ลักพาตัว
จะหักขืนฝืนใจไม่ให้รัก
ง่ายกว่าหักฝืนใจให้ต้องหมั้น
แม้น...
“บังอร แต่งตัวเสร็จหรือยังลูก คุณศิลาเขามารอแล้วนะ”
ดวงตากลมโตกลอกขึ้นข้างบนด้วยความเบื่อหน่ายพร้อมกับถอนหายใจออกมาแรง ๆ
“เสร็จแล้วแม่”
มือเล็กวางปากกาที่กำลังจดลงสมุดสีน้ำตาล ก่อนจะพับมันลงแล้วยัดใส่ลิ้นชักในตู้ไม้ตามเดิม
ร่างบางสวมชุดไทยสีขาวสะอาดตาเดินตรงมาที่หน้าต่าง มือเล็กค่อย ๆ แง้มเปิดผ้าม่านเพื่อสอดส่องมองดูสถานการณ์เบื้องล่าง
รถหรูไม่ต่ำกว่าสิบคันกำลังทยอยขับเข้ามาในเขตรั้วบ้านขนาดใหญ่ บรรดาแขกที่มาร่วมงานต่างยิ้มแย้มพูดคุยกันสนุกสนาน โดยเฉพาะบรรดาหญิงชายวัยกลางคนที่มีฐานะและยศศักดิ์ชั้นสูง สร้อยเพชรที่แขวนมาเต็มตัวราวกับจะขนมาขายมากเสียยิ่งกว่าขนมาอวดเบ่งบารมี หากโจรบุกมาปล้นในครานี้คงได้หอบสมบัติกลับไปกินเป็นชาติ แต่โจรที่ไหนจะกล้าบุกเข้ามาได้เล่า ในเมื่อเขตแดนนี้เต็มไปด้วยนายตำรวจมากฝีมือ โจรที่โง่เง่าเผลอพลาดท่าเข้ามาคงไม่ต่างไปจากหาเรื่องตาย
แม้นภายในบ้านจะเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะสนุกสนาน แต่ไม่ใช่กับบังอร หนุ่มวัยรุ่นที่ถูกผู้เป็นพ่อบังคับจับหมั้นหมายกับศิลา นายตำรวจหนุ่มฝีมือดีเพื่อปรองดองกันทางหน้าที่การงาน
ใบหน้าเรียบนิ่งจ้องมองดูภาพเบื้องหน้า ภายในหัวเริ่มปลงตก เขาคิดหาหนทางหนีอยู่นับครั้งไม่ถ้วนแต่ก็ถูกผู้เป็นพ่อจับทางได้อยู่ทุกครา
ชีวิตที่โรยไปด้วยกลีบกุหลาบของเขา มองภายนอกช่างน่าอิจฉายิ่งนัก ทั้งหน้าตา ความรู้ ฐานะ ล้วนเป็นที่หนึ่งเสมอมาไม่มีใครเทียบได้ และตอนนี้เขากำลังจะมีคู่หมั้นที่สาว ๆ ต่างก็หมายปอง ใครต่อใครต่างก็พูดว่าเขากับหนุ่มว่าที่คู่หมั้นนั้นช่างเหมาะสมกันอย่างกับกิ่งทองใบหยก แต่ใครจะรู้ดีไปกว่าเขาล่ะ ว่าใบหยกไม่ได้หมายมั่นที่จะอยู่บนกิ่งทอง เขาเพียงอยากอยู่บนกิ่งก้านที่โอบอุ้มเขาด้วยความรักอันแท้จริง ไม่ใช่การบังคับเฉกเช่นนี้
พิธีหมั้น
“ยิ้มหน่อยสิลูก”
ผู้เป็นแม่โน้มหน้าเข้ามากระซิบบอกเสียงเบาพลางฉีกยิ้มจนตาหยีให้เป็นตัวอย่าง แม้นไม่อยากจะทำตามแต่เขาก็ขัดคำสั่งไม่ได้ จำต้องยิ้มเจื่อน ๆ ส่งให้คู่หมั้นอย่างไม่เต็มใจ
“วันนี้น้องอรสวยมากเลยนะ”
คำเอ่ยชมที่ได้ยินตลอดทั้งงานฟังแล้วก็เบื่อหูดีเหมือนกัน
บรรดาผู้คนที่มาร่วมงานต่างหลั่งไหลเข้ามานั่งเรียงที่เก้าอี้นวมสุดหรูภายในโถงใหญ่กลางบ้านเพื่อรอเวลาให้ถึง 09.09 น. ฤกษ์งามยามดี
ฤกษ์สวมแหวนหมั้น
อีกมุมหนึ่งภายในงาน
บรรดาหนุ่มชายฉกรรจ์นับห้าสิบคนรุมล้อมบ้านหลังใหญ่ที่กำลังจัดงานรื่นเริงอย่างมีความสุข ผู้คนที่กำลังยิ้มร่าหารู้ไม่ว่าคราวซวยกำลังมาเยือน
“อีกแค่ 10 นาทีแล้วพี่แผน”
เสียงทุ้มต่ำเงยหน้าขึ้นไปบอกลูกพี่ของมันที่กำลังยืนสูบบุหรี่จ้องเข้าไปภายในงานผ่านพุ่มไม้หนา ดวงตาคมเข้มจ้องเขม็งที่ใบหน้าศัตรูคู่แค้นราวกับจะฉีกให้แหลกละเอียด
จ่าฝูงส่งสัญญาณพลางก้มหยิบผ้าสีกรมมาคาดปิดบังใบหน้าอันหล่อเหลา ดวงตาเฉี่ยวหลุบลงต่ำเพื่อรวบรวมสมาธิ สองมือพนมแนบที่หน้าอกแกร่ง ภายในใจระลึกถึงคุณบิดามารดาและครูบาอาจารย์ ก่อนที่จะหันไปกวาดสายตามองลูกน้องที่กำลังเตรียมความพร้อมอยู่ด้านหลัง
“พวกมึงทั้งหลายจงฟังกูให้ดี”
น้ำเสียงจริงจังเอ่ยผ่านใบหน้าเรียบนิ่งที่น่าเกรงขาม
“หนี้แค้นนับยี่สิบปีกำลังจะถูกชำระ อย่ากลัวหากจะต้องตาย แต่พวกมึงจงกลัวที่จะขี้ขลาด เลือดพ่อแม่ชาวเราที่เหือดแห้งพื้นดิน จงฟื้นกลับคืนมา สิงสถิตที่ปลายกระบอกปืน”
ไอ้เสือบุก
“ยื่นมือให้พี่เขาสิลูก”
ผู้เป็นมารดาร้องบอกแกมบังคับ ก่อนที่ใบหน้าเรียบนิ่งจะค่อย ๆ ยกฝ่ามือเล็กส่งให้ผู้ชายร่างใหญ่ที่สวมชุดไทยคู่กันตรงหน้า เขาไม่ได้มีท่าทีตำหนิเมื่อเห็นท่าทีว่าที่คู่หมั้นที่ดูอิดออด แม้นรู้ดีอยู่เต็มอกว่าอีกฝ่ายไม่ได้สมยอม แต่เขาก็เชื่อมั่นในตัวเองไม่แพ้กัน ว่าจะสามารถทำให้อีกฝ่ายรู้สึกชื่นชอบในตัวเองขึ้นมาบ้าง
แหวนเพชรสีเงินประดับหัวแหวนด้วยเพชรน้ำงามราคาเหยียบสิบล้านถูกนำมาจ่อที่ปลายนิ้วก่อนที่จะค่อย ๆ เลื่อนเข้ามา
ปัง ปัง ปัง!!
กรี๊ดดดดด!!
สิ้นเสียงดังสนั่นความโกลาหลก็ก่อเกิดขึ้นในบัดดล แหวนที่กำลังสวมเข้านิ้วถูกวางลงในตลับพร้อมกับฝ่ามือหนาที่คว้าปืนจากมือผู้เป็นพ่อมาถือไว้
“พาลูกไปหลบก่อน!!”
