไรเพื่อนฉัน”
“ไปเถอะยูริ”
“พี่ยูตะ นั่น...”
“พี่บอกให้ไป!” เสียงตะคอกของพี่ยูตะดังจนฉันสะดุ้ง แต่ฉันรู้ว่าเขาทำเพราะรักและเป็นห่วงน้องสาวของเขามาก เพราะฉะนั้นฉันไม่รู้สึกโกรธเลยที่เขาพยายามลากเธอออกไป
หัวใจของฉันเต้นช้าลงแล้ว มันเหมือนกำลังจะหมดแรงที่จะเต้นต่อ ทุกอย่างรอบกายเหมือนจะหยุดการเคลื่อนไหวไปทีละนิดๆ
“นี่!”
เสียงตะโกนเรียกสติมาพร้อมกับฝ่ามือที่ยื่นมาโบกไปมาตรงหน้า ทำให้ฉันต้องกะพริบตาปริบๆ เมื่อม่านตายังคงทำหน้าที่ในการมองเห็น ทั้งที่เปลือกตาและสมองอยากหยุดทุกการรับรู้ลงตั้งนานแล้ว
“ลุก! อย่ามาสำออย” พวกมันใช้เท้าเขี่ยฉันราวกับว่าเป็นกองเสื้อผ้าที่ถูกทิ้งเอาไว้ข้างถังขยะ
“บอกให้ลุก!”
“เฮ้ย! ใจเย็นดิ เดี๋ยวก็ตายพอดี” หนึ่งในสองพูดขึ้นมา ก่อนที่ฉันจะได้ยินเสียงเหมือนมีใครสักคนนั่งลงมาตรงหน้า
สติการรับรู้ของฉันเริ่มลดน้อยลงทุกทีๆ แล้ว นี่ถ้าไม่เป็นเพราะเห็นว่าพี่ยูตะพายูริกลับไปแล้ว ฉันอาจจะพยายามเข้มแข็งอยู่ก็ได้ แต่ตอนนี้คงไม่จำเป็นอีก ไม่มีอะไรที่ทำให้ฉันอยากจะฝืนหรือบอกให้ตัวเองเข้มแข็งเพื่อปกป้องตัวเองได้อีก
ฉันปิดเปลือกตาลงช้าๆ อีกครั้ง และครั้งนี้ไม่ว่าจะได้มีโอกาสลืมตาตื่นขึ้นมาอีกหรือไม่ก็ช่างมันเถอะ ฉันเหนื่อยจะสู้...เหนื่อยเกินกว่าจะบอกให้ตัวเองอดทน ฉันขอยอมแพ้
“เฮ้ย! ตายแล้วเหรอวะ”
“ยัง! รีบๆ ไปเถอะน่า เดี๋ยวมีคนมาเห็นเข้า”
“เออ ว่าแต่ตกลงไปที่ไหนวะ”
“แบล็กทาวน์”