สองวันเต็มๆ...
สองวันที่ผ่านไปราวกับความฝัน...ความฝันที่ร้อนแรงและอ่อนหวานจนข้าวปั้นแทบไม่อยากจะตื่น วันหยุดสุดสัปดาห์ที่เคยเงียบเหงาของเธอ ถูกแทนที่ด้วยการ ‘รักษา’ อย่างต่อเนื่องจากนายแพทย์เจ้าของไข้คนพิเศษของเธอ...จนคนไข้อย่างเธอแทบจะไม่มีแรงเหลือให้ลุกจากเตียง
เช้าวันอังคาร... (เพราะวันจันทร์เธอได้ใช้สิทธิ์ลาป่วยไปอย่างสมเหตุสมผล) ข้าวปั้นลากสังขารที่ยังคงปวดเมื่อยมาที่ออฟฟิศได้ในที่สุด สภาพของเธอดูสโหลสเหลเหมือนคนนอนไม่พอมาทั้งชาติ ขอบตาคล้ำเล็กน้อยจากการพักผ่อนที่ไม่เป็นเวลา แต่ถึงอย่างนั้น...ใบหน้าของเธอกลับดูสดใสเปล่งปลั่งอย่างน่าประหลาด และที่ผิดปกติที่สุดคือรอยยิ้ม...รอยยิ้มโง่ๆ ที่มักจะเผลอผุดขึ้นมาที่มุมปากโดยไม่มีสาเหตุ
“มอร์นิ่งค่ะทุกคน...” เธอเอ่ยทักทายเพื่อนร่วมงานด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่าเล็กน้อย ก่อนจะเดินไปยังโต๊ะทำงานของตัวเองอย่างเชื่องช้า...และติดจะแข็งทื่ออยู่สักหน่อย
ทุกย่างก้าวที่ขยับ...มันส่งผลสะเทือนไปถึงช่วงล่างที่ยังคงระบมไม่หาย ทำให้เธอต้องเดินเกร็งๆ อย่างช่วยไม่ได้
ภาพเหตุการณ์เมื่อเช้าวันจันทร์ตอนที่คุณหมอกำลังจะกลับผุดขึ้นมาในหัว...
“วันนี้คุณนอนพักไปเลยนะ ไม่ต้องไปทำงานหรอก...สภาพนี้ไปไม่ไหวแน่” เขาพูดพลางลูบผมเธออย่างอ่อนโยน
“ก็ใครทำล่ะคะ!” เธอทุบเขาไปทีหนึ่ง
“หมอเองครับ” เขายอมรับหน้าตาย ก่อนจะก้มลงกระซิบ *“แล้วถ้าคืนนี้อยากโดนทำอีก...ก็ไม่ต้องไปไหนนะ”*
แค่คิดถึงตรงนี้...แก้มของข้าวปั้นก็ร้อนผ่าวขึ้นมาทันที เธอยกมือขึ้นพัดหน้าตัวเองเบาๆ แล้วก็เผลอยิ้มออกมาอีกจนได้...รอยยิ้มที่ทั้งเล็กน้อยและกว้างขวาง...ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่สลับกันไปเหมือนคนสติไม่ดี
“ยิ้มอะไรของแกวะยัยปั้น” เสียงของ ‘พี่ส้ม’ เพื่อนร่วมทีมที่นั่งโต๊ะข้างๆ ทักขึ้น “ถูกหวยเหรอ”
“เปล่าค่ะพี่ส้ม...พอดีนึกถึงเรื่องตลกๆ น่ะค่ะ” เธอรีบแก้ตัวแล้วหันไปเปิดคอมพิวเตอร์ ทำทีเป็นสนใจงานตรงหน้า แต่ในหัวกลับมีแต่ภาพใบหน้าหล่อๆ ของใครบางคนวนเวียนอยู่เต็มไปหมด
เธอพยายามจะตั้งสติเพื่อทำงาน แต่ก็ทำได้ไม่นาน...ภาพตอนที่เขา ‘รักษา’ อาการบวมให้เธอก็แวบเข้ามาอีก...
“อ๊ะ...คุณหมอ...มัน...มันจั๊กจี้นะคะ”
“ชู่ว์...รักษาอยู่นะครับ...อย่าดิ้นสิ”
“ฮื่อ...” เธอเผลอครางออกมาเบาๆ แล้วรีบเอามือปิดปากตัวเองเมื่อรู้ตัวว่าเผลอคิดอะไรน่าอายออกมาเสียงดัง
เธอตัดสินใจลุกไปชงกาแฟเพื่อเรียกสติ แต่ด้วยความที่จิตใจยังคงล่องลอยอยู่ในโลกสีชมพู...ในจังหวะที่เดินกลับมาที่โต๊ะ...
โครม!
ขาของเธอเกี่ยวเข้ากับขาโต๊ะกลางห้องอย่างจัง! กาแฟร้อนในแก้วหกกระจายไปครึ่งหนึ่ง ส่วนร่างของเธอก็เซถลาไปข้างหน้า โชคดีที่ยังคว้าพนักพิงเก้าอี้ไว้ได้ทัน ไม่เช่นนั้นคงได้ลงไปนอนวัดพื้นออฟฟิศเป็นที่เรียบร้อย
เหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ในสายตาของ ‘เจ๊จี๊ด’ หัวหน้าแผนกฝ่ายสร้างสรรค์ที่เพิ่งจะเดินออกมาจากห้องประชุมพอดี
“ยัยปั้น!!!”
เสียงแหลมปรอทแตกของเจ๊จี๊ดดังขึ้น ทำให้ทุกคนในแผนกหันมามองเป็นตาเดียว
เจ๊จี๊ดเดินสืบเท้าเร็วๆ เข้ามาหาลูกน้องคนโปรดของเธอด้วยท่าทางเหมือนนางพญาเสือดาวที่กำลังจะตะครุบเหยื่อ เธอมองสภาพของข้าวปั้นตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสายตาจับผิด...สภาพอิดโรย...ท่าเดินแปลกๆ...รอยยิ้มที่ไม่มีที่มาที่ไป...และอุบัติเหตุเมื่อครู่...
“เป็นอะไรของหล่อนย๊ะวันนี้!?” เจ๊จี๊ดเริ่มต้นการไต่สวน “เดินยิ้มเหมือนคนบ้ามาตั้งกะเช้าแล้วนะ! แล้วดูท่าทางสิ! สโหลสเหล หมดเรี่ยวหมดแรง...บอกเจ๊มาเดี๋ยวนี้นะ...ว่าเมื่อคืนโดนใคร ‘จัดหนัก’ มาไม่ทราบ!”
คำว่า ‘จัดหนัก’ ที่เจ๊จี๊ดจงใจเน้นเสียง ทำให้ข้าวปั้นแทบสำลักอากาศที่ไม่มีอยู่จริง!
“เจ๊! พูดอะไรคะ! ไม่มี๊!” เธอปฏิเสธเสียงสูง หน้าแดงก่ำยิ่งกว่าลูกตำลึงสุก “ปั้น...ปั้นก็แค่สะดุดขาโต๊ะเฉยๆ ค่ะ! เมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับ...เลยมึนๆ”
“นอนไม่ค่อยหลับ...หรือว่าไม่ได้นอนกันแน่ยะ!” เจ๊จี๊ดสวนกลับทันควัน สายตาคมกริบเหมือนเหยี่ยวไม่ยอมละไปจากใบหน้าของเธอ “แล้วที่เดินขากะเผลกๆ น่ะ มันคืออะไร! อย่ามาบอกนะว่าตกบันได! ท่าเดินแบบนี้เจ๊เห็นมาเยอะ...อาการของคนที่ผ่านสมรภูมิรบมาอย่างโชกโชนชัดๆ!”
“เจ๊ก็พูดไปเรื่อย! ปั้นจะไปรบกับใครเล่า!” ข้าวปั้นเถียงข้างๆ คูๆ พยายามจะเดินหนีกลับไปที่โต๊ะ แต่เจ๊จี๊ดก็คว้าแขนไว้ก่อน
“จะไปไหน! ยังคุยกันไม่รู้เรื่องเลย!” เจ๊จี๊ดดึงเธอให้หันกลับมา ก่อนที่สายตาจะไปสะดุดเข้ากับอะไรบางอย่างที่บริเวณลำคอของข้าวปั้น...รอยจางๆ ที่ถึงแม้จะถูกคอนซีลเลอร์โปะทับไว้ แต่ก็ยังมองเห็นได้อยู่ดี
“เดี๋ยวนะ...” เจ๊จี๊ดยื่นหน้าเข้ามาใกล้ “นี่รอยอะไรที่คอหล่อนน่ะ...ยุงกัดเหรอยะ? โห...ยุงที่คอนโดหล่อนนี่พันธุ์ดุจังนะ...ตัวใหญ่มากแน่ๆ เลย...แถมยังฉลาด...เลือกกัดแต่ตรงซอกคอด้วยนะ...จุดที่มองเห็นซะด้วย”
สิ้นคำของเจ๊จี๊ด...ข้าวปั้นก็เหมือนถูกแช่แข็ง เธอรีบยกมือขึ้นกุมคอตัวเองโดยอัตโนมัติ...ซวยแล้ว! เธออุส่าห์ใช้คอนซีลเลอร์กลบอย่างดีที่สุดแล้วนะ! ทำไมสายตาเจ๊จี๊ดยังดีขนาดนี้!
“จบกัน...หลักฐานมัดตัวขนาดนี้ยังจะปฏิเสธอีกไหมยะ!” เจ๊จี๊ดยิ้มอย่างผู้ชนะ
ข้าวปั้นรู้ตัวว่าคงเถียงต่อไปไม่ไหวแล้ว เธอจึงได้แต่ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ยอมจำนนต่อหลักฐาน
“โธ่...เจ๊...”
“ไม่ต้องมาโธ่! บอกมาเดี๋ยวนี้ว่าใคร! ใครคือผู้ชายคนนั้นที่ทำให้ลูกน้องคนเก่งของฉันกลายร่างเป็นนางแมวหง่าวได้ขนาดนี้! ใช่คนที่หล่อนเคยเล่าให้ฟังรึเปล่า...ไอ้คุณหมอปากแข็งคนนั้นน่ะ!”
เจ๊จี๊ดรุกหนักเหมือนตำรวจที่กำลังสอบปากคำผู้ต้องหา
ข้าวปั้นได้แต่ก้มหน้างุด ไม่ยอมตอบคำถามนั้นตรงๆ
แต่ในจังหวะที่เจ๊จี๊ดกำลังจะคาดคั้นต่อ...โทรศัพท์มือถือของข้าวปั้นที่วางอยู่บนโต๊ะก็สั่นขึ้น พร้อมกับหน้าจอที่สว่างวาบขึ้นมา...
ปรากฏชื่อผู้ส่ง... ‘คุณหมอปากจัด’
เจ๊จี๊ดที่ตาไวกว่าใคร รีบชะโงกหน้าไปดูทันที!
ข้อความบนหน้าจอเขียนว่า...
[เที่ยงนี้กินอะไรดีครับ...หรือจะให้ผมเอา ‘ยา’ ไปส่งให้ที่ออฟฟิศดี?]
เมื่อได้เห็นข้อความนั้น...เจ๊จี๊ดก็อ้าปากค้าง...ก่อนจะหันมามองหน้าข้าวปั้น แล้วระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่นออฟฟิศ
“ยา! ยาที่ว่าเนี่ย! มันใช่ยาแก้ปวดเมื่อยตามร่างกายรึเปล่ายะ! ยัยปั้นนนน! หล่อนมันร้ายกาจที่สุด!”