Episode 02 หนีไป

3735 Words
“ถอดเสื้อผ้าออก” ฟุ่บ! ไม่ไหว ฉันฝืนยืนต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆ “ไม่ต้อง” โอยามะยกมือขึ้นมาพร้อมกับสั่งห้ามคนของเขาเมื่อคนพวกนั้นกำลังจะเดินเข้ามาจับฉันลุกขึ้นยืนอีกรอบ ความเงียบเข้าปกคลุมทั่วทั้งห้องได้อย่างน่าประหลาด ทั้งที่ในห้องนี้มีคนอยู่เกือบยี่สิบคนกลับไม่มีแม้แต่เสียงการเคลื่อนไหวของใครสักคน ทำราวกับว่าถ้าไม่ได้รับคำสั่ง แม้แต่เสียงลมหายใจก็ห้ามมีหลุดออกมาให้ได้ยิน “ลุกขึ้นแล้วถอดเสื้อผ้าออก” โอยามะสั่งฉันอีกครั้งด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบตามเดิม สายตาคู่นั้นไม่เคยละไปจากใบหน้าของฉันเลยแม้สักเสี้ยววินาที เพราะเขาคงรู้ดีกว่าการใช้สายตาจ้องมองศัตรูแบบนั้น คือการทำลายขวัญของศัตรูทางอ้อมได้ดีวิธีหนึ่ง ไม่อย่างนั้นฉันจะรู้สึกหวาดกลัวเขาขนาดนี้ได้ยังไง “ลุกขึ้น!” เสียงคำสั่งที่ดังขึ้นอีกครั้งดังขึ้นกว่าเดิมเป็นเท่าทวีคูณเมื่ออยู่ๆ โอยามะตะคอกออกมา หากแต่ร่างกายของเขากลับยังไม่ขยับสักนิดเดียว “ฆ่าฉัน” ฉันเปล่งเสียงสั่นๆ ออกไปอย่างอ้อนวอน แต่การร้องขอความตายจากโอยามะดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องง่าย “คนส่วนมากมักขอให้ฉันไว้ชีวิต” “ฆ่าฉันเถอะ ได้โปรด” ฉันอ้อนวอนอีกครั้งด้วยเสียงที่สั่นยิ่งกว่าเดิม ตอนนี้มีทั้งอาการปวดหัวตุบๆ มีทั้งอาการสั่นจากความหนาว รวมไปถึงอาการสั่นจากความหวาดกลัวกำลังเข้าเล่นงานจนฉันทรมานเหลือเกิน “ถ้าฉันจะฆ่า ฉันคงทำไปนานแล้ว” “แล้วนายมัวเสียเวลาทำไม” “นั่นสิ ทำไม” โอยามะย้อนถามเบาๆ ก่อนที่เขาจะมองไปที่คนของเขาแล้วพยักหน้าเบาๆ การพยักหน้าของเขาเพียงแค่ครั้งเดียวทำให้ร่างกายของฉันลอยขึ้นจากพื้นในเวลาอันรวดเร็ว “ปล่อย!” ฉันทั้งร้องทั้งดิ้นสุดชีวิตเมื่อแขนทั้งสองข้างถูกล็อกเอาไว้แล้วดึงขึ้นมาจากพื้น “จะถอดเองหรือให้คนของฉันถอดให้” “ไม่!” “ถอด!” สิ้นเสียงคำสั่งเด็ดขาดของโอยามะ แขนทั้งสองข้างของฉันก็ถูกจับล็อกแน่นขึ้น ก่อนที่คนของโอยามะอีกคนจะเดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าฉัน ฉันพยายามแล้วที่จะดิ้น แต่ยิ่งดิ้นแขนทั้งสองข้างก็ยิ่งถูกจับแน่นขึ้นจนรู้สึกปวด ไม่นานเสื้อผ้าของฉันก็ถูกกระชากออกราวกับของไร้ค่า เหลือเพียงชุดชั้นในลูกไม้ตัวเล็กๆ ที่แทบไม่มีประโยชน์อะไรเลย ฉันกัดฟันจนใบหน้าตึงและแทบจะไร้ความรู้สึกแล้ว ไม่อยากจะมองหน้าใครในที่นี้แล้วด้วยซ้ำเพราะมันเป็นเรื่องที่น่าอับอายที่สุดในชีวิต ถึงแม้ว่าในห้องนี้จะมีเพียงโอยามะคนเดียวที่ไม่ได้ใส่แว่นสีดำปกปิดดวงตาเอาไว้ และมีเพียงแค่เขาที่มองมาที่ฉันด้วยสายตาเรียบเฉย ไร้ความรู้สึก แต่การถูกจับถอดเสื้อผ้าต่อหน้าชายแปลกหน้าเกือบยี่สิบคนแบบนี้กำลังทำให้ฉันควบคุมสติไม่ได้! แม้จะไม่เห็นว่าสายตาของทุกคนเป็นยังไง แต่ภาพในจินตนาการของฉันก็น่ากลัวจนแทบอยากจะกลั้นใจตายไปซะให้รู้แล้วรู้รอด ซึ่งในขณะที่ฉันกำลังหวาดกลัวสุดขั้วหัวใจ โอยามะกลับยังคงนั่งมองฉันนิ่งๆ อย่างเปิดเผย สายตาของเขาทำให้ฉันรู้สึกขยะแขยงและเกลียดเขาจนอยากวิ่งเข้าไปฆ่าเขาด้วยสองมือเปล่า “นั่งลง แล้วแยกขาออก” “มันจะมากไปแล้วนะ! โอ๊ย!” ตุ้บ! สุดท้ายฉันก็ถูกคนของโอยามะกดไหล่ทั้งสองข้างให้นั่งลงที่เก้าอี้ หัวเข่าทั้งสองข้างถูกจับแน่นและพยายามจะแยกมันออกจากกันแต่ฉันก็ยังพยายามยื้อสุดกำลัง ไม่รู้เหมือนกันว่าฉันเอาเรี่ยวเอาแรงมาจากไหน รู้แต่ว่านี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันมีโอกาสที่จะปกป้องตัวเอง ฉันดิ้นแรงมากเท่าที่พอจะมีแรงเหลือ สภาพตอนนี้ไม่ต่างจากคนกำลังคลุ้มคลั่ง แต่ไม่นานฉันก็พ่ายแพ้เหมือนเดิม เมื่อหัวเข่าของฉันถูกจับแยกออกจากกันเรียบร้อย ใบหน้าร้อนวูบทั้งที่ร่างกายกำลังรู้สึกเย็นเยียบและหนาวสั่น! สถานการณ์ตอนนี้บังคับให้ฉันหลับตาลงอย่างไม่มีทางเลือกอีกแล้ว ฉันไม่อยากรับรู้อะไรอีกแล้วจริงๆ อยากจะกลั้นใจตายแต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงทำไม่ได้ มันเหมือนกลไกการหายใจคือสิ่งที่ธรรมชาติสร้างมาและบังคับให้เราหยุดหายใจเองไม่ได้จนกว่าจะมีคนมาพรากมันไป “ฉันจะนับอีกรอบ แต่มีค่าเสียเวลา หนึ่งคำ หนึ่งชิ้น แล้วถ้าฉันนับถึงสามเมื่อไหร่ เธอจะได้ลองครบทุกชิ้น และหลังจากนั้นฉันจะส่งเธอไปตรวจร่างกายอย่างละเอียดสำหรับการเป็นสินค้าประมูลในคืนวันศุกร์” สินค้าประมูล! คำสั่งที่ได้ยินไม่ต่างจากการฆ่าฉันทั้งเป็น เพราะแค่คำว่า ‘สินค้า’ ฉันก็รู้แล้วว่าเขากำลังจะเอาฉันไปขาย “หนึ่ง” “โอยามะ” ฉันเปล่งเสียงเรียกชื่อเขาออกไปเบาๆ พร้อมกับลืมตาขึ้นมองเขาอีกครั้ง วินาทีนี้ไม่ได้คิดจะอ้อนวอนให้เขาปล่อยหรือขอให้เขายกโทษให้ฉันอีกต่อไปแล้ว สิ่งที่ทำได้ก็แค่มองตาเขาให้ลึกเข้าไป แม้รู้ว่าจะต้องพบเจอแต่ความว่างเปล่าก็ตาม โอยามะยังคงมองฉันด้วยแววตาเรียบเฉยเหมือนเดิม และเหมือนว่าเขากำลังรอให้ฉันพูดบางอย่างออกไป แต่ฉันก็แค่อยากซื้อเวลาให้ตัวเองเท่านั้น “หมดเวลา” เขาพูดเสียงเรียบพร้อมกับลุกขึ้นยืน กลับกลายเป็นว่าเขาให้เวลาฉันแค่การนับหนึ่งเท่านั้น! หัวใจของฉันกระตุกวูบลงไปอยู่ที่ตาตุ่มเมื่อการซื้อเวลาของฉันกลับกลายเป็นการเร่งให้เวลาหมดเร็วโดยไม่รู้ตัว ฉันหลับตาแน่นพลางกลืนน้ำลายลงคอไปอึกใหญ่ นั่งเงียบรอคำพิพากษาเพราะรู้ดีว่าไม่มีทางหนีมันพ้น ข้อมือของฉันทั้งสองข้างถูกพันธนาการอีกครั้งด้วยเชือกเส้นเดิม ข้อเท้าทั้งสองข้างถูกมัดติดกับขาเก้าอี้ และหัวเข่ายังคงถูกจับแยกออกจากกันอย่างน่าอายอยู่อย่างนั้นเหมือนเดิม ฉันปิดเปลือกตาลงเพื่อกั้นตัวเองออกจากโลกภายนอก ภาพในสมองมีแค่ใบหน้าของพ่อกับแม่ที่เสียไปตั้งแต่ฉันยังเด็ก หลังจากนั้นฉันก็ถูกส่งไปอยู่ที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าเพราะไม่มีญาติที่ไหนอยากรับฉันไปเลี้ยง ตอนนี้ฉันจึงไม่มีอะไรให้ต้องเสียอีกแล้ว “คุณโอยามะครับ” เสียงจากด้านนอกไม่สามารถทำให้ฉันตกใจหรือหวาดกลัวได้มากไปกว่าเสียงของผู้ชายที่ชื่อโอยามะอีกแล้ว ตอนนี้ฉันก็แค่นั่งนับเลขไปเรื่อยๆ ในใจ รอรับโทษจากสิ่งที่ตัวเองทำ นานหลายวินาทีที่ฉันได้ยินเพียงเสียงลมหายใจของตัวเอง ซึ่งกว่าจะผ่านแต่ละวินาทีไปได้ มันนานเหมือนจะชั่วชีวิต ฉันไม่รู้หรอกว่าคนของโอยามะหรือแม้กระทั่งตัวเขากำลังทำอะไร รู้แต่ว่ายิ่งเงียบก็ยิ่งน่ากลัว สักพักฉันก็ต้องสะดุ้งเฮือกอีกครั้งเมื่อต้นแขนทั้งสองข้างถูกล็อกเอาไว้อีกรอบ ก่อนจะต้องแปลกใจเมื่อพันธนาการที่ข้อมือและข้อเท้าทั้งสองข้างคลายออก เขาจะปล่อยฉันไปใช่มั้ย? “เอาไปเก็บไว้ที่แบล็กทาวน์” แบล็กทาวน์งั้นเหรอ น่ะ...นั่นมันตึกแฝดที่โอยามะเป็นเจ้าของ สถานที่ที่ใครๆ ก็รู้ว่ามันเป็นศูนย์รวมของ...