รู้สึกเหมือนประสาทจะกิน
เรื่องนั้นผ่านมา 6 เดือนแล้วแต่คนน้องยังพะว้าพะวงกับมันไม่เลิก หลายวันก่อนข่าวการเลิกราของหมอซันกับแฟนสาวของเขาแทบจะว่อนไปทั่วอินเทอร์เน็ต ด้วยความที่บ้านอศวเตชินท์ค่อนข้างมีชื่อเสียง ไหนจะมูน น้องสาวคนเล็กเป็นดาราดาวรุ่งที่กำลังมาแรง หรือวีนัส พี่สาวคนโตเองก็นั่งแท่นผู้กำกับมือทอง
แต่ว่าคนน้องไม่ได้รู้ข่าวการเลิกราของเขาผ่านโซเชี่ยล คนที่คาบข่าวมาบอกเธอไม่พ้นเจ้าแม่ซุบซิบเบอร์ 1 จูเน่ เพื่อนรักนักตามเทรนด์ ข่าวลือใดๆ ไม่ว่าจะเฟส ไลน์ ไอจีหรือแม้แต่ X ก็ไม่รอดสายตาเธอไปได้
ข่าวที่บอกว่าพวกเขาเลิกกันเมื่อ 6 เดือนก่อนมันทำให้คนน้องกังวลจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ ถ้านับจริงๆ ช่วงนั้นมันพอดีกับเรื่องของเธอกับหมอซันในงานวันเกิดพี่ใหญ่เลยไม่ใช่เหรอ คงไม่ใช่ว่าเธอทำให้พวกเขาเลิกกันหรอกใช่ไหม?
“แต่ว่า พี่ชายแกก็เข้าใจคบคนเนอะ ฉันได้ข่าวว่าคนนี้น่ะตัวท็อปเลยนะ เมื่อก่อนทำงานในโรงพยาบาลก็มีเอเจนซี่มาทาบทามไปเล่นเป็นนายเอกซีรีส์ BL ด้วย แต่ทางนี้ดันไม่เอา พอน้องสาวโตมาก็โดนแมวมองลากเข้าวงการเลย หน้าตาดีกันทั้งบ้านเว่อร์”
คนน้องหันไปมองหน้าเพื่อนแล้วย่นคิ้วใส่ด้วยความสงสัย
“แล้วแกไปรู้เรื่องนั้นได้ไง?”
“จะไม่รู้ได้ไงล่ะ แค่เสิร์ชชื่อคลินิกก็มีแฮชแท็กให้อ่านเพียบ นี่มีอันนี้ด้วยนะ คู่จิ้นต่างวัย พี่เด้นม๋ามอมกับน้องเมะสุดซึน #สองซัน มีคนเขียนฟิคด้วยนะ”
อันนี้ไปกันใหญ่ละ แต่ใช่ว่าเธอจะไม่เคยเห็น สมัยก่อนจะมีเพจ Cute boy Cute girl อะไรพวกนั้นชอบเอาคนหล่อๆ ในมหา’ลัยมาลง แล้วบังเอิญเธอเคยเห็นหมอซันติดอันดับขึ้นแบนเนอร์เพจอยู่หลายปี ส่วนใหญ่ที่เข้ามากรี๊ดจะไม่ใช่คนอยากได้พี่หมอคนนี้เป็นแฟน แต่อยากให้เป็นแฟนอีกคนมากกว่า
และเพราะอย่างนั้นเธอจึงยิ่งกังวล ถ้าเกิดว่าคนรอบตัวเขารู้เรื่องในคืนนั้นของเราขึ้นมาแล้วเธอจะทำยังไง
แต่เรื่องนี้เล่าให้เพื่อนฟังไม่ได้ ทำได้แค่หันไปมองจูเน่แล้วแกล้งเปลี่ยนเรื่องไปเนียนๆ
“แก” น้ำเสียงของคนน้องจริงจังขึ้น “ฉันเครียดเรื่องหางานอะ แกวางเรื่องครอบครัวนั้นลงก่อนได้ปะ”
“แกเครียดเรื่องอะไร บ้านแกก็รวยออก พ่อแม่เลี้ยงแกได้จนตายไม่ต้องให้แกลำบากไปหางานหรอก”
“ถ้าพ่อแม่ฉันรวยก็ดีน่ะสิ”
“ไม่รวยได้ไง จัดงานแต่งบนเรือตั้งใหญ่โตแถมไฮโซไปร่วมเพียบ”
“เงินพ่อแม่พี่อีฟทั้งนั้น ทางนั้นไม่อยากให้หลานอายคนน่ะ ส่วนคนที่มาร่วมงาน ส่วนหนึ่งก็ญาติพี่อีฟแล้วก็เพื่อนที่ทำงานของพี่ใหญ่”
“พี่แกรู้จักคนดังเยอะขนาดนั้นเชียว น่าสนใจนะเนี่ย”
“ไม่รู้สิ”
ที่จริงคนน้องเกิดมาในครอบครัวที่ไม่ได้ร่ำรวยอะไรมากมาย ออกไปทางชนชั้นกลางค่อนมาทางล่างๆ เลยด้วยซ้ำ พ่อแม่ยังต้องทำงานประจำ พี่ชายคนกลางเป็นช่างถ่ายรูป ส่วนพี่คนโตเป็นวิศวกรเงินเดือนสูงตามตำแหน่ง แต่ก็มีลูก มีภาระต้องรับผิดชอบแล้วเช่นกัน
เพราะฉะนั้นเธอที่เรียนจบมาแล้วหลายเดือนเลยสำเหนียกตัวเองว่าควรหางานทำได้แล้ว แต่ไม่ว่าจะไปสมัครที่ไหนก็ไม่ได้ บางที่ดูจากท่าทีของคนสัมภาษณ์แล้วยังไงก็ต้องได้แน่ๆ ไม่คิดว่าสุดท้ายก็แห้วอย่างกับว่าโดนฟ้าแกล้งยังไงยังงั้น
หรือว่าจะโดนฟ้าแกล้งเข้าให้จริงๆ
“งั้นแกไปสมัครที่นี่ไหม ตอนเข้าไปส่องฉันเห็นเขาประกาศรับสมัครพอดีอะ”
“ไหน?”
จูเน่ยื่นมือถือมาให้คนน้องดู แต่พอเห็นโลโก้ในที่อยู่ในรูปไม่ทันได้อ่านรายละเอียดเธอก็ส่ายหน้าทันที
“หึ ไม่เอา”
“ทำไมอะ นี่คลินิกหมอซันเพื่อนพี่ชายแกนะ ที่อื่นไม่ได้แต่ฉันว่าที่นี่ได้ชัวร์ ให้พี่แกไปช่วยก็ยังได้”
“นั่นยิ่งไม่ได้ใหญ่เลย!”
“ทำไม?”
คนน้องไม่เคยเล่าเรื่องบนเรือให้ใครฟังแม้แต่เพื่อนสนิท เกิดว่ามีคนรู้เข้าแล้วสังคมจะมองเธอยังไง ทุกวันนี้เธอนึกย้อนไปถึงวันนั้นแล้วได้แต่ตีหน้าผากตัวเองแรงๆ เผื่อว่าจะลืมมันได้สักที บางครั้งก็หลอนข้อความที่มีคนทักมาในทวิตเตอร์กลัวว่าจะมีคนทักมาด่าว่าทำลายครอบครัวใครเขาเข้าให้หรือเปล่า
เฮ้อ...ทำไมต้องเป็นเธอที่ใช้ชีวิตยุ่งยากแบบนี้ด้วย
“เอาน่า อย่าถือทิฐิให้มันมากนักเลย การเป็นเด็กเส้นมันก็ไม่แย่หรอกเชื่อฉัน”
ถ้ามันเป็นแค่เรื่องเด็กเส้นก็ดีน่ะสิ
คนน้องได้แต่ยิ้มแห้งๆ ตอบกลับไปเท่านั้น ถ้าเกิดว่าเข้าไปทำงานได้ง่ายๆ ตามที่เพื่อนบอกเธอคงรีบวิ่งไปบอกพี่ชายให้ไปคุยกับทางนั้นให้แล้ว แต่มันมีเรื่องที่พูดไม่ได้อยู่ไงแกเข้าใจบ้างไหม ฮึ่ย
ช่วงบ่ายจูเน่ต้องออกไปทำธุระพอดีกับที่พี่ชายจะมารับคนน้องเลยแยกกับเพื่อนสนิท คนที่มารับคือพี่กลาง เห็นว่าวันนี้ไม่มีงานถ่ายรูปเลยว่างอยากพาน้องสาวไปถ่ายรูปเล่นแลกกับเลี้ยงน้ำสองสามแก้ว
แหม ค่าจ้างถูกจริงเชียว
“เออนี่ พรุ่งนี้เล็กว่างทั้งวันไหม บ่ายๆ พี่มีเรื่องอยากให้ช่วยหน่อย”
บ้านนี้จะเรียกเธอว่า เล็ก มาจากชื่อ ใหญ่ กลาง เล็ก ที่พ่อแม่ตั้งให้ แต่ชื่อเล็กย่าไม่ชอบอย่างแรงเลยเปลี่ยนเป็นคนน้องเพื่อความน่ารัก ถึงอย่างนั้นคนในบ้านก็ยังติดเรียกคนน้องว่าเล็กด้วยความเคยชิน
“เรื่องที่ให้ช่วยได้ตังป่าว?” เด็กจบใหม่ที่ยังหางานทำไม่ได้ว่าด้วยแววตาเป็นประกาย
“เรื่องตังพี่ก็ต้องให้อยู่แล้วไหม ขอแค่นี้ไม่ได้?”
“ก็ต้องได้อยู่แล้ว ช่วงนี้น้องยังไม่ได้ทำงานยังไงก็ว่าง 24 ชั่วโมง ว่าแต่จะให้ไปทำไรอะ”
“พี่ต้องไปถ่ายงานที่คลินิกเพื่อนพี่ใหญ่แต่ลูกน้องไม่ว่าง เราไปเป็นเพื่อนพี่ได้ไหม”
คลินิกเพื่อนพี่ใหญ่ คำนี้ทำให้คนน้องชะงักไป
“คงไม่ใช่...เพื่อนที่ชื่อซันใช่ไหมคะ?” ตอนที่พูดชื่อของเขาหัวใจก็เต้นแรงขึ้นมา แม้จะรู้คำตอบอยู่แล้วก็ตาม
เพื่อนพี่ชายเธอมีไม่กี่คนหรอก แล้วคนที่เป็นหมอแล้วยังเปิดคลินิกก็มีอยู่คนเดียว ที่เหลือก็เป็นวิศวกรเพื่อนสมัยเรียนพี่ทั้งนั้น
“คนนั้นแหละ”
ให้มันได้อย่างนี้สิ ทุกอย่างมันดูพอเหมาะพอดีจนน่าแปลกใจ ทั้งจูเน่ที่อยู่ๆ ก็ส่องแท็กคลินิกนั่นแล้วเอาเรื่องครอบครัวอศวเตชินท์มาใส่หัวเธอ พี่ชายจะไปถ่ายรูปที่คลินิกหมอซันซ้ำผู้ช่วยยังไปไม่ได้จนต้องให้เธอไปอีก
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอตามพี่กลางไปเป็นลูกมือคอยช่วยงาน แต่ครั้งนี้มันไม่ปกติ ดูยังไงก็ไม่ปกติแน่ๆ ถ้าไม่ใช่เพราะสวรรค์ชักพาก็คงมีคนจงใจ
หรือว่าซันจะจงใจล่อเธอไปติดกับแล้วหาทางแบล็กเมล์เรื่องวันนั้น เพราะเขาหาทางติดต่อเธอไม่ได้เลยเอาความลับที่พูดไม่ได้ของพี่ชายขึ้นมาขู่จนเขายอมในที่สุด...
เอิ่ม...อันนี้เริ่มจะเพ้อเจ้อแล้ว
“พี่ไม่ได้กำลังวางแผนอะไรแปลกๆ ใช่ปะ” คนน้องหรี่ตามองพี่ชายด้วยความไม่ไว้ใจ
“วางแผนเรื่องอะไร?”
แต่จากสีหน้าของพี่ชายฟ้องว่าเขาไม่ได้โกหก ในบ้านนี้นอกจากเธอที่แสดงเก่งจากทักษะการแสดงที่เรียนมาตอนป.2 คนอื่นๆ นี่โกหกไม่เก่งสักคน มีพิรุธอะไรก็พร้อมเผยไต๋ออกมาหมด
คงไม่มีอะไรหรอกมั้ง
“เปล่าค่ะ ช่างมันเถอะ”
“งั้นแสดงว่าพรุ่งนี้ตกลง”
“ถ้าเงินมากพอ...”
“สองพัน”
“ดีล”
สองคนพี่น้องเข้ามาในคาเฟ่สุดน่ารักแห่งหนึ่งหน้าโรงพยาบาลพิสิฐจิรัช โรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่ที่ขึ้นชื่อเรื่องค่ารักษาแพงหูฉี่ แต่เรื่องบริการก็ดีสมราคา
ช่วงนี้กลางชอบพานางแบบมาถ่ายที่นี่เป็นพิเศษเพราะการจัดร้านจัดแสงที่ทำมาสวยทุกมุมเอาใจสายคาเฟ่ จับนางแบบไปวางตรงไหนก็ถ่ายออกมาดูดี แสงสวย พนักงานก็น่ารัก
เขาจอดรถแล้วเข้าไปสั่งน้ำข้างในก่อนส่วนคนน้องอยู่ข้างนอกเพราะดันเห็นแมวส้มตัวหนึ่งอยู่หน้าร้านเลยอยากเข้าไปเล่นด้วย
น้องตัวมอมๆ ไม่ผอมไม่อ้วน มีร่องรอยการต่อสู้ตามประสาลูกผู้ชาย สายตาน้องดูหวาดระแวงเธอเลยต้องค่อยๆ ย่องเข้าไปหาเพื่อไม่ให้น้องตกใจ
“น้องเหมียว~ มาหาพี่น้องเร็วเมี๊ยว น่ารักจังเลยเจ้าแมวส้ม”
ทำเสียงเล็กเสียงน้อยพลางยื่นมือเข้าไปหาน้องด้วยความเอ็นดู จังหวะนั้นน้องแมวเหมือนจะไม่สนใจเธอแล้วอยู่นิ่งๆ ยอมให้จับ แต่จู่ๆ กลับมีเสียงบางอย่างจากทางด้านหลัง
แกร๊ก
“ว้าย!!”
เสียงนั้นทำให้แมวตกใจจนหันมาข่วนมือที่กำลังลูบหลังเข้าให้อย่างจัง เธอเองก็ตกใจเซหงายหลังดีที่มีมือของใครบางคนมารับตัวเอาไว้ก่อน
ให้ตายสิ จังหวะแบบนี้...
คนน้องรีบหันหลังกลับไปดูก่อนจะพบว่าเป็นผู้ชายหน้าตาดูสะอาดสะอ้านทั้งยังมีรอยยิ้มใจดีคนหนึ่ง จังหวะที่หันไปมองเขาแอบได้กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ลอยมา
“เป็นอะไรไหมครับ ขอโทษที่ทำให้ตกใจ”
แม้แต่เสียงก็ยังนุ่มน่าฟัง พ่อเอ๊ย...อุ้ย ไม่ได้สิ แกนี่เผลอไม่ได้เลยคนน้องเผลอทีไรเป็นต้องบ้าผู้ชายทุกที
เธอรีบประคองตัวเองลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเลก่อนจะตอบกลับเขา
“ไม่เป็นไรค่ะ แค่โดนแมวข่วนนิดหน่อย”
มีรอยเล็บ 3 รอยยาวประมาณนิ้วครึ่งที่ข้อมือ ไม่ได้เข้าลึกอะไรมากแต่ก็มีอาการแสบเล็กน้อย คิดว่าแมวคงตกใจเสียงฝีเท้าของเขาเลยสะดุ้งแล้วหนีไป
“โดนข่วนเลยเหรอครับ เมื่อกี้เหมือนจะเป็นแมวจรด้วย ทางที่ดีไปฉีดยากันบาดทะยักแล้วก็พิษสุนัขบ้าดีกว่านะครับ”
“ฉะ...ฉีดยาเลยเหรอคะ?”
คำว่าฉีดยาทำให้คนน้องขนลุกไปทั้งตัว เธอมีความทรงจำที่ไม่ค่อยดีเท่าไรเกี่ยวกับการฉีดยา คิดแล้วก็ยังสยองไม่หาย
“แผลนิดเดียวก็ต้องฉีดนะครับ ไหนๆ ผมก็เป็นต้นเหตุแล้ว เดี๋ยวผมออกค่ารักษาให้...”
“ไม่ต้อง!”
เสียงของกลางดังมาจากอีกฝั่งของลานจอดรถ เขาพุ่งเข้ามาดึงแขนน้องสาวออกไปจากชายหนุ่มตรงหน้าด้วยความไม่พอใจ
“นี่น้องผม ผมดูแลเองได้”
“ผมเพิ่งรู้นะครับว่าคุณกลางมีน้องสาวน่ารักขนาดนี้ ยินดีที่ได้รู้จักครับ ผมนนท์ เป็นหมอที่โรงพยาบาลนี้”
หมอนนท์ยื่นมือมาหมายจะทักทายทำความรู้จักกับคนน้องแต่กลางกลับเป็นฝ่ายยื่นมือไปจับแทน
“ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ยินดีที่รู้จัก ไปยัยเล็ก เข้าไปเอาน้ำพี่จ่ายตังไว้แล้ว”
“อ่า...โอเคค่ะ”
เห็นสีหน้าของพี่ชายแล้วคิดว่าไม่เอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงจะดีกว่า คนน้องโค้งน้อยๆ ให้หมอนนท์ตามมารยาทก่อนจะเดินเข้าร้านไปตามคำสั่ง คล้อยหลังคนน้องไปไม่นานหมอนนท์ก็หันมาหากลาง สายตามองไปยังมือที่จับกันแน่น
“ปล่อยได้แล้วมั้ง ไหนบอกไม่ยินดีที่รู้จัก”
รู้ตัวว่าจับมือนานเกินไปกลางจึงรีบปล่อยทันที ไม่พอยังเอามาเช็ดเสื้อทำเป็นรังเกียจเกินทน
“เกินไปมั้งคุณกลาง ผมไม่ใช่เชื้อโรคนะไม่ต้องทำขนาดนั้นก็ได้”
“ต้องทำขนาดนั้นเลยแหละ อยากทำตัวเจ้าชู้ที่ไหนก็ไปไป อย่ามายุ่งกับน้องผม”
“ผมทำน้องสาวคุณเจ็บก็ต้องรับผิดชอบสิ หรือคุณไม่ต้องการ?”
กลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความโกรธ เขาไม่ชอบหน้าไอ้หมอนี่ ไม่ชอบทุกคนที่ริอาจมาจีบผู้หญิงคนเดียวกัน แล้วมันยังทำงานอยู่ในโรงพยาบาลมีโอกาสมากกว่าเขาหลายเท่า รู้อย่างนั้นก็ยิ่งไม่ชอบ
คนที่มันจีบก็เด็กในคาเฟ่เนี่ยแหละ คนเดียวกับที่กลางเล็งมาหลายเดือน
“ไม่เอาน่าคุณกลาง อย่าทิฐิสูงนักเลย”
“อยากพูดอะไรก็เรื่องของคุณเหอะ”
หมอนนท์ยิ้มตอบอย่างไม่ยี่หระ เขาไม่ได้คิดมีเรื่องอะไรกับกลางอยู่แล้ว เจอหน้ากันทีไรต่อให้ไม่อยากทะเลาะก็เป็นอันมีเรื่องให้ต้องทะเลาะกัน เห็นทีว่าเขาคงต้องหันไปทำบุญกรวดน้ำให้เยอะๆ เผื่อว่าเจ้ากรรมนายเวรคนนี้จะลดความอาฆาตลงไปได้บ้าง
“งั้นก็เอาเถอะ ถ้าคุณบอกว่าไม่ต้องรับผิดชอบผมก็ไม่ทำ แต่อย่าลืมพาน้องไปฉีดยานะครับ ผมเป็นห่วง”
“เอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะค่อยมาห่วงคนอื่น”
สงครามขนาดย่อมๆ ของสองหนุ่มจบลงเท่านั้นเพราะคนน้องออกมาพอดี หมอนนท์เดินล้วงกระเป๋าเข้าไปข้างในร้านขณะที่น้องเดินออกมาพร้อมน้ำสองแก้วที่สั่งไว้ เจอหน้าพี่ชายบูดเป็นตูดเป็ดก็พอเดาออกว่าน่าจะไม่กินเส้นกับคนเมื่อครู่
“ทะเลาะกันเหรอพี่ ใครอะ น้องรู้จักไหม”
“ไม่ต้องรู้ทุกเรื่องก็ได้น่า มาเถอะ พี่จะพาไปฉีดยากันบาดทะยัก”
พอได้ยินว่าฉีดยาคนน้องก็หางลู่หูตกในทันที
“ไม่เอา! ไม่ฉีด แผลแค่นี้เองพี่กลาง”
“ถ้าติดเชื้อพิษสุนัขบ้าขึ้นมาถึงตายได้เลยนะ”
“แต่ว่า...”
“ไปฉีด นี่เป็นคำสั่ง”
คนน้องงอแงหน่อยๆ อยากจะลงไปดิ้นกับพื้นให้รู้แล้วรู้รอด เหมือนตอนเด็กๆ ที่เธอเคยวิ่งหนีคุณหมอที่จะมาฉีดวัคซีนที่โรงเรียน ทั้งหนีทั้งดิ้นจนเข็มหักคาแขน เป็นแผลใจถึงทุกวันนี้
แต่ตอนนี้โตแล้วเธอคงวิ่งหนีหมอแบบนั้นไม่ได้แล้วใช่ไหม
แง...คิดแล้วอยากจะร้องไห้เป็นบ้าเลย