“กลับยังไง”
เพื่อนชายที่ฉันแอบคิดเกินเลยกว่าสถานะที่ควรเป็น เดินเข้ามาหาด้วยสีหน้าเคร่งเครียดนิด ๆ จากหัวคิ้วที่แทบจะชนกันอยู่แล้วนั้น หวังว่าคงไม่ทะเลาะกันกับแฟนสาวดาราดาวรุ่งหรอกมั้งนะ
“นั่งวินน่ะ แล้วนี่ทำไมยังไม่กลับอีกอะ”
ฉันถามไปตามประสา ปกติน็อตจะไม่ค่อยอยู่ในช่วงเย็น ไม่มีใครรู้ว่าเขาไปไหน เขาเป็นคนเดียวที่แทบจะไม่ค่อยเล่าเรื่องส่วนตัวให้เพื่อนฟัง
“ปะ... เดี๋ยวไปส่ง”
น็อตจับกระเป๋าสะพายของฉันเพื่อจับจูงให้ก้าวเดินไปพร้อมกับเขา
แต่ฉันไม่อยากไปกับเขาเลยนี่นา
คือว่ามัน.....
“ไม่เป็นไรหรอก แค่ไปส่งเพื่อน ใครจะว่าก็ช่างหัวมันสิ”
ด้วยใบหน้าอันตึงเรียบที่หันกลับมามอง แววตานิ่งเฉยในตอนที่พูดราวกับไม่ได้สนใจว่าจะเกิดอะไรในความสัมพันธ์ของตัวเอง
ฉันไม่ได้อยากจะเสี่ยง ปีใหม่เป็นผู้หญิงที่ถ้าเลี่ยงได้ ก็ควรจะเลี่ยงดีกว่า
“น็อต... ”
ฉันเรียกเขาอีกครั้ง เมื่อเจ้าตัวยังตั้งหน้าตั้งตาดึงกระเป๋าเพื่อลากให้ฉันเดินตามไป
“โน... ทำไมชอบดื้อเงียบห๊ะ”
ฉันชะงักไปกับคำพูดนั้น หันไปค้อนขวับแล้วตั้งท่าจะอ้าปากแหวใส่
ใครดื้อเงียบ? ทำไมต้องว่าให้ฉันด้วย!
“ระ... ”
“หยุดเลย ทีกับคนอื่นใจดีจังเลยนะ ไปกับเราแค่นี้จะเป็นไรไป”
ฉันอ้าปากค้าง พออยู่กันสองคนก็เป็นแบบนี้ เพื่อนที่แสนใจดีคอยปกป้องฉันหายวับไป เหลือไว้ก็แค่ผู้ชายคนหนึ่งที่ชอบชวนฉันทะเลาะ เพราะเขาอยากให้ฉันพูดบ้าง ไม่ใช่แค่นั่งยิ้มอย่างเดียวเหมือนที่ฉันชอบเป็น
“ไหนว่าจะไปส่งไง”
เดินมาได้สักพัก ฉันก็เริ่มเอะใจว่าทำไมเขาถึงได้พามายืนร้อนอยู่ตรงนี้
“รอรถเมล์ไง ถามอะไรน่ะหัดคิดบ้าง”
ทำไมถึงชอบตีหน้าดุ พูดดี ๆ กับฉันเหมือนอยู่ต่อหน้าเพื่อนไม่ได้หรือไง
น็อตคือผู้ชายที่เข้าใจยากชะมัด.....
“รถล่ะ”
ฉันถามออกไปด้วยความใคร่รู้
“ไม่ได้เป็นวินไง เลยจะพานั่งรถเมล์เอา”
ตอบมาหน้าตาย ต่อหน้าใครต่อใครละทำใจดี พูดดี อยู่ด้วยกันสองคนนี่อย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อกัน
“ไม่ต้องมามองค้อน”
เขาว่า ก่อนที่สายตาเขาจะมองเลยฉันไปยังด้านหลัง
รถมาพอดี...
อันที่จริง น็อตเองก็แค่ผู้ชายวัยรุ่นทั่วไป ไม่ได้สุภาพจนเกินเหตุ ไม่ได้จังไรจนเกินไป แต่ทำไมชอบดุเวลาอยู่กันแค่สองคน
เรื่องนี้ฉันงงตั้งแต่ปีหนึ่งจนปีสุดท้ายนี่แหละ
“วันนี้ดูเครียดนะ”
ฉันถามคนที่นั่งด้านซ้ายติดกับหน้าต่างรถ แววตาเขาดูเลื่อนลอย คล้ายมีบางอย่างกำลังว้าวุ่นอยู่ภายในภวังค์ความคิด
“อืม... ปีขอห่างกัน”
หัวใจฉันกระตุกไปนิด แม้จะอยากเอื้อมมือบางไปแตะหลังมือหนาเพื่อปลอบประโลมแค่ไหน ก็ทำได้เพียงแค่หักห้ามใจไว้ ยั้งร่างกายตัวเองไว้ด้วยคำว่า 'ไม่มีสิทธิ'
“กูทำไรผิดวะ”
เสียงเขาพึมพำ ความหงุดหงิดพาลให้น็อตหลุดคำพูดแบบเป็นกันเอง
โดยปกติฉันเป็นคนเดียวที่เพื่อนจะพูดจาสุภาพด้วย ด้วยว่าฉันชอบนั่งยิ้มอย่างเดียว มีส่วนร่วมบ้างบางครั้ง เพื่อน ๆ ก็เลยพากันตั้งชื่อให้ฉันว่าเป็นคุณหนูตัวจริง
“หรือผิดที่จน?”
คราวนี้เขาหันกลับมา สายตาเราสองสานสบกันอย่างช่วยไม่ได้
น้อยใจตัวเองที่ด้อยกว่าอยู่แน่ ๆ
“แล้วปีใหม่ได้บอกเหตุผลไหม”
ฉันแค่อยากช่วยแชร์ความอึดอัดของเขาเท่านั้น อย่างน้อยก็ถือว่าระบายกับเพื่อนอย่างฉันได้
“บอกว่างานยุ่ง อีกอย่างก็กำลังรุ่งเรื่องในวงการ ไม่อยากเป็นข่าวว่ามีแฟนแล้ว เดี๋ยวงานจะหายเพราะกระแสด้านนี้ นี่ยังไม่เจียดคำว่าดาราเลยไม่อยากดับตอนนี้”
ได้ฟังอย่างนั้น ฉันก็อ่อนใจเป็นอย่างมาก ไม่อยากเห็นน็อตเสียใจ ไม่อยากให้เขาเป็นทุกข์
แล้วจะเอาสิทธิ์อะไรไปห้ามความเสียใจของเขาล่ะ
“ถ้ารักเขาก็ต้องทำความเข้าใจ”
พูดไปก็เจ็บไป
“เข้าใจว่าเราไม่คู่ควรกันงั้นเหรอโน.... ”
แต่แล้วประโยคตัดพ้อกับแววตาผิดหวังก็ถูกปาเข้าใส่หน้าฉันเต็ม ๆ
การมองเห็นคนที่เราแอบชอบเศร้าเสียใจว่าแย่แล้ว ยิ่งเห็นเขารักใครมากกว่าตัวเขาเองยิ่งแย่กว่า
หัวใจฉันแทบยับเยิน!
“คบกันมาตั้งหลายปี มันไม่มีความหมายเลยเหรอวะ”
เขายังพร่ำเพ้อออกมา สายตาทอดมองอย่างเลื่อนลอยไปยังท้องถนน
คนที่ไม่ชอบแชร์เรื่องส่วนตัวกับใคร คงอึดอัดมากมายสินะถึงได้พรั่งพรูมันออกมาอย่างเหลืออด
“โน... ”
น็อตเรียกเบา ๆ น้ำเสียงของเขาสั่นไหวตามความรู้สึก
“ว่าไง”
“เคยรักใครจนอยากเห็นแก่ตัวไหม ไม่อยากให้เขาเป็นคนที่ใครต่อใครก็รู้จัก มีแค่เราที่รักกันแค่นั้น โนว่าจะมีคนคิดแบบเราไหม”
“. . . . .”
ทำไมน็อตต้องพูดแปลก ๆ
“ละทิ้งความฝันบ้าง แค่อยู่ด้วยกัน รักกันดูแลกันมันไม่พอจริง ๆ ใช่ไหม”
ตัดพ้อน้อยใจเรื่องปีใหม่ออกมาเต็มประตู เขาจะรู้อะไรบ้างไหมว่าคำพูดแต่ละคำมันช่างกัดกินก้อนเนื้อในอกด้านซ้ายของฉันมากแค่ไหน
เขาช่างไม่รู้อะไรเลย!
“คำว่าห่าง ไม่ได้ต่างจากคำว่าเลิก”
ฉันเบี่ยงหน้าหนี กลัวจะแสดงสีหน้าที่ไม่ควรให้เขาเห็นออกไป
“เราว่าเราจะ... เลิก”
ก็เลิกไปเลยสิ เลิกตอนนี้ได้ยิ่งดี
เลิกพูดเรื่องปีใหม่สักที!
ฉันไม่อยากฟังแล้ว
“คิด... ก็ได้แค่แค่คิด รัก คำว่ารักคำเดียว เราโง่มากไหมวะ”
และแล้วแก้มทั้งสองข้างก็ถูกอุ้งมือหนาประคองให้หันกลับไปสบตาอีกครา
“การรักใครสักคน ไม่ใช่เรื่องที่โง่เง่าหรอก ”
ขนาดเรารักเธอ เรายังไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองโง่รึเปล่า
“โนเหมือนยาวิเศษอย่างที่นาราบอกจริง ๆ คิดไม่ผิดเลยที่เล่าระบายให้โนฟัง ขอบใจโนนะ”
เขาว่า พลางลุกขึ้นแล้วก้าวขาไปข้างหน้า ก้าวแต่ละก้าวห่างกันไม่ถึงก้าว แต่ทำไมหัวใจฉันรู้สึกว่ามันห่างไปไกลแสนไกลเหลือเกิน.....