ความอันตราย “ปล่อยฉันนะ!” ฉันร้องเสียงดังและยังพยายามสะบัดตัวออก มือถูกกระชากให้ลุกขึ้นจากเก้าอี้อีกครั้ง สองตาเบิกโพลงด้วยความตกใจตั้งแต่ที่ได้ยินโอยามะสั่งให้คนของเขาพาฉันไปที่แบล็กทาวน์แล้ว เพราะขืนฉันก้าวเท้าเข้าไปในนั้น รับรองว่าไม่มีโอกาสได้กลับออกมาอีกแน่! “ฉันบอกให้ปล่อย ฉันไม่ไปไหนทั้งนั้น แน่จริงนายก็ฆ่าฉันเลยสิ! อย่ามาขี้ขลาด โอ๊ย!” ฉันทั้งร้องทั้งดิ้นจนหลุดออกจากสี่มือใหญ่ๆ ของคนของโอยามะ หรือบางทีพวกมันอาจตั้งใจทิ้งฉันลงกับพื้นก็ได้ วินาทีที่ความหวาดกลัวเข้าเกาะกินทุกเส้นประสาทของความรู้สึกแบบนี้ทำให้สมองฉันแยกไม่ออกแล้วว่าอันไหนคือความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ รู้แต่ว่าร่างกายที่เหลือเพียงชุดชั้นในตัวเล็กๆ ของฉันกำลังหนาวสั่นและร่วงลงมากองอยู่แทบเท้าโอยามะ! สองตาของฉันจ้องมองไปที่รองเท้าคัทชูหนังแก้วมันวาวของคนตัวสูงที่ยืนอยู่เบื้องหน้า ในนั้นสะท้อนใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยคราบน้ำตาของฉัน “โอ๊ยยย!” เสียงเล็กๆ หลุดลอดออกจากริมฝีปากโดยไม่ตั้งใจ วินาทีที่มือเล็กๆ ของฉันติดอยู่ใต้ฝ่าเท้าของโอยามะเพราะเขาตั้งใจจะก้าวเข้ามาเหยียบมันเอาไว้ทำให้ฉันรู้สึกจนตรอกอย่างบอกไม่ถูก ฉันพยายามกัดฟันแน่นเพื่ออดทนต่อความเจ็บปวด ร่างสูงย่อตัวนั่งลงมาตรงหน้าพลางยื่นมือที่แข็งแรงไม่ต่างจากคีมเหล็กมาบีบกรามฉันเอาไว้จนแน่น จับใบหน้าของฉันให้เชิดขึ้นเพื่อสบตากับเขา ความเจ็บปวดตรงฝ่ามือที่ถูกเขาเหยียบเอาไว้รวมถึงกรามทั้งสองข้างที่กำลังจะหักคามือของเขาคงทำให้สีหน้าของฉันดูไม่ดีนัก โอยามะใช้แววตาเย็นชาของเขาจ้องมองใบหน้าของฉันราวกับกำลังสำรวจสิ่งของหายาก ไม่นานเขาก็สะบัดออกแรงๆ เหมือนจะผิดหวังเมื่อฉันไม่ใช่ของมีค่าที่เขาต้องการ แล้วอยู่ๆ โอยามะก็ถอดเสื้อโค้ทที่เขาสวมอยู่ออกแล้วยื่นมาตรงหน้าฉัน แต่เชื่อเถอะว่าทุกครั้งที่เขาขยับ มันหมายถึงน้ำหนักที่เท้ากำลังเพิ่มมากขึ้นจนกระดูกที่ฝ่ามือของฉันแทบแหลกละเอียด ฟุ่บ! หัวใจของฉันเต้นไม่เป็นส่ำเมื่อเสื้อโค้ทตัวที่ว่าถูกเหวี่ยงลงมาคลุมทับตัวฉันเอาไว้ ไม่ปฏิเสธว่าวินาทีแรกที่เสื้อโค้ทของเขาคลุมทับลงมาบนร่างกายของฉันทำให้ฉันรู้สึกอบอุ่นมากเหลือเกิน เพราะเสื้อโค้ทตัวใหญ่ๆ ของเขาทั้งหนาแล้วก็นุ่มมาก มิหนำซ้ำยังมีไออุ่นจากร่างกายของเขาหลงเหลืออยู่ แต่เพราะฉันรู้ดีว่าผู้ชายตรงหน้าไม่ใช่ผู้ชายที่อบอุ่นหรือใจดีอย่างที่เขากำลังเสแสร้งแกล้งทำ ฉันถึงได้ยิ่งหวาดกลัวต่อการกระทำของเขาเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ “เธอก็อย่าขี้ขลาดซะเองก็แล้วกัน” น้ำเสียงเย็นเยียบของโอยามะทำให้ฉันรู้สึกขนลุก พูดจบเขาก็ลุกขึ้นยืนแล้วก้าวถอยออกไป จากนั้นคนของเขาก็ก้าวเข้ามาล็อกตัวฉันเอาไว้แทนแล้วกระชากฉันขึ้นจากพื้นอีกครั้ง “อย่าให้มีรอยระหว่างเคลื่อนย้าย เดี๋ยวจะถูกกดราคา” “ครับ” “ไปได้” ไม่กี่ประโยคที่ได้ยินตอกย้ำคำพูดของใครต่อใครที่พูดถึงโอยามะได้ดี ผู้ชายคนนี้มันปีศาจ! ปัง! ร่างกายสะดุ้งเฮือกอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงปืน! ใช่ ต้องเป็นเสียงปืนแน่ๆ เพราะในสถานการณ์แบบนี้ฉันไม่สามารถคิดว่ามันเป็นเสียงอย่างอื่นไปได้หรอก ทันทีที่มีเสียงปืนดังขึ้น ทุกคนในห้องก็รีบหยิบอาวุธของตัวเองออกมา แต่ถึงอย่างนั้นแต่ละคนก็ยังดูนิ่งมาก ไม่ได้มีท่าทีตื่นตระหนกตกใจเลยสักนิด จะมีก็แค่ฉันกับโอยามะเท่านั้นที่ยังคงยืนอยู่โดยที่มีเพียงสองมือเปล่า แต่เชื่อฉันเถอะว่าต่อให้ตอนนี้โอยามะจะไม่ได้ถือปืนเอาไว้ในมือ รังสีความอำมหิตและเลวร้ายของเขาก็ยังทำให้เขาดูน่ากลัวกว่าทุกคน โอยามะชำเลืองหางตามองมาที่ลูกน้องของเขาซึ่งเป็นคนจับฉันไว้อีกครั้งแล้วพยักหน้าเพียงครั้งเดียวฉันก็ถูกลากออกมา ส่วนโอยามะก็เดินแยกออกไปอีกทางพร้อมกับคนอื่นๆ ที่เหลือที่คอยดูแลรักษาความปลอดภัยให้เขา ปัง! เสียงปืนอีกหนึ่งนัดดังขึ้นฉุดฉันออกจากห้วงภวังค์ และมันทำให้ฉันคิดได้ว่าต้องรีบตั้งสติแล้วใช้โอกาสนี้หาทางเอาตัวรอด ซึ่งไม่ว่าโอกาสมันจะริบหรี่แค่ไหนฉันก็ต้องพยายาม เพราะถ้าถูกพาไปที่แบล็กทาวน์เมื่อไหร่ โอกาสรอดของฉันจะเป็นศูนย์ทันที แม้สติจะเหลือน้อยเต็มที แถมขาทั้งสองข้างก็แทบจะไร้เรี่ยวแรงจนแทบก้าวไม่ออก แต่ฉันก็ยังพยายามกวาดสายตามองไปรอบๆ เพื่อหาทางหนีทีไล่ ฉันถูกคนของโอยามะสองคนพาออกมาทางด้านหลังของโกดัง