เดชาหันไปบอกลูกเมียที่กำลังอุดหูร้องกรี๊ดอย่างคนเสียสติ
บังอรที่ยังพอตั้งสติได้กว่าผู้เป็นมารดารีบคว้าข้อมือผู้เป็นแม่มุดลอดใต้ซุ้มดอกไม้ออกมายังหลังบ้าน ด้านหลังนี้มีห้องใต้ดินที่พอจะเป็นหลุมหลบภัยให้พวกเขาได้บ้าง
เสียงกระสุนสาดใส่กันพร้อมกับเสียงกรี๊ดที่สนั่นทุกพื้นที่ เขาได้ยินเสียงเจ็บปวดร้องโหยหวนออกมาภายในตัวบ้าน แม้จะนึกเป็นห่วงผู้เป็นพ่อแต่ก็เชื่อมั่นว่าเขาจะปลอดภัย เดชาไม่เพียงเก่งกล้าในด้านการใช้อาวุธ แต่ในด้านอาคมเขาก็เก่งไม่แพ้กัน
ร่างเล็กจูงแขนแม่วิ่งฝ่าความชุลมุนออกมาจนถึงสนามกว้างก่อนจะหยุดชะงักเพราะถูกขวางทางจากร่างใหญ่
ดวงตากลมโตเบิกกว้างรับรู้ได้ถึงความไม่ปลอดภัยเมื่อถูกสกัดทางจากผู้ชายสวมเสื้อสีน้ำเงินเข้ม คาดผ้าสีเดียวกันเพื่ออำพรางปิดบังใบหน้า ดวงตาดุราวกับเสือบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าเขากำลังพบเจอกับสถานการณ์ที่ยากลำบาก
“ก...แกอยากได้สร้อยเพชรใช่ไหม เอาไปเลย ๆ แต่อย่าทำอะไรฉันกับลูกเลยนะ”
ผู้เป็นแม่รีบถอดสร้อยเพชรที่หนักอึ้งราคาหลายสิบล้านโยนส่งให้ชายร่างสูง แต่สร้อยเพชรกลับถูกเมินราวกับไม่ใช่เป้าหมายสำคัญ
แกร๊ก!!
เพียงปลายกระบอกปืนจ่อเข้าในระยะประชิด หญิงวัยกลางคนก็เกิดอาการหน้ามืดด้วยความสั่นกลัวจนล้มพับลงกับพื้น
“แม่!!”
บังอรย่อตัวลงไปเขย่าปลุกตัวของแม่แรง ๆ หวังให้ตื่นขึ้นมา แต่ตัวเองกลับต้องตัวเซถลาเมื่อถูกจับที่ต้นแขนเล็กแล้วออกแรงกระชากจนกระดูกท่อนเล็กแทบร้าว
“ปล่อยนะ แกต้องการอะไร อยากได้อะไรก็พูดมาสิ!”
เสียงใสตะโกนถามในขณะที่พยายามปรับเสียงไม่ให้สั่นกลัว
ใบหน้าเรียบนิ่งไม่ได้ตอบอะไรออกมาแถมยังกระชากข้อมือเล็กให้เดินตาม แต่ก็ต้องชะงักกึกเมื่อถูกลูกกระสุนแล่นผ่านอากาศมาพุ่งชนกลางอกเต็มแรง
ปัง!!
เสียงดังสนั่นเกิดจากกระสุนที่พุ่งออกจากปลายกระบอกปืนด้ามยาวของเดชา ทำเอาคนโดนยิงฟุบนั่งลงกับพื้น แต่ก็ยังจับข้อมือเล็กในมือไว้แน่น
“หึหึ ไม่เจอกันนานเลยนะ ไอ้เดชา”
เสียงแค่นหัวเราะในลำคอบ่งบอกแน่ชัดว่าผู้ถูกยิงยังไม่เป็นอะไร ปืนแรงขนาดนี้หากเป็นคนทั่วไปคงได้กลับไปเฝ้ายมบาลแล้ว
ใบหน้าเคียดแค้นค่อย ๆ เงยขึ้นมาสบตาพลางปัดมือไปตรงเสื้อที่ขาดไหม้อันเกิดจากรอยยิงเมื่อสักครู่ เผยให้เห็นรอยสักรูปเสืออยู่แวบ ๆ
“มึงเป็นใคร”
เดชาเดือดดาลเตรียมลั่นไกซ้ำอีกรอบ แต่กลับต้องรีบคลายมือเพราะอีกฝ่ายคว้าล็อกคอลูกชายอันเป็นดวงใจของเขาไว้แน่นสนิท ด้ามปืนไม้เตรียมกดเหนี่ยวไกในขณะที่ปลายกระบอกจ่อเข้าที่ขมับคนในอ้อมแขนจนผู้ถูกกระทำต้องหลับตาปี๋ด้วยความกลัว ภายในใจก็เริ่มสวดมนต์อย่างบ้าคลั่ง มาถึงตอนนี้ชีวิตเขาคงจะไม่ได้ไปต่อ
“มึงเป็นใครวะ! มึงแค้นกูเหรอ แค้นกูก็มาฆ่ากู มึงจะไปทำลูกกูทำไม!!”
เสียงสั่นด้วยความโกรธแค้นเจือความกลัวจนปิดไม่มิดทำให้รอยยิ้มอย่างเย้ยหยันผุดออกมาภายใต้ผ้าคลุมหน้าสีมืด
“หึหึ กลัวว่าลูกมึงจะตายเหรอ ไม่ต้องห่วงนะ มันยังไม่ตายเร็วขนาดนี้หรอก มันจะต้องตายทั้งเป็นอย่างที่กูเป็นมาตลอดยี่สิบปี!”
พลั่ก!
ด้ามปืนไม้กระทุ้งลงที่หลังคอขาวเนียนจนความเจ็บตีแล่นขึ้นมาทั่วสมอง ดวงตากลมโตค่อย ๆ หรี่หลับลงช้า ๆ ก่อนที่ภาพผู้เป็นพ่อที่อยู่เบื้องหน้าจะเลือนรางและดับไปในที่สุด...
ความปวดหนึบที่ตีแล่นขึ้นมาด้านหลังต้นคอปลุกให้ร่างเล็กค่อย ๆ ยกฝ่ามือขึ้นไปทาบทับด้วยใบหน้าเหยเก ก่อนจะหรี่เปิดเปลือกตาขึ้นช้า ๆ
ความมึนงงกำลังทำงานอย่างหนัก สายตาค่อย ๆ กวาดไปรอบบริเวณด้วยความประหลาดใจ
“ที่ไหนเนี่ย”
ผมไม่อยากพึมพำคำถามโง่ ๆ นี้ออกมาเลย แต่ภาพเบื้องหน้านี้ไม่ใช่สถานที่ที่คุ้นตาจริง ๆ
ที่นี่น่าจะเป็นภายในตัวบ้านสักหลัง บ้านไม้แคบ ๆ แต่กลับโล่งจนแทบไม่มีอะไร
มีเพียงเตียงไม้เก่า ๆ ด้านบนเตียงประกอบไปด้วยที่นอนยัดด้วยนุ่นธรรมดาไม่ได้หนานุ่มอย่างเตียงราคาแพงที่บ้านหลังใหญ่ หมอนสองใบที่วางคู่กันกับผ้าห่มแค่ผืนเดียว มุ้งสีฟ้าครอบที่นอนไว้อีกที ดูแล้วก็เหมือนถูกกักขัง สมองของผมเริ่มค่อย ๆ ไล่ประมวลเหตุการณ์ในอดีตช้า ๆ ก่อนจะย้อนกลับไปถึงเรื่องราวที่จำได้ล่าสุด
ผมกำลังจะเข้าพิธีหมั้นกับพี่ศิลา แต่แล้วจู่ ๆ ก็มีเสียงปืนดังขึ้น
ใช่!! ผมถูกใครก็ไม่รู้บุกเข้ามาทำลายงานหมั้น ตื่นมาอีกทีก็…
แกร๊ง!
พลันจะยกขาที่หนักอึ้งผมก็ต้องเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ เมื่อข้อเท้าถูกตรึงไว้ด้วยโซ่เงินเส้นใหญ่ล็อกไว้ติดกับเสากลางบ้าน
ครืดดดด
“เอ้า ตื่นแล้วเหรอครับ”
ผู้ชายตัวเล็กแต่หน้าติดไปทางหวาน ขนาดตัวน่าจะเทียบเท่าผมผลักประตูเข้ามาพร้อมกับวางถาดอาหารลงที่ตรงหน้า
ในถาดนี้มีน้ำแกงอะไรสักอย่างมาพร้อมกับน้ำพริกและผักลวก
“นี่ข้าวเหนียวร้อน ๆ ครับ”
คนร่างบางยิ้มให้อย่างเป็นมิตรพลางยื่นกระติกไม้ไผ่กลม ๆ ส่งมาให้
“เอ่อ...ที่นี่มันคือที่ไหนเหรอ”
ผมเอ่ยถามอย่างหวาดระแวง
“ที่นี่คือภูสมิงครับ หมู่บ้านโจรน่ะ”
“ฮะ!! ม...หมู่บ้านโจรงั้นเหรอ แล้วคุณถูกลักพาตัวมาเหมือนผมหรือเปล่า”
คนได้ฟังลอบยิ้มบาง ๆ พลางตอบมาด้วยท่าทางสุภาพเรียบร้อย
“ไม่หรอกครับ ผมเป็นเมียโจรน่ะ”
“ฮะ!!”
“แล้วคุณพอจะรู้ไหม ว่าพวกโจรมันจับตัวผมมาทำไม”
“เอ่อ...อันนี้ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ แต่ทางที่ดีคุณบังอรอย่าขัดใจพี่แผนเลยนะครับ เขาสั่งอะไรก็ทำตาม ไม่งั้นอาจจะต้องซวย”
เหอะ!! อาจจะต้องซวยงั้นเหรอ แล้วที่ถูกจับล่ามโซ่อยู่แบบนี้มันยังไม่เรียกว่าซวยอีกหรือไง
“มันตื่นหรือยังชบา”
เสียงร้องถามที่ด้านล่างทำให้ทั้งผมทั้งคนที่เพิ่งทราบชื่อว่าชบารีบชะเง้อคอไปดู
“ตื่นแล้วครับพี่แผน”
“เอามันลงมา”
“เอ่อ...ให้ปลดโซ่ไหมครับ”
เสียงอ้อมแอ้มเอ่ยถามอีกครั้งด้วยความเกรงใจ
“ลากมันมาทั้งโซ่”
“ไปครับ”
“ป...ไปไหน”
ผมมองตามคนตัวเล็กที่เดินไปปลดโซ่ออกด้วยท่าทางตั้งใจ ตาก็จับจ้องดูกุญแจที่ไขลงรู
“พี่แผนน่าจะประกาศอะไรสักอย่าง ผมก็ไม่มั่นใจ”
เขาเอ่ยบอกโดยไม่ได้หันมามองหน้า ส่วนผมก็เอาแต่จ้องมองข้อมือที่กำลังปลดโซ่ให้
แกร๊ก!!
ทันทีที่โซ่เส้นยาวหลุดจากการคล้องลงที่ข้อขา ผมก็รีบหันไปผลักคนที่ปลดให้ล้มหงายหลังลงไป ก่อนจะใส่เกียร์หมารีบวิ่งลากโซ่ลงบันไดบ้าน
เมื่อโผล่หน้ามาที่ประตู รอบข้างกลับเต็มไปด้วยสายตาชายฉกรรจ์ไม่ต่ำกว่าห้าสิบคนกำลังแบ่งกลุ่มตั้งวงกินเลี้ยงกันอย่างสนุกสนาน ทุกสายตาจับจ้องมาที่ผมเป็นตาเดียว
แม้ภายในใจจะสั่นกลัว แต่ขอตายดาบหน้าดีกว่ามีผัวเป็นโจรละวะ
ผมรีบวิ่งลงบันไดอย่างลนลาน หวังมุ่งเข้าป่าที่มืดทึบ แต่ก็ต้องหัวทิ่มเพราะถูกใครบางคนเหยียบปลายโซ่อีกด้านหนึ่งไว้
“มึงจะหนีไปไหน”
เสียงเยียบเย็นเอ่ยถามจนขนแขนลุกซู่ ผมค่อย ๆ หันกลับไปมองต้นตอของเสียงแล้วก็ต้องนิ่งงัน
เบื้องหน้าคือชายร่างสูงใบหน้าคมเข้ม ใบหน้าหล่อราวกับฟ้าประทานแต่สายตากลับดุดันราวกับเสือป่าพร้อมล่าเหยื่อ ผมจำดวงตาคู่นี้ได้ เขาคือคนที่เข้ามาดักทางผมตอนอยู่บ้าน แถมเขายังโดนยิงแต่ไม่เป็นอะไรด้วย
ผมเลื่อนสายตาลงต่ำมองดูแผงอกแกร่งที่สวมเสื้อสีดำแต่กลับไม่ติดกระดุมด้านหน้า เผยให้เห็นรอยสักรูปเสือแต่ไม่มีหัว
พรึบ!
ปลายโซ่ถูกกระชากแรง ๆ จนผมเซถลาไปตามแรงดึง
“ม...มึงเป็นใครวะ จับกูมาทำไม!”
แม้ภายในใจจะหวาดกลัวมากเพียงใด แต่ผมก็ทำใจกล้าสู้โจร พยายามปกปิดไม่ให้รู้ว่าผมกำลังกลัวมันอยู่
“หึ กูเป็นใครน่ะเหรอ กูก็คือคนที่กำลังจะเป็นผัวมึงยังไงล่ะ”
แววตาชั่วร้ายปรากฏขึ้นพลันก้าวขามาชิดตัวผม
หมับ!!
“ปล่อยกูนะ ไอ้สวะ ไอ้เดนนรก!!”
“เออ!! ไอ้เดนนรกคนนี้แหละที่มันจะเป็นผัวมึง ไอ้อร”
ผมถูกคนตัวใหญ่กว่ากระชากเข้ามาจนชิดแคร่หน้าบ้านที่ตอนนี้มีชายฉกรรจ์นั่งดื่มเหล้าจากไหอย่างมีความสุข มันคงกำลังฉลองแด่ชัยชนะในครั้งนี้ ผมไม่รู้ว่าพ่อกับแม่จะเป็นยังไงบ้าง ป่านนี้ทุกคนจะปลอดภัยไหมนะ
พรึบ!
ร่างบางถูกผลักออกไปประจันหน้ากับสายตาที่หื่นกระหาย ภายในใจเริ่มสั่นกลัว ปากที่เคยดีตอนนี้พูดแทบไม่ออก
“ตั้งแต่คืนนี้ไป ไอ้อรลูกไอ้เดชา มันจะเป็นเมียของกู”
“วู้วววววว ฮ่า ๆ ๆ”
เสียงปรบมือดัง ๆ และเสียงโห่หัวเราะอย่างชอบใจดังขึ้นไม่ขาดสาย
ผมเริ่มตาแดงก่ำคล้ายจะร้องไห้ออกมา สายตาไล่กวาดไปยังบรรดาร่างกำยำกำลังถอดเสื้อกระดกเหล้าอย่างบ้าคลั่ง อีกมุมคือกลุ่มเด็กหนุ่มหน้าหวานนับสิบคนนั่งร่วมวงกินข้าวกันอยู่
พรึบ!!
“เฮือก”
ผมรีบดันตัวออกเมื่อถูกคว้าเอวไว้แน่น คนหน้าหล่อเหยียดยิ้มอย่างชั่วร้ายพลางกดจมูกเข้ามาสูดดมตามซอกคอขาวจนผมหดคอแล้วดิ้นพล่านท่ามกลางเสียงโห่แซวจากบรรดาลูกน้อง
“ฮึก ปล่อยกูนะ!!”
ความกลัวที่กดไว้ปิดไม่มิดอีกต่อไป หยดน้ำตาใส ๆ เริ่มเอ่อล้นออกมา ผมดิ้นพล่านพยายามขัดขืน แต่ยิ่งดิ้นผมก็ยิ่งถูกซุกไซ้แรงขึ้นตามไปด้วย
“ฮ่า ๆ ๆ เต็มที่เลยเว้ยพวกมึง ดื่มฉลองให้แก่คืนเข้าหอของกู”
คนพูดหันไปคว้าแก้วเหล้าที่คนชื่อชบารินให้กระดกเข้าปากรวดเดียวหมดจนกลิ่นเหล้าลอยคลุ้ง ฉุนจนแทบต้องย่นจมูก ยิ่งเขายื่นหน้ามาคลอเคลียที่ต้นคอ ผมก็ยิ่งรู้สึกรังเกียจในการกระทำเหล่านี้
“มานี่!”
ตัวของผมถูกกระชากให้เดินตามขึ้นบ้าน ถึงผมจะฮึดฮัดใส่ด้วยความไม่พอใจ แต่ก็ทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้
“เผื่อสักดอกสองดอกด้วยนะลูกพี่”
เสียงโห่แซวดังไล่หลังขณะขึ้นบันไดมา
พรึบ!!
เมื่อถูกโยนลงสุดแรง หน้าผมก็ทิ่มลงผ้าห่มทันที ตามมาติด ๆ คือคนตัวหนาที่คร่อมซ้อนทับ
“ปล่อยกูนะไอ้โจรเหี้ย มึงมันไม่ใช่คน มึงมันสัตว์เดรัจฉาน มึง อุ๊บ!”
“ชูววว”
ฝ่ามือหนาทาบปิดปากผมไว้สนิทพร้อมกับยื่นหน้าเข้ามาขู่ด้วยสายตาดุ ๆ
“ถ้ามึงไม่อยากตายมึงก็อยู่เฉย ๆ”
“ฮึก”
ผมกลืนเสียงสะอื้นไห้ผ่านลำคอ สายตาก็จ้องมองหน้าดุผ่านม่านน้ำตาหนา
มือของคนตรงหน้าค่อย ๆ คลายออกช้า ๆ จากปากผม ก่อนจะลุกขึ้นยืนเปิดโอกาสให้ผมขยับขึ้นไปนั่งกอดเข่าตัวสั่นระริกที่หัวเตียง
“ลงมานั่งด้านล่าง”
เสียงกระซิบห้วน ๆ เอ่ยบอก
“หูแตกหรือไง กูบอกให้มึงลงมา”
ผมใช้หลังมือปาดน้ำตาออกลวก ๆ แล้วยอมขยับลงไปนั่งที่ข้างล่างเตียงอีกฝั่ง ตรงข้ามกับเขา
ตึก ตึก ตึก
คิ้วบางของผมขมวดขึ้นเล็กน้อยเมื่อจู่ ๆ เขาก็ใช้มือดันเตียงชนกับข้างฝาบ้าน ผมไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาทำเลยสักนิด นี่เขากำลังทำอะไรอยู่
“คราง”
“ฮะ”
“กูบอกให้มึงคราง”
เสียงดุเปล่งออกมาอย่างห้วน ๆ
“ฮึก คะ ครางยังไงเล่า ครางไม่เป็น”
“ไอ้ห่าเอ๊ย!!”
คนออกคำสั่งสบถออกมาอย่างหัวเสีย พร้อมกับเปลี่ยนไปใช้มืออีกข้างดันเตียงแทน น่าจะเริ่มปวดแขนแล้ว
“ฮึก ฮือออ”
“เลิกร้องไห้แล้วครางออกมาสักทีสิวะ”
“ฮึก ก็กูบอกแล้วไงว่ากูครางไม่เป็น”
ยิ่งเขามีท่าทางฉุนเฉียวมากเท่าไหร่ผมก็ยิ่งร้องไห้หนักขึ้นมากเท่านั้น
“มึงจะแกล้งคราง หรือมึงจะครางจริง ๆ”
ผมเม้มปากแน่นเมื่อได้ยินคำขู่ รู้สึกกลัวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“เร็ว ๆ สิวะ ปวดแขนแล้วเนี่ย พวกมันแอบฟังอยู่”
เสียงกระซิบแผ่วเบาที่เร่งเร้าทำให้ผมลนลาน
“อะ โอ๊ย โอ๊ย โอยยยย”
“ทำเหี้ยไร มึงจะคลอดลูกเหรอ!!”
“ฮึก กะ ก็ครางไง”
“โอ๊ยย!! กูจะบ้าตาย”
เขาหันไปทุบฝ่ามือลงใส่หน้าผากหนัก ๆ บ่งบอกได้ว่าเขากำลังหงุดหงิดกับผมมากเพียงใด ผมก็อยากจะครางให้มันจบ ๆ ไปหรอกนะ แต่ทำไงได้ผมครางไม่เป็นนี่ อย่าว่าแต่ผ่านเรื่องอย่างว่าเลย ชีวิตนี้ผมยังไม่เคยมีแฟนสักคนด้วยซ้ำ
“มึงลองจินตนาการตอนเอากับแฟนมึงสิวะ อย่าโง่!!”
“ฮึก ก็ไม่เคยเอากับใครไง!”
ผมร้องสวนกลับพลางปาดน้ำตา ก็ครางให้ฟังแล้วยังจะเอาอะไรอีก
“งั้นเอางี้ กูจะครางให้มึงฟังแล้วมึงครางตาม เดินอ้อมมานั่งข้างกู”
เขาว่าพลางพยักหน้าเรียก ผมจึงยอมเดินอ้อมเตียงเข้าไปนั่งพับเพียบข้าง ๆ อย่างกล้า ๆ กลัว ๆ แต่อีกใจก็รู้สึกโล่งที่เขาไม่ได้จับผมทำเมียจริง ๆ แต่ก็ยังไม่เข้าใจว่าเขาทำแบบนี้ไปเพื่ออะไรกัน
“ฟังนะ”
ผมนั่งนิ่งจ้องมองดูคนนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงหน้า มือก็จับขาเตียงเขย่าไปเรื่อย ๆ
“อ๊ะ อ้าาาา อื้ออ ซี้ดดดด”
ผมมองตามใบหน้าเรียบนิ่งที่ครางออกมาดูไม่ได้อารมณ์เลยสักนิด
“อ๊ะ”
“ดังกว่านี้สิวะ ดังแค่นี้ใครจะไปได้ยิน”
“อ๊ะ อื้ออ”
“ดี! ดังกว่านี้ นานกว่านี้”
“อ๊ะ อ๊ะ อ้าาาา อื้อออ”
“พ...พอก่อน”
คนตรงหน้าเริ่มหน้าแดงก่ำยิ่งกว่าตอนยกเหล้าในแก้วเป๊กขึ้นซด เขาลอบกลืนน้ำลายพลางเบือนหน้าหลบ มือหนาคว้าหมอนมาปิดลงที่เป้ากางเกง
“มึงไปนอนได้แล้ว”
เขาพเยิดหน้าบอกผมที่กำลังนั่งนิ่งด้วยความมึนงง ผมจึงรีบเดินขึ้นเตียง
“ทำอะไร”
“ก...ก็นอนไง”
“เอาหมอนมึงลงมานอนข้างล่างเตียง กูจะนอนข้างบน”
“ฮะ!”
“หรือมึงอยากจะนอนกับกู”
ผมรีบส่ายหน้าพัลวันแล้วคว้าหมอนลงมานอนด้านล่างเตียงอีกฝั่ง ส่วนเขาก็ลุกขึ้นมานอนแผ่หลาอยู่บนเตียง แต่ก็ไม่วายชะเง้อคอมาคุยกับผม
“มึงอย่าได้คิดหนี ต่อไปนี้ฐานะของมึงคือเมียของเสือแผน อยู่กับกูแล้วมึงจะปลอดภัย แต่ถ้าออกไปมึงจะตายสถานเดียว”
“แล้วมึง...”
“พี่แผน เรียกกูว่าพี่ กูเป็นถึงผัวมึงอย่ามาพูดจาหมา ๆ”
เอาเปรียบชะมัด ทีเขายังไม่เห็นเรียกผมว่าน้องอรเลย
“แล้วพี่แผนจับผมมาทำไมเหรอ พี่ต้องการอะไร”
“ต้องการแก้แค้นพ่อมึง แต่มึงไม่ได้ผิด กูไม่ใช่คนไร้เหตุผลขนาดนั้น นอนซะอย่าถามมาก”
ทันทีที่พูดตัดบท เขาก็ทิ้งตัวลงที่นอนพร้อมกับหลับตาพริ้ม ทิ้งให้ผมค่อย ๆ เอนตัวลงแผ่นไม้แข็ง ๆ ทั้งน้ำตา ทำไมชะตาชีวิตผมถึงต้องเป็นแบบนี้ด้วย
พ่ออยู่ไหน เขาปลอดภัยไหมนะ เขาจะมาช่วยผมไหม
ไม่สิ เขาต้องกำลังตามหาผมอยู่แน่ ๆ แต่เขาจะหาผมเจอหรือเปล่า คนชื่อชบาบอกว่าที่นี่คือภูสมิง ผมไม่เคยได้ยินชื่อนี้เลย มันอยู่ไกลมากแค่ไหนก็ไม่รู้ ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์จงนำทางพาพวกเขาตามมาเจอผมด้วยเถิด