แสงแดดยามเช้าที่ส่องลอดผ่านช่องว่างของผ้าม่านเข้ามา ปลุกข้าวปั้นให้ตื่นจากการหลับใหลที่ยาวนานและเหนื่อยอ่อนที่สุดในชีวิต ความรู้สึกแรกที่เธอรับรู้ได้คืออาการปวดหัวตุบๆ ราวกับมีใครเอาค้อนมาทุบ เป็นผลพวงมาจากค็อกเทลไหมไทยสองแก้วเมื่อคืน
เธอพยายามจะพลิกตัว แต่แล้วความรู้สึกเจ็บปวดระลอกที่สองก็ถาโถมเข้ามาอย่างรุนแรง...
ร่างกายของเธอปวดหนึบไปทุกส่วนสัดราวกับเพิ่งไปวิ่งมาราธอนมา...โดยเฉพาะ ‘ช่วงล่าง’...
มันเป็นความรู้สึกที่ทั้งระบม แสบ และตึงแน่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เหมือนกับว่าร่างกายส่วนนั้นได้ผ่านการใช้งานอย่างหนักหน่วงมาตลอดทั้งคืน ความเจ็บแปลบแล่นปราดขึ้นมาทุกครั้งที่เธอขยับตัว
‘ทำไม...ทำไมถึงเจ็บขนาดนี้...’
ข้าวปั้นค่อยๆ ปรือตาขึ้นอย่างงุนงง ภาพแรกที่เห็นคือเพดานห้องนอนที่ไม่คุ้นเคย...เอ๊ะ? ไม่สิ...นี่มันเพดานห้องของเธอเองนี่นา แต่ทำไมทุกอย่างมันดูหมุนๆ ไปหมด
เธอรวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี ยันกายลุกขึ้นนั่งอย่างทุลักทุเล แล้วก็ต้องสูดปากด้วยความเจ็บที่แล่นริ้วขึ้นมาอีกครั้ง เธอเผลอก้มลงมองสภาพตัวเองใต้ผ้าห่มผืนหนา...แล้วดวงตาก็เบิกกว้างด้วยความตื่นตระหนก!
ร่างกายของเธอเปลือยเปล่า!
ไม่เพียงแค่นั้น...บนผิวเนื้อขาวๆ ของเธอ โดยเฉพาะบริเวณลำคอและเนินอก ยังปรากฏรอยจ้ำสีแดงสีกุหลาบกระจายเป็นหย่อมๆ เหมือนกับแผนที่ดวงดาวที่ใครบางคนมาทำทิ้งไว้
‘นี่มัน...รอยอะไร!’
ภาพความทรงจำเมื่อคืนค่อยๆ ไหลย้อนกลับเข้ามาในหัวอย่างช้าๆ...บาร์แจ๊ส...ไหมไทย...คุณหมอราม...คำพูดที่เหมือนจะตัดพ้อของเธอ...เขามาส่งที่คอนโด...จูบในรถ...
แล้วภาพก็ตัดไป...
ไม่! มันไม่ได้ตัดไป! แต่มันชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ!
คำเชิญที่น่าอายของเธอ...จูบที่ร้อนแรงหน้าประตู...สัมผัสที่เร่าร้อนบนเตียง...ความเจ็บปวดครั้งแรกที่แสนสาหัส...เสียงครางที่น่าอายของตัวเอง...และใบหน้าหล่อเหลาที่เต็มไปด้วยหยาดเหงื่อของเขา...
ทุกอย่างมันคือเรื่องจริง!
“กรี๊ดดดดดดดดดดด!”
เสียงกรีดร้องของข้าวปั้นดังลั่นห้องในยามเช้า เธอรีบดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวจนมิดชิดราวกับมีคนแอบมองอยู่ หัวใจเต้นระรัวเหมือนจะหลุดออกมานอกอก ใบหน้าร้อนผ่าวเหมือนมีใครเอาไฟมาจ่อ
แล้วในจังหวะนั้นเอง...เธอก็รู้สึกได้ถึงการขยับตัวของใครอีกคนที่นอนอยู่ข้างๆ!
ข้าวปั้นค่อยๆ หันไปมองอย่างเชื่องช้าและหวาดหวั่น...แล้วก็แทบจะหยุดหายใจ
นายแพทย์รามิล วงศ์วริศ...ในสภาพที่เปลือยท่อนบน นอนตะแคงหันหน้ามาทางเธอ ใช้แขนข้างหนึ่งเท้าศีรษะเอาไว้ เขาลืมตาอยู่แล้ว...และกำลังมองเธอด้วยรอยยิ้มมุมปากที่ร้ายกาจที่สุด!
“ตื่นแล้วเหรอครับ...คนไข้ของหมอ” เขาเอ่ยทักทายด้วยน้ำเสียงทุ้มพร่าในตอนเช้าที่เซ็กซี่จนน่าโมโห “นอนหลับสบายไหม”
คำทักทายที่แสนจะธรรมดา แต่มันกลับทำให้ข้าวปั้นอยากจะมุดดินหนีไปให้รู้แล้วรู้รอด! สัญชาตญาณการเอาตัวรอดสั่งให้เธอทำในสิ่งที่โง่เขลาที่สุด...นั่นคือ...แกล้งความจำเสื่อม!
“กรี๊ดดดดด! คุณหมอ!” เธอแผดเสียงดังขึ้นอีกครั้ง ทำตาโตเหมือนกระต่ายตื่นตูม “คุณ...คุณมาอยู่ในห้องหนู...เอ๊ย! ดิฉันได้ยังไงคะ!”
เธอจงใจเปลี่ยนสรรพนามทันทีเพื่อสร้างระยะห่างและความเป็นทางการ
รามิลเลิกคิ้วขึ้นอย่างขบขันกับละครฉากใหญ่ตรงหน้า “ผมมาอยู่ในห้องคุณได้ยังไงน่ะเหรอครับ...ก็เมื่อคืน...มีคนไข้ขี้เมาบางคนเชิญผมขึ้นมาบนห้องเองไม่ใช่เหรอครับ”
“ไม่จริง!” เธอเถียงเสียงสูง “ดิฉันเมา! ดิฉันไม่รู้เรื่อง! ฮื่อ...คุณหมอทำอะไรดิฉัน! ทำไมตัวดิฉันถึงเจ็บไปหมดแบบนี้!”
เธอแกล้งทำเป็นบีบน้ำตา แม้จะไม่มีน้ำตาไหลออกมาสักหยด แต่ก็แสดงสีหน้าเจ็บปวดรวดร้าวราวกับเพิ่งผ่านโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ในชีวิตมา
รามิลมองท่าทีของนักแสดงรางวัลออสการ์ตรงหน้าแล้วก็ส่ายหัวเบาๆ เขารู้ทันทุกอย่าง แต่ก็ยอมเล่นตามน้ำไปกับเธอ
“ผมทำอะไรคุณงั้นเหรอครับ” เขาแกล้งทำหน้าครุ่นคิด “ก็...’รักษา’ คุณไงครับ”
เขาโน้มตัวเข้ามาใกล้เธอมากขึ้น ชี้ไปที่รอยแดงจางๆ บนลำคอของเธอ
“นี่ไงครับ...อาการแรก...คนไข้เหมือนจะคอเคล็ด หมอเลยต้องช่วยนวดให้ด้วยการใช้ปาก...ดูเหมือนจะได้ผลดีนะ รอยแดงเริ่มจางแล้ว”
ข้าวปั้นรีบเอามือปิดคอตัวเองทันที หน้าแดงก่ำ
เขายังไม่หยุด เขายกมือของเธอขึ้นมาดู จี้ไปที่รอยเล็บที่เธอเผลอจิกลงบนแผ่นหลังของเขาเมื่อคืน ซึ่งตอนนี้มันปรากฏอยู่บนแขนของเธอเองเล็กน้อยเช่นกัน
“อาการที่สอง...คนไข้มีอาการเกร็งที่ปลายนิ้ว หมอเลยต้องจับมือไว้แน่นๆ ตลอดการรักษา...เพื่อคลายกล้ามเนื้อ”
และแล้ว...สายตาของเขาก็เลื่อนต่ำลงไปยังผ้าห่มที่คลุมช่วงล่างของเธอเอาไว้
“แล้วก็...อาการที่หนักที่สุด” เขากระซิบเสียงพร่า “คนไข้มีไข้ขึ้นสูง ตัวร้อนมาก โดยเฉพาะช่วงล่าง...หมอเลยจำเป็นต้องใช้ ‘เทอร์โมมิเตอร์’ ส่วนตัว...สอดเข้าไปวัดไข้ให้...ทั้งคืนเลย”
คำอธิบายที่ทั้งกำกวมและลามกอย่างร้ายกาจทำให้ข้าวปั้นแทบจะสำลักอากาศ!
“คุณหมอบ้า! พูดอะไรน่าเกลียด!”
“อ้าว...ก็คุณถามเองนี่ครับว่าผมทำอะไร” เขายิ้มอย่างผู้ชนะ “หรือว่า...ความจำเริ่มกลับมาแล้วครับ ว่าเมื่อคืนใครกันแน่ที่ครางเรียกชื่อหมอไม่หยุด...หืม? ใครกันนะที่บอกว่า ‘พี่หมอขา...แรงอีก’...”
“หยุดพูดเลยนะ!” ข้าวปั้นเอาหมอนข้างๆ ตัวฟาดไปที่เขาอย่างแรงเพื่อปิดปาก แต่เขากลับรับมันไว้ได้อย่างง่ายดาย
รามิลหัวเราะในลำคอ ดึงหมอนออกจากมือเธอแล้วรวบตัวเธอเข้ามากอดไว้แน่นในอ้อมแขน แม้เธอจะพยายามดิ้นขัดขืน แต่เรี่ยวแรงอันน้อยนิดก็สู้เขาไม่ได้เลย
“โอเคๆ หมอยอมแพ้แล้วครับ” เขากระซิบข้างหูเธอ กลิ่นหอมจากเส้นผมของเธอทำให้เขาอดใจไม่ไหวที่จะสูดดมเข้าไปเต็มปอด “เลิกเล่นละครได้แล้วน่า...คนเก่ง”
เธอหยุดดิ้น ซบหน้าลงกับอกกว้างของเขาอย่างจำนน เมื่อรู้ว่าแผนแกล้งความจำเสื่อมของตัวเองล้มเหลวไม่เป็นท่า
“ก็...ก็มันน่าอายนี่นา...” เธอพึมพำเสียงอ่อย
“น่าอายอะไรกัน” เขาเชยคางเธอขึ้นมาให้สบตากัน “ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อคืน...มันคือความรู้สึกจริงๆ ของเราทั้งสองคนไม่ใช่เหรอ”
สายตาที่จริงจังและอ่อนโยนของเขาทำให้หัวใจของเธอเต้นแรงอีกครั้ง
“ผมรักคุณนะ...ข้าวปั้น”
คำสารภาพรักที่ออกมาจากปากของเขาอย่างตรงไปตรงมา ทำให้โลกทั้งใบของเธอหยุดหมุน...
“ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอคุณ...ความดื้อรั้น ความปากดีของคุณ...มันทำให้ผมหยุดมองคุณไม่ได้เลย...ยอมเป็นแฟนกับหมอคนนี้นะครับ”
แต่ก่อนที่เธอจะได้ตอบตกลง...รามิลก็พูดประโยคที่ทำลายความซึ้งทั้งหมดลงอย่างสิ้นเชิง
“แต่ก่อนจะเป็นแฟนกัน...หมอขอ ‘รักษา’ ต่ออีกหน่อยได้ไหมครับ” เขายิ้มเจ้าเล่ห์ “รู้สึกว่าเมื่อเช้า...คนไข้ของหมอจะไข้ขึ้นอีกแล้วนะ...”