และกำลังจะพาฉันตรงไปยังรถยนต์สักคันที่จอดอยู่ไม่ไกล ซึ่งฉันดูไม่ออกหรอกว่าคันไหน เพราะตรงนั้นมีรถจอดอยู่เกือบสิบคัน! ปัง! เสียงปืนอีกหนึ่งนัดดังมาจากด้านในทำให้ฉันรีบก้มหัวโดยอัตโนมัติ และอดไม่ได้ที่จะเหลียวหลังกลับไปมอง ฉันไม่รู้หรอกว่าด้านในเกิดอะไรขึ้น แต่เดาได้ว่ามันจะต้องวุ่นวายมากและที่สำคัญคือต้องมีคนตาย และเพียงแค่คิดถึงเรื่องนั้น สองขาก็พลันจะก้าวไม่ออกเอาดื้อๆ โอยามะเป็นมาเฟียที่ถ้าเทียบกับรุ่นก่อนๆ ก็ต้องถือว่าเขาอายุยังน้อย ถึงเบื้องหน้าจะมีแต่คนเกรงเขา แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าในเวลาเดียวกันก็ย่อมมีคนที่คิดจะล้มเขาเป็นเรื่องธรรมดา แต่เท่าที่รู้ก็คือยังไม่มีใครสามารถทำได้ และที่ปฏิเสธไม่ได้เลยก็คือยิ่งเขามีอำนาจมากขึ้นเท่าไหร่ คนที่อยากแย่งชิงอำนาจของเขาก็มีเพิ่มมากขึ้นเหมือนเงาตามตัว หรือกับบางคนก็ขอแค่ได้ท้าทายอำนาจของเขาเพื่อที่จะเอาไปพูดโอ้อวดกับกลุ่มเพื่อนฝูง เพียงแต่ฉันคิดว่าคนประเภทสุดท้ายนี้น่าจะมีเหลืออยู่น้อยมาก เพราะส่วนมากพวกที่ชอบท้าทายเขามักจะไม่ได้มีโอกาสเอากลับไปเล่าให้คนอื่นฟัง “โอ๊ย!” “เร็ว” “ฉันเดินไม่ไหว” ฉันบอกเสียงสั่นเมื่อแขนทั้งสองข้างยังถูกจับเอาไว้แน่นเพื่อพยายามจะลากฉันไปที่รถ เมื่อกี้นี้ตอนก่อนที่ฉันจะถูกพาตัวออกมา ฉันได้ยินชัดเจนว่าโอยามะย้ำกับคนของเขาว่าอย่าให้มีรอย นั่นแปลว่าคงไม่มีใครกล้าทำอะไรรุนแรงกับฉันมากหรอก เพราะถ้าเนื้อตัวของฉันมีร่องรอยหรือบาดแผล คงทำให้โอยามะไม่พอใจแน่ๆ “ลุกขึ้นเร็ว” “ฉันลุกไม่ไหว โอ๊ย!” บ้าจริง พูดยังไม่ทันจบแขนทั้งสองข้างของฉันก็ถูกกระชากแรงๆ จนฉันแทบจะไถลไปด้านหน้า “พวกนายทำฉันเจ็บนะ!” “อย่าลีลา เร็ว ขึ้นรถ!” ผู้ชายตัวใหญ่ๆ ในชุดสูทสีดำที่น่าจะเป็นยูนิฟอร์มสำหรับคนของแบล็กสกอร์เปี้ยนตะคอกบอก ตอนนี้เหลือแค่ผู้ชายคนนี้คนเดียวเท่านั้นที่จับฉันเอาไว้ เพราะอีกคนเพิ่งจะวิ่งไปขึ้นรถเพื่อเตรียมพาฉันไปที่แบล็กทาวน์ตามคำสั่ง “เร็วสิ” “อย่านะๆ ถ้านายทำฉันมีรอยแม้แต่นิดเดียว โอยามะตัดนิ้วนายแน่ ไม่ได้ยินเหรอว่าเขาสั่งว่ายังไง ถ้าราคาค่าตัวฉันตก นายจะเดือดร้อนเองนะ” ฉันขู่ออกไปทั้งที่สั่นไปหมด