CHAPTER 1 (2/2)

2955 Words
หญิงสาวหน้าตาจิ้มลิ้มจากเกาหลีเหลือบมองแผ่นหลังกว้างของร่างสูงใหญ่ตรงหน้า เธอเดินตามเขาต้อยๆ เหมือนลูกแมวน้อยเดินตามหลังสิงโต เขาลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่เท่าตึกใบหยกอย่างสบายๆ ได้ยังไงกัน ทั้งๆ ที่เธอแทบจะเรียกว่าหมดแรงหากต้องลากด้วยมือเดียวแบบนั้น ถ้าไม่นับว่าอะดรีนาลีนพลุ่งพล่านสูงปรี๊ดจากการกลัวหมาจนไม่รู้ว่าเธอไปฮึดเอาแรงจากส่วนไหนในร่างกายมาวิ่งลากกระเป๋าของตัวเองหนีพวกมันได้ แล้วระยะทางก็ไม่ใช่ใกล้ๆ คิดแล้วก็เหนื่อยขึ้นมาทันที ขายังสั่นไม่หายเลยด้วย… เดินตามร่างสูงมาได้สักพัก อิมนาบีก็มองดูนาฬิกาบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือที่แบตฯ ใกล้หมดของตัวเอง เวลาที่ไทยตอนนี้ห้าโมงเย็นแล้วแต่อากาศยังไม่มีทีท่าว่าจะเย็นลงเลยสักกะติ๊ด ให้ตายเถอะ สี่ฤดูที่ประเทศไทยดวงอาทิตย์ขอเหมา จะร้อนมันทุกฤดูไม่ได้นะโว้ยยย! “บ๊อกๆ” กึก! ร่างบางชะงักกึกหันขวับไปมองหมาน้อยขนฟูฟ่องสีขาวสะอาดตาแสนน่าเตะ เอ๊ย ไม่ใช่สิ…แสนน่ารักด้วยความรวดเร็ว เจ้าหมาน้อยที่ครั้งนี้น้อยกว่าหมายักษ์สองตัวนั้นหลายเท่ามองนาบีพร้อมเห่าบ๊อกๆ ใส่คล้ายจะให้เธอเล่นด้วย ทั้งๆ ที่เจ้าของก็จูงมันเดินเล่น ยังจะอยากได้คนเล่นด้วยเพิ่มทำมายยย “เป็นอะไร ไม่เดินตามมาล่ะ” ภูผาหันมามองอิมนาบีที่ยืนยึกๆ ยักๆ เหมือนโดนมดกัดอยู่ด้านหลังอย่างงุนงง ร่างบางกระเถิบมายืนชิดข้างทางจนจะสิงเข้าไปในต้นไม้ได้อยู่แล้ว “หมา…” บอกภูผาเสียงอุบอิบก็กระดึ๊บๆ ไปยืนใกล้ด้านหลังร่างสูงใหญ่ช้าๆ ดวงตากลมโตยังคงจ้องมองไปยังหมาน้อยขนฟูฟ่องละอองฟู่ที่เดินเล่นยามเย็นกับเจ้าของของมัน ภูผามองท่าทางของอิมนาบีก็ได้แต่เลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ สายตาคมเหลือบมองไปยังหมาน้อยที่เธอจ้องตากับมันเหมือนจะฆ่ากันให้ตายไปข้างอย่างขำๆ หมาตัวเท่ากระป๋องเบียร์นั่นน่ะนะ… “มันไม่กัดหรอก ไม่ต้องกลัว” “บ๊อกๆ แง่งง” นั่นไง เขาพูดยังไม่ทันขาดคำเจ้าขนฟูก็แง่งๆ ใส่เธอแล้ว อิมนาบีเบ้ปากหน่อยๆ พลางผงะถอยหลังจนผมที่กระเซอะกระเซิงจุ่มเข้าไปกับกิ่งไม้ทันที “โนๆๆ” ร่างบางพึมพำใส่หมาน้อยพร้อมโบกไม้โบกมือไปมาและยังไม่หยุดถอยหนี ภูผากลั้นขำกับความตลกของทั้งคนทั้งหมาที่แง่งๆ ใส่กันไม่เลิก วันนี้จะเดินไปถึงอะพาร์ตเมนต์ของเธอไหมวะ หมาที่ไทยก็ไม่ใช่น้อยๆ เออะ สามชั่วโมงคงไม่พอหรอกแบบนี้ หมับ “มันไปแล้ว” ภูผาเดินเข้ามาใกล้อิมนาบีและเอ่ยบอกเสียงเข้มต่ำเรียบนิ่ง ฝ่ามือหนาวางแหมะลงบนหัวคนตัวเล็กอย่างปลอบๆ ก่อนเขาจะเบี่ยงตัวออกให้เธอมองดูชัดๆ อีกครั้งว่าเจ้าของจูงหมาน้อยไปทางอื่นแล้วจริงๆ “ออกมาสิ เธอจะเข้าไปอยู่อะไรในนั้น” คนกลัวหมาน้อยตัวเท่ากระป๋องเบียร์ถอนหายใจอย่างโล่งอก และค่อยๆ เดินออกมาจากต้นไม้ข้างทาง แต่ก็ต้องชะงักกึกอีกครั้งเมื่อรู้สึกเจ็บหนังหัวจนเดินต่อไปไม่ได้ “อึก…มายด์เฮดดดด” เออ เอาเข้าไป แบบนี้กว่าจะถึงที่หมายก็คงจะสามทุ่มจริงๆ อิมนาบีเอื้อมมือจับเส้นผมยุ่งเหยิงด้านหลังของตัวเองเอาไว้แน่น พยายามเหลือบตาไปมองก็ไม่เห็นอีก ไม่ซวยจากหมาก็ซวยจากต้นไม้ การต้อนรับมาไทยครั้งแรกช่างน่าตื้นตันใจจนเธอคงลืมไม่ลงแน่ๆ! “อยู่เฉยๆ ก่อน” มือหนาคว้าหมับเข้าที่ข้อมือบางก่อนที่เธอจะดึงหนังหัวตัวเองหลุดติดมาด้วย อิมนาบีกะพริบตาปริบๆ เงยหน้ามองภูผาที่โน้มไปดูเส้นผมด้านหลังของเธอให้ คิ้วเข้มขมวดมุ่นเมื่อเห็นว่าผมที่ยุ่งเหยิงอยู่แล้วของนาบีพันกับกิ่งไม้ที่เธอเอาหัวไปซุกไว้ นิ้วเรียวยาวเลยต้องค่อยๆ แกะเส้นผมของเธอออกอย่างเบามือแทน ดวงตากลมโตจดจ้องมองแผงอกกำยำของร่างสูงใหญ่ตรงหน้านิ่งๆ ช่วงอกกับไหล่ของเขากว้างจนบังตัวเธอมิด หัวของเธอสูงถึงแค่แผงอกของเขาเท่านั้น นาบีไม่เคยคิดมาก่อนว่าร่างกายของผู้ชายจะแตกต่างจากผู้หญิงมากขนาดนี้ เธอแอบเหลือบขึ้นไปมองใบหน้าหล่อคมคายเล็กน้อย… มองมุมไหนก็ยังหล่อ ขนาดมุมเสยขนาดนี้ยังดูดี พระเจ้าช่างไม่ยุติธรรมจริงๆ ถ้าเธอโดนมองมุมเสยขนาดนี้คงเห็นเหนียงไปแล้ว “เจ็บรึเปล่า” ภูผาหยุดแกะผม แล้วเอ่ยถามเพราะเห็นว่าอิมนาบีเอาแต่จ้องหน้าเขาไม่เลิกเลยคิดว่าเธออาจจะเจ็บ แต่คนตัวเล็กที่เผลอมองเขาเพลินไปหน่อยไม่ได้รู้สึกเจ็บหนังหัวตอนที่เขาแกะเลยแม้แต่นิดเดียว เธอหลบสายตาคมแล้วส่ายหน้าเบาๆ เพื่อให้เขาแกะเส้นผมของเธอต่อ และอาการประหลาดก็ทำให้อิมนาบีใจเต้นตึกตักผิดจังหวะไปสองทีโดยไม่รู้ตัว… ในที่สุดอิมนาบีก็มาถึงดินแดนสยามอะพาร์ตเมนต์ได้อย่างปลอดภัยและครบสามสิบสอง ร่างบางยืนหอบแฮ่กอยู่ข้างภูผาที่ดูไม่เหน็ดเหนื่อยเลยสักนิด แน่ใจนะว่าเขาเพิ่งเล่นบาสมาแถมยังเดินลากกระเป๋าใบใหญ่ของเธอให้อีก “เจ้าของอะพาร์ตเมนต์ไม่อยู่เหรอวะ” ภูผาก้มลงมองดูตรงกระจกห้องเล็กๆ สำหรับติดต่อสอบถาม ก่อนจะหันมามองร่างบางที่ยืนตาแป๋วรอรับกระเป๋าเดินทางของตัวเองจากเขาคืน “เธอมีกุญแจห้องพักยัง” อิมนาบีเลิกคิ้วขึ้น เธอดูเหมือนไม่ค่อยเข้าใจที่เขาพูดเท่าไหร่นัก ภูผาเลยทำท่าทางไขกุญแจให้ดู “กุญแจห้องน่ะ ได้ยัง” “กุญแจ…ไม่มีข่า” พอเข้าใจก็เบิกตาโพลงและส่ายหัวรัวๆ ไปให้พร้อมกับยิ้มแห้งๆ เมื่อเธอเพิ่งนึกเรื่องนี้ได้เหมือนกัน “มีเบอร์เจ้าของอะพาร์ตเมนต์มั้ย ลองโทรหาสิจะได้เอากุญแจ” “มี…เอ๋?” คนตัวเล็กหยิบโทรศัพท์มือถือเพื่อจะโทรไปหาเจ้าของอะพาร์ตเมนต์ตามที่ภูผาบอก แต่หน้าจอกลับดำมืดสนิท อย่าบอกนะว่าแบตฯ หมดไปแล้วน่ะ โว้ยยยย ทำไมชีวิตของอิมนาบีถึงน่าอนาถแท้! ภูผาเห็นหน้าตาเลิ่กลั่กของร่างบางก็รู้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นกับโทรศัพท์ของเธอ มือหนาหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมากดเบอร์ติดต่อที่ติดอยู่หน้ากระจกยิกๆ แล้วยื่นไปให้คนที่ยืนสลดเป็นหมาหงอยทันที “ใช้ของฉันก็ได้” “โอ๊ะ…ขอบคุณค่า” ดวงตากลมโตมองภูผาตาปริบๆ อย่างปลาบปลื้ม นอกจากเขาจะหล่อและเท่สุดๆ แล้ว เขายังน้ำใจงาม มีเมตตากับเธอจริงๆ บุญคุณครั้งนี้เธอจะไม่มีวันลืมเลย ฮืออออ พรึ่บ! แต่จู่ๆ ฝ่ามือใหญ่ก็ชักโทรศัพท์มือถือของเขากลับคืน ทำเอาอิมนาบีที่กำลังเอื้อมมือไปหยิบถึงกับผงะไปเล็กน้อย เธอเงยหน้ามองภูผาด้วยความงุนงง ไหนเขาจะให้เธอยืมไง เปลี่ยนใจแล้วเรอะ อุตส่าห์ซาบซึ้งในน้ำใจไปเมื่อกี้ซะเวอร์เลยนะ! “เดี๋ยวคุยให้ดีกว่า” “อะ…โอเคค่ะ” อิมนาบีกระแอมเบาๆ พร้อมพยักหน้าหงึกหงักอย่างเข้าใจ ที่แท้เขาก็แค่คิดว่าถ้าให้เธอคุยชาติเศษก็ยังไม่ได้กลับถึงบ้านแน่ๆ นี่เองสินะ “ฮัลโหลครับ พอดีมีนักท่องเที่ยวต่างชาติมารอเอากุญแจน่ะครับป้า” ร่างบอบบางเหลือบมองกระเป๋าเดินทางใบใหญ่โตมโหฬารของตัวเองอีกครั้ง นักท่องเที่ยวที่ไหนพกข้าวของมามากมายขนาดนี้วะเฮ้ยยย แต่อิมนาบีคิดว่าคงไม่ต้องอธิบายอะไรเพราะกลัวจะเป็นการเสียเวลาเขามากกว่าเดิม แค่นี้เธอก็ทำให้เขาดูวุ่นวายมากพอแล้ว เขาไม่ถีบหัวส่งก่อนพามาถึงที่นี่เธอก็ดีใจน้ำตาจะไหล “ครับ รออยู่หน้าอะพาร์ตเมนต์ครับ” พอคุยกับป้าเจ้าของอะพาร์ตเมนต์เสร็จเรียบร้อย ภูผาก็เก็บโทรศัพท์มือถือแล้วหันมามองอิมนาบีที่บนหัวมีเศษใบไม้ติดอยู่ เขากลั้นขำและชั่งใจว่าจะหยิบมันออกให้ดีหรือเปล่า แต่พอคิดดูอีกทีภูผาก็ปล่อยไว้แบบนั้น อยู่บนหัวของเธอก็ดูน่ารักดี “เดี๋ยวป้าเจ้าของอะพาร์ตเมนต์มา” ภูผาคืนกระเป๋าเดินทางให้เธอ อิมนาบีพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ เธอสังเกตว่าเวลาที่เขาพูดภาษาไทยกับเธอ เขาจะพูดช้ากว่าปกติเพื่อให้เธอฟังทัน ร่างบางอมยิ้มเล็กน้อย ถึงเขาจะดูน่ากลัวไปบ้าง แต่ก็ใจดีอยู่เหมือนกันแฮะ “ขอโทษที่ให้รอนะจ๊ะ หนูใช่มั้ยที่จองเอาไว้ผ่านเว็บน่ะ” คุณป้าเจ้าของอะพาร์ตเมนต์วิ่งหน้าตั้งพร้อมยิ้มกว้างอย่างเป็นมิตรให้ทั้งสองคน ภูผากับอิมนาบียิ้มบางกลับไปให้คุณป้าวัยห้าสิบปลายๆ ก่อนที่หญิงสาวจากแดนกิมจิจะเอ่ยตอบเป็นภาษาไทยเบาๆ “เอ่อ…ใช่ค่ะ” “นี่จ้ะกุญแจห้อง หนูตามป้ามาเลยนะจ๊ะ เดี๋ยวพาขึ้นไป” ร่างบางรับกุญแจดอกเล็กจากคุณป้าที่เดินฉับๆ ไปทางลิฟต์ในอะพาร์ตเมนต์ด้วยความว่องไว ดูเหมือนป้ารีบกว่าเธออีกนะน่ะ “ขอบ…ว้ากก” ครืด...ตุบ!! อิมนาบีอ้าปากพะงาบๆ มองกระเป๋าเดินทางของตัวเองและที่จับที่หลุดติดมือมาอย่างตกตะลึง ภูผาเหลือบมองซากกระเป๋าใบเท่าควายที่นอนแอ้งแม้งอยู่บนพื้นนิ่งๆ ส่วนคุณป้าเจ้าของอะพาร์ตเมนต์นั้นสะดุ้งเฮือกกับทั้งเสียงกระเป๋าที่กระทบพื้นกับเสียงอุทานอุบาทว์ๆ ของอิมนาบี เธออยากจะทึ้งหัวตัวเองให้หนังหัวหลุด สงสัยมันคงพังตอนที่ลากวิ่งหนีหมายักษ์สองตัวนั้นแน่ๆ เลย! หมับ “เข้าลิฟต์ไปสิ เดี๋ยวถือไปให้เอง” ฝ่ามือหนาก้มลงไปแบกกระเป๋าใบเท่าควายขึ้นมาถือไว้ ทำเอาอิมนาบีกับคุณป้าที่ยืนอยู่หน้าลิฟต์อึ้งทึ่งกันไปตามๆ กัน เขายกมันได้ยังไงน่ะ! “มันหนัก…” “ไม่เป็นไร มันไม่ได้หนักมากหรอก” ภูผาพูดด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง แล้วเดินเข้าไปในลิฟต์พร้อมกับป้าเจ้าของอะพาร์ตเมนต์ ก่อนจะหันไปบอกคนตัวเล็กที่ยืนเอ๋อไม่เดินเข้ามาสักที “เข้ามาสิ ถือที่จับมันมาไว้ซ่อมด้วย” พอตั้งสติได้อิมนาบีก็ถือที่จับกระเป๋าและรีบวิ่งดิ๊กๆ เข้ามาในลิฟต์ด้วยความรวดเร็ว เธอรู้สึกว่าวันนี้จะดวงตกเป็นพิเศษ หรืออาจมีพลังงานบางอย่างซ่อนอยู่แถวนี้ก็เป็นได้ ชีวิตเธอถึงดูอับโชคได้ขนาดนี้! “พ่อหนุ่มเป็นแฟนหนูเหรอจ๊ะ หล่อเนอะ” ป้าเจ้าของดินแดนสยามอะพาร์ตเมนต์กระเถิบเข้ามายืนใกล้นาบี แล้วสะกิดไหล่บางเอ่ยถามสีหน้ายิ้มแย้มแก้มปริ “ไม่ใช่…” “เนี่ยป้าไปเล่นไพ่มา วันนี้ดวงดี๊ดีเลยเล่นเพลินไปหน่อย ขอโทษที่ให้พวกหนูรอนานด้วยนะจ๊ะ พอเอากุญแจมาให้ป้าก็จะไปเล่นต่อ มีอะไรก็โทรบอกป้าได้เลยนะ เดี๋ยวป้ารีบมา เล่นกันอยู่บ้านเพื่อนใกล้ๆ นี่แหละ” อิมนาบีอึกอักและมึนงงว่าเธอยังไม่ทันได้ปฏิเสธคำถามเมื่อกี้ของคุณป้าเลย ป้าแกก็ร่ายยาวจนเธอฟังไม่ทัน ฟังรู้เรื่องเป็นบางคำเลยได้แต่ส่งยิ้มแห้งๆ ไปให้แทน ติ๊ง! บานประตูลิฟต์เปิดออกพอดี คุณป้าเลยรีบเดินฉับๆ จนอิมนาบีเดินตามแทบไม่ทัน เธอเหลือบมองไปทางด้านหลังเห็นภูผายังคงแบกกระเป๋าเดินทางใบเบิ้มด้วยท่าทางสบายๆ เหมือนแบกใบไม้ใบหญ้า ก่อนที่เขาจะวางมันลงที่หน้าประตูห้องพักของเธอ “นี่จ้ะห้องหนู ป้าทำความสะอาดไว้แล้ว ถ้ามีอะไรก็โทรตามได้เลยนะ ป้าไปก่อนนะจ๊ะ” พูดจบคุณป้าดินแดนสยามก็เดินไปกดลิฟต์ทันที เดี๋ยววงไพ่รอนานจะไม่หมานเหมือนรอบแรก “เอ่อ…ขอบคุณมากๆ ค่ะ” อิมนาบีหันมาเอ่ยขอบคุณร่างสูงใหญ่ที่อุตส่าห์ช่วยเหลือเธอตั้งหลายอย่าง ภูผาที่กำลังหันหลังเดินไปทางลิฟต์พยักหน้าเบาๆ พร้อมยิ้มบางเล็กน้อย อันที่จริงเขาก็ไม่ใช่คนที่ชอบช่วยเหลือคนอื่นแบบนี้บ่อยสักเท่าไหร่หรอก แต่ตอนที่เห็นอิมนาบียืนเด๋อด๋าทำท่าทางกลัวหมาจนจะร้องไห้แบบนั้นแล้วมันอดไม่ได้ ภูผาอมยิ้มโดยไม่รู้ตัวเมื่อภาพนั้นลอยเข้ามาในหัว เขาแปลกใจตัวเองเหมือนกันที่ช่วยเหลือเธอขนาดนี้โดยไม่รู้สึกหงุดหงิด แถมยังดูอารมณ์ดีกว่าเดิมซะอีก… ตุบ! “เฮ้อออ” ร่างบางลากกระเป๋าเดินทางเข้ามาในห้องได้สำเร็จ เธอรูดซิปเปิดกระเป๋าแล้วหยิบสายชาร์จแบตฯ เพื่อมาชาร์จโทรศัพท์มือถือที่นอนตายอยู่บนพื้น ดวงตากลมโตมองข้าวของกระจัดกระจายที่นำมากองไว้แล้วก็ได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่และนอนแผ่ไปบนพื้นห้องอย่างหมดแรง “เหนื่อยจังเลยค่า” อิมนาบีบ่นเป็นภาษาไทย เธอเรียนด้วยตัวเองจนรู้สึกภูมิใจหน่อยๆ ที่สามารถฟังและพูดได้ดีขึ้นเยอะกว่าตอนแรก ถึงจะยังไม่คล่องเท่าเจ้าของภาษาก็ตาม มือบางหยิบพวงกุญแจหมีคริสต์มาสที่ห้อยอยู่ตรงโทรศัพท์มือถือมาดู เธอยิ้มกว้างเมื่อความฝันใกล้เข้ามาอีกนิด กลิ่นขนมจากหมีทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้นมาเล็กน้อย... พรุ่งนี้ยังมีเวลาเก็บของก่อนมหาวิทยาลัยจะเปิด อิมนาบีลุกขึ้นคว้าโน้ตบุ๊กมาเสิร์ชหาร้านคาเฟ่ร้านนั้นอีกครั้ง ที่เธอสอบชิงทุนมาเรียนต่อที่ประเทศไทยก็เพราะจะมาตามหาร้านคาเฟ่ในวัยเด็กนั่นแหละ หลังจากที่อิมนาบีหาจนทั่วเกาหลีก็ไม่เจอ แต่มาเจออีกทีก็เมื่อสองปีที่แล้ว ตอนนั้นญาติของเพื่อนเธอมาเที่ยวที่ไทยแล้วซื้อขนมมาฝาก พอเธอชิมก็รู้ได้ทันทีว่าต้องเป็นคาเฟ่ที่เธอกำลังตามหาอยู่แน่ๆ เธอจำรสชาติและกลิ่นวานิลลาที่เป็นเอกลักษณ์จากร้านนั้นได้แม่น อิมนาบีเลยถามที่อยู่จากญาติของเพื่อนเธอ แต่เขากลับจำไม่ค่อยได้แต่บอกเพียงว่าคาเฟ่ย้ายไปที่ประเทศไทยแถวๆ มหาวิทยาลัยที่เธอสอบชิงทุนมาเรียน ตั้งแต่นั้นมาอิมนาบีเริ่มเรียนภาษาไทยด้วยตัวเอง ทำงานพาร์ตไทม์ระหว่างเรียนเพื่อเก็บเงินมาเป็นค่าใช้จ่ายต่างๆ เธอดีใจและตื่นเต้นจนหัวใจจะวายเมื่อรู้ว่าสอบชิงทุนได้จริงๆ ตอนแรกแม่ก็ไม่อยากให้มาเท่าไหร่หรอก เพราะเห็นเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ จากแดนไกล แต่อิมนาบีก็ไม่ท้อถอย เธอกับพี่สาวช่วยกันพูดตะล่อมทุกวันจนแม่ใจอ่อน หรือรำคาญก็ไม่รู้ถึงได้ยอมให้มาเรียนที่นี่ในปีที่สามและปีที่สี่ ช่วงเวลาสองปีนี้อิมนาบีจะต้องตามหาร้านคาเฟ่และเรียนทำเค้กจากร้านนั้นให้ได้ เธอจะต้องมีคาเฟ่เป็นของตัวเองให้ได้! ดวงตากลมโตกะพริบปริบๆ มองหน้าจอโน้ตบุ๊กที่เสิร์ชชื่อร้านคาเฟ่อีกครั้ง เลื่อนดูจนสุดหน้าจอก็ไม่มีแผนที่ร้านเลยสักอันเดียว มีแต่รีวิวและรูปสวยๆ ที่เห็นแล้วน้ำลายย้อยขึ้นมาทันที มีแต่รูปเรียกน้ำย่อยแล้วแผนที่ร้านมันไปหน้ายยยย!? หัวกระเซอะกระเซิงเอนไปพิงขอบเตียงนอนอย่างหมดอาลัยตายอยาก อิมนาบีรู้ว่าร้านคาเฟ่ย้ายมาเปิดที่ไทยและอยู่แถวๆ มหาวิทยาลัย ตอนอยู่ที่เกาหลีใต้เธอก็เคยเสิร์ชหาชื่อคาเฟ่นี้เหมือนกัน แต่มันข้อมูลน้อยน่ะสิ ก็คิดว่าพอมาถึงไทยคงหาได้ง่ายๆ สบายๆ แต่ไหงเอาเข้าจริงถึงไม่มีแผนที่ร้านล่ะโว้ยยย! อุตส่าห์เสี่ยงตายเพราะหมายักษ์ไล่งับตูดไปมาถึงนี่ พอคิดเรื่องนี้แล้วก็เศร้า…หันไปส่องกระจกก็สงสารตัวเองเหลือเกิน ยัยเพิ้งหัวฟูนี่คือใครกันน่ะ! อิมนาบีสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ เงยหน้ามามองหน้าจอโน้ตบุ๊กอีกครั้งอย่างเอาจริงเอาจังและตั้งใจมากกว่าเดิม มาถึงไทยขนาดนี้แล้ว มันต้องเจอร้านนั้นสิ! “โอ๊ะ!” เลื่อนนิ้วหาจนเกือบสุดหน้าเว็บ แล้วดวงตากลมโตก็ต้องเบิกโพลงอย่างตื่นเต้นเมื่อเจอร้านหนึ่งที่ขนม และสไตล์การแต่งร้านกับชื่อคล้ายๆ กับคาเฟ่ในฝันของเธอเมื่อหลายปีก่อน ต้องใช่แน่ๆ ต้องใช่ร้านนี้แน่ๆ เธอจะต้องไปที่นั่นให้ได้! “ไฟติ้ง! อั่ก…” กร่อบบบ โอ๊ย กระดูกลั่น มือบางเอื้อมไปจับเอวของตัวเองแล้วบิดเล็กน้อย แต่ก่อนอื่นเธอควรจะไปนอนพักร่างสักหน่อยดีกว่า แข้งขาอ่อนเปลี้ยปวกเปียกไปหมดแล้ว…
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD