หนึ่งสัปดาห์เต็มๆ ที่สัมผัสเย็นวาบแต่กลับทิ้งร่องรอยความร้อนรุ่มไว้ของหมอรามยังคงตามหลอกหลอนข้าวปั้นไม่เลิกรา ไม่ว่าจะตอนประชุม ตอนนั่งทำงาน หรือแม้กระทั่งตอนกินข้าวเที่ยงกับเพื่อนร่วมงาน ภาพฝ่ามืออุ่นๆ ที่ทาบลงบนสะโพก กับปลายนิ้วเย็นๆ ที่ลากไล้อย่างจงใจนั้นก็มักจะแวบเข้ามาในหัวโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย ส่งผลให้แก้มของเธอร้อนผ่าวขึ้นมาดื้อๆ จนเพื่อนต้องทัก
“ปั้น เป็นไรรึเปล่า หน้าแดงๆ นะ ไม่สบายเหรอ?”
“เปล่าๆ! ร้อนน่ะ... แอร์ไม่เย็นเลย” เธอจะตอบแบบนี้ทุกครั้ง พร้อมกับยกเมนูขึ้นมาพัดหน้าตัวเองอย่างลวกๆ
และวันนี้...โชคชะตาก็พาเธอกลับมายังจุดเกิดเหตุอีกครั้ง ไม่ใช่การตรวจสุขภาพประจำเดือน แต่เป็นการนัดติดตามผล...บางอย่าง
เรื่องของเรื่องคือ หลังจากวันที่โดนฉีดยาไป ข้าวปั้นก็รู้สึกปวดหน่วงๆ บริเวณที่ฉีดมากกว่าปกติเล็กน้อย ซึ่งจริงๆ แล้วมันก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่ด้วยความที่เป็นคนขี้กังวล (และแอบหาเรื่อง) เธอจึงโทรไปที่แผนกเพื่อสอบถามอาการ และปลายสายก็คือพยาบาลคนเดิมที่แนะนำให้เธอกลับเข้ามาพบคุณหมอเพื่อความสบายใจ
ลึกๆ แล้วเธอก็รู้ว่าตัวเองไม่ได้เป็นอะไรมาก แต่ก็มีแรงดึงดูดประหลาดบางอย่างที่ทำให้เธอปฏิเสธคำแนะนำนั้นไม่ได้
และแล้วเธอก็ได้กลับมานั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเดิมในห้องตรวจหมายเลข 12 อีกจนได้ บรรยากาศยังคงเงียบเชียบและเย็นเยียบเหมือนเดิม หมอรามในชุดกาวน์สีขาวสะอาดยังคงนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานของเขาด้วยท่วงท่าสงบนิ่งเช่นเคย
“ไหนครับที่เป็นปัญหา” เขาถามขึ้นหลังจากซักประวัติอาการสั้นๆ
“ก็...มันปวดๆ ค่ะ” ข้าวปั้นตอบเสียงอ่อย “ปวดตรงที่ฉีดยาไปวันนั้นแหละค่ะ มันไม่หายซะที”
หมอรามพยักหน้ารับรู้ช้าๆ “ปกติอาจมีอาการปวดระบมได้ 2-3 วันอยู่แล้ว แต่ถ้ายังไม่หาย ก็คงต้องดูหน่อยว่ามีอาการบวมแดงหรืออักเสบหรือเปล่า” เขามองหน้าเธอตรงๆ “ขึ้นไปบนเตียงครับ”
หัวใจของข้าวปั้นหล่นวูบอีกครั้ง ‘ดูหน่อย’ ของหมอ...มันแปลว่าอะไร!
“ต้อง...ต้องถอดดูเลยเหรอคะ” เธอถามเสียงสั่น พยายามทำใจดีสู้เสือ
“ถ้าผมมีตาเอ็กซเรย์ก็คงไม่ต้องถอดหรอกครับ” เขาตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่เสียดแทงเหมือนเดิม “ไปครับ เดี๋ยวผมจะไปดูให้”
ไม่มีทางเลือกอื่น ข้าวปั้นจึงต้องลุกจากเก้าอี้แล้วเดินไปที่เตียงตรวจด้วยฝีเท้าที่หนักอึ้งราวกับนักโทษประหาร เธอไม่ได้นอนคว่ำเหมือนครั้งที่แล้ว แต่เลือกที่จะนั่งหันข้างให้เขาแทน อย่างน้อยก็ยังพอจะเห็นได้ว่าเขากำลังจะทำอะไรกับเธอ
หมอรามเดินตามมายืนอยู่ข้างเตียง ในมือของเขาไม่มีอุปกรณ์อะไรเลยนอกจากถุงมือยางสีขาวหนึ่งคู่ที่เขากำลังสวมมันอย่างคล่องแคล่ว เสียงยางที่เสียดสีกันเบาๆ กลับฟังดูน่ากลัวกว่าเสียงเตรียมเข็มฉีดยาเสียอีก
“หันมาทางนี้หน่อยครับ” เขาสั่งพลางใช้มือข้างหนึ่งแตะที่เอวของเธอเบาๆ เพื่อจัดท่าทางให้เธอหันสะโพกมาหาเขามากขึ้น สัมผัสผ่านเนื้อผ้าเดรสยังทำให้เธอสะดุ้งได้เหมือนเคย
“ขอดูแผลหน่อย”
ข้าวปั้นลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจร่นชายกระโปรงของตัวเองขึ้นช้าๆ ด้วยมือที่สั่นเทา เธอเลิกมันขึ้นมาแค่พอให้เห็นขอบกางเกงชั้นในลายลูกไม้ตัวเดิมที่เธอใส่มาโดยไม่ได้ตั้งใจ
หมอรามโน้มตัวลงมา แววตาหลังกรอบแว่นจดจ้องไปยังบริเวณที่เธอเปิดให้เขาดูอย่างพินิจพิเคราะห์
“ไม่เห็นมีรอยแดงหรือบวมอะไร” เขาพึมพำ ก่อนจะทำในสิ่งที่ทำให้ข้าวปั้นแทบหยุดหายใจ
เขาไม่ได้ใช้แค่นิ้ว...แต่ใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางที่สวมถุงมือยางอยู่ แตะลงบนผิวเนื้อบริเวณนั้นเบาๆ ก่อนจะกดลงไปเพื่อคลำหาความผิดปกติ
“เจ็บตรงนี้ไหมครับ?” เขาถาม พลางกดนิ้วลงไปเบาๆ
“มะ...ไม่ค่ะ”
“แล้วตรงนี้?” เขาขยับนิ้วไปยังตำแหน่งใหม่ที่ใกล้กับรอยบุ๋มตรงสะโพกมากขึ้น ปลายนิ้วของเขากดคลึงเป็นวงกลมเล็กๆ อย่างเชื่องช้า
การกระทำของเขามันดูเป็นไปตามหลักการแพทย์ทุกอย่าง...แต่สำหรับข้าวปั้นแล้ว มันไม่ใช่เลย! สัมผัสจากปลายนิ้วที่เคลื่อนไหวบนผิวเนื้อของเธอ มันกำลังปลุกความรู้สึกวาบหวามที่เธอพยายามจะลืมให้ลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง ลมหายใจของเธอเริ่มติดขัด ใบหน้าร้อนผ่าวจนรู้สึกได้
“อืม...” เขาครางในลำคอเบาๆ ขณะที่ยังคงคลำหาความผิดปกติต่อไป นิ้วของเขาเคลื่อนต่ำลง...ใกล้ขอบกางเกงในเข้ามาทุกที...
“แล้วถ้าเป็นตรงนี้ล่ะครับ...”
ปลายนิ้วของเขาแตะลงบนรอยพับระหว่างบั้นท้ายกับต้นขาอ่อนพอดี!
“อ๊ะ!” ข้าวปั้นสะดุ้งสุดตัว เผลอขยับตัวหนีตามสัญชาตญาณ
“เจ็บเหรอครับ?” เขาถามย้ำอีกครั้ง เงยหน้าขึ้นมาสบตาเธอ แววตาของเขายังคงนิ่งสงบ แต่เธอรู้สึกได้ถึงประกายบางอย่างที่ฉายชัดอยู่ในนั้น...ประกายของความพึงพอใจ
“ปะ...เปล่าค่ะ! มัน...มันแค่จั๊กจี้!” เธอรีบแก้ตัวเสียงสั่น
“จั๊กจี้?” เขาทวนคำนั้นราวกับเป็นศัพท์ใหม่ที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน “ผมเป็นหมอนะครับ ไม่ใช่นักแสดงตลก”
ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่นิ้วของเขากลับยังไม่ยอมละออกไปไหน แถมยังจงใจขยับลากไล้ไปตามแนวขอบกางเกงในของเธอเบาๆ อีกครั้ง มันเป็นการกระทำที่ท้าทายและหยอกเย้าอย่างร้ายกาจที่สุด!
“คุณหมอ...พอ...พอแล้วค่ะ ฉัน..เอ๊ย...หนูว่าหนูไม่ได้เป็นอะไรแล้ว” เธอพยายามดึงสติของตัวเองกลับมา บอกเขาเสียงกระท่อนกระแท่น
หมอรามมองหน้าเธอนิ่งไปอึดใจหนึ่ง ก่อนจะยอมละมือออกแต่โดยดี เขายืดตัวขึ้นเต็มความสูง แล้วถอดถุงมือออกโยนทิ้งลงถังขยะข้างเตียง
“ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ กล้ามเนื้ออาจจะแค่อักเสบเล็กน้อยจากการเกร็งตัวตอนฉีดยา” เขาสรุปผลการตรวจ “เดี๋ยวผมจัดยาคลายกล้ามเนื้อให้”
ข้าวปั้นรีบจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่เข้าทางทันทีที่เขาผละออกไป หัวใจของเธอยังคงเต้นไม่เป็นส่ำ ความรู้สึกร้อนผ่าวบริเวณสะโพกยังคงค้างคาอยู่อย่างชัดเจน
เธอกำลังจะก้าวลงจากเตียง แต่เขากลับยื่นมือมาขวางไว้
“นั่งก่อน”
เธอชะงัก มองเขาอย่างไม่เข้าใจ
เขาไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่กลับก้มลงหยิบปรอทวัดไข้แบบดิจิทัลขึ้นมา
“อ้าปากครับ”
“คะ? วัดไข้ทำไมคะ หนูไม่ได้เป็นไข้”
“หน้าคุณแดงมาก ผมไม่ไว้ใจ” เขาตอบสั้นๆ แต่สายตากลับจ้องเขม็งมาราวกับจะบังคับให้เธอทำตาม
ข้าวปั้นจำใจต้องอ้าปากแต่โดยดี เขาสอดปลายปรอทเข้ามาใต้ลิ้นของเธออย่างนุ่มนวล แต่ปลายนิ้วของเขาที่ถือด้ามปรอทอยู่นั้น กลับเผลอมาเฉียดกับริมฝีปากล่างของเธอเบาๆ
สัมผัสเพียงแผ่วเบานั้นทำให้ร่างกายของเธอชาวาบไปทั้งตัว
เขายืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ไม่ได้ถอยห่างออกไป ใบหน้าคมคายอยู่ใกล้จนเธอเห็นเงาของตัวเองสะท้อนอยู่ในกรอบแว่นของเขา...ใกล้จนเธอได้ยินเสียงลมหายใจของกันและกัน
เวลาไม่ถึงนาทีที่รอให้ปรอททำงาน กลับยาวนานราวกับเป็นชั่วโมง ในที่สุดเสียง ‘ติ๊ด’ เบาๆ ก็ดังขึ้น
หมอรามดึงปรอทออกจากปากเธอ ก่อนจะก้มลงมองตัวเลขบนหน้าจอ
“37.1...อุณหภูมิปกติ” เขามองหน้าเธออีกครั้ง ก่อนจะพูดประโยคที่ทำให้เธออยากจะมุดดินหนีไปให้รู้แล้วรู้รอด
“สงสัยอาการหน้าแดงของคุณ...คงไม่ได้เกิดจากไข้จริงๆ” เขายิ้มมุมปาก “แต่เกิดจากอย่างอื่น”
พูดจบ เขาก็หันหลังเดินกลับไปที่โต๊ะทำงานเพื่อเขียนใบสั่งยา ทิ้งให้ข้าวปั้นนั่งตัวแข็งทื่ออยู่บนเตียง พร้อมกับหัวใจที่กำลังร่ำร้องว่า...
การมาตรวจร่างกายที่นี่...มันคือการทดสอบหัวใจตัวเองชัดๆ