สายตาจ้องมองไปยังผู้ชายที่ได้เปรียบฉันทั้งสรีระรูปร่างและพละกำลัง และเมื่อเห็นว่าผู้ชายตรงหน้าทำท่าเหมือนหยุดคิด โอกาสของฉันก็มาถึง ตุ้บ! เสียงแผ่นหลังของผู้ชายคนนั้นกระแทกเข้ากับตัวรถอีกคันเมื่อถูกฉันผลักจนเซออกไป ฉันรวบรวมแรงทั้งหมดที่มีพาตัวเองวิ่งออกมาจากตรงนั้นแบบไม่คิดชีวิต ตอนนี้ฉันต้องวิ่ง ต้องวิ่งอย่างเดียวเท่านั้น “หยุดนะยัยเด็กบ้า!” เสียงตะโกนที่ไล่หลังมาไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกหวาดกลัวได้อีกแล้ว และก็ไม่สามารถทำให้ฉันหยุดวิ่งได้เช่นกัน “โอ๊ย” บ้าจริง! ฉันรีบเม้มริมฝีปากแน่นก่อนจะพยายามคลานต่ำเพื่อซ่อนมุดเข้ามาในหลืบแคบๆ พยายามบังคับลมหายใจให้เบาที่สุดทั้งที่มันทำได้ยากมากในเวลาที่ทุกอย่างกดดันจนรู้สึกมองไม่เห็นทางออก “หายไปไหนวะ!” เสียงสบถดังมาจากด้านนอกทำให้ฉันสะดุ้งตัวโยน รีบยกมือขึ้นมาปิดริมฝีปากตัวเองเอาไว้เพราะกลัวจะเผลอส่งเสียงร้องออกไป วินาทีที่ได้ยินเสียงฝีเท้าดังวนเวียนอยู่ข้างนอกทำให้รู้ว่าลำคอแห้งผากไปหมด อยากจะกลืนน้ำลายสักอึกก็ยังไม่กล้า ปัง! เสียงปืนยังคงดังอย่างต่อเนื่อง จากที่ตื่นกลัวฉันก็เริ่มจะคุ้นเคย แต่กลับไม่ชิน และถึงแม้ว่าฉันจะไม่ได้เดินย้อนกลับเข้าไปให้เห็นกับตา ฉันก็รู้ว่าฝ่ายไหนจะชนะ ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ฉันมองเห็นเงาของคนที่กำลังตามหาฉันแวบไปแวบมาอยู่ด้านนอก ร่างกายและหัวใจอ่อนแรงล้าจนจะประคองตัวเองไม่ไหวอยู่แล้ว “คุณโอยามะถูกยิง!” เสียงหนึ่งตะโกนดังลั่นไปทั่ว หัวใจของฉันกระตุกวูบลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม สองตาเบิกโพลงขึ้นมาโดยอัตโนมัติ แวบหนึ่งมีคำถามผุดขึ้นมาในหัวสมองว่าใครกันที่กล้าทำได้ถึงขนาดนี้ เพราะถึงโอยามะจะถูกยิง แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาตายไปแล้ว และถ้าคิดจะล้มคนอย่างโอยามะ ก็น่าจะมีแค่ทางเดียวเท่านั้นนั่นคือฆ่าเขาให้ตาย ไม่อย่างนั้นละก็เขาต้องกลับมาเอาคืนอย่างสาสมแน่! หลังจากเสียงตะโกนนั้นจบลง ฉันก็ได้ยินเสียงฝีเท้าด้านนอกวิ่งย้อนกลับไปทางโกดัง ท่าทางจะรีบไปดูเจ้านายจนลืมฉันไปแล้ว หรือไม่สองคนนั้นก็คงคิดว่าฉันหนีไปได้ไม่ไกล ซึ่งก็คงจริง เพราะจนป่านนี้แล้วฉันก็ยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าฉันจะหนีไปที่ไหน และรู้ดีว่าต่อให้ตอนนี้รอดไปได้ แต่ถ้าคนอย่างโอยามะจะตามหาฉัน มันก็ง่ายแค่พลิกฝ่ามือ แล้วฉันก็ค่อยๆ ก้าวออกมาจากจุดที่ซ่อนตัว หลังจากที่มั่นใจแล้วว่าตอนนี้ทุกคนน่าจะไปรวมตัวกันอยู่ที่โกดัง ที่ตอนนี้ฉันก็ยังคงได้ยินเสียงปืนดังขึ้นแทบจะตลอดเวลา ฉันรีบพาตัวเองเดินออกมาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ โชคดีที่ตอนนี้ดึกมากแล้ว และด้านนอกก็แทบไม่มีแสงสว่างเลย มีเพียงแสงจากไฟสปอตไลต์ไม่กี่ดวงที่พอส่องให้เห็นทางเท่านั้น สองขาของฉันอ่อนแรงเหลือเกิน สายลมแรงๆ ที่พัดผ่านไปทำให้ฉันต้องกระชับเสื้อโค้ทของโอยามะให้แนบไปกับลำตัวอย่างไม่มีทางเลือก หวังเพียงให้มันช่วยคลายความหนาวลงได้บ้าง บรื้นนน~ เสียงรถยนต์หลายคันขับผ่านฉันออกไป แต่พวกมันคงไม่เห็นฉันหรอก เพราะฉันยืนหลบอยู่ระหว่างตู้คอนเทนเนอร์สองตู้ ฉันรู้ดีว่าในเวลาแบบนี้ไม่ควรจะออกไปเดินเพ่นพ่าน ก็เลยอาศัยเดินลัดเลาะมาตามตู้คอนเทนเนอร์เก็บของเก่าๆ ที่ตั้งใจจะใช้เงาของมันบดบังตัวฉันจากสายตาของลูกน้องโอยามะตั้งแต่แรก แสงไฟท้ายรถที่วิ่งไกลออกไปเรื่อยๆ ทำให้สองขาของฉันอ่อนแรงและทรุดลงในที่สุด ถึงจะไม่อยากเชื่อว่าฉันจะรอดมาได้ แต่ตอนนี้ฉันก็รอดมาแล้วจริงๆ เดาว่าตอนนี้ทุกคนคงเป็นห่วงอาการของโอยามะจนลืมฉันกันหมดแล้ว ซึ่งไม่แน่หรอกว่าหลังจากที่โอยามะปลอดภัย เขาอาจส่งคนกลับมาตามล่าฉันอีกก็ได้ และฉันเดาว่ามีความเป็นไปได้สูงที่คนอย่างเขาจะทำแบบนั้น แม้ว่าโอยามะจะไปแล้ว และคนของเขาก็ขับรถตามออกไปเป็นขบวน เท่าที่เห็นก็เหมือนจะไม่ได้ทิ้งใครเอาไว้ แต่ทว่าก้อนเนื้อในอกก็ยังคงเต้นแรงไม่หยุด ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม “นายจะตายมั้ยโอยามะ” ฉันรำพึงรำพันถามตัวเองเบาๆ ไม่ปฏิเสธหรอกว่าใจหนึ่งฉันก็อยากให้เขาตาย เพราะนั่นเป็นทางเดียวที่ฉันจะรอด แต่ก็อดจะสงสัยไม่ได้ว่าใครกันนะที่กล้ายิงคนอย่างโอยามะ ดีไม่ดีถ้าเขาไม่ตาย ฉันกับคนที่เป็นเจ้าของกระสุนปืนนัดนั้นอาจถูกลากคอกลับมาฆ่าพร้อมกันก็ได้
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD