ฝากตัว…1/1

1881 Words
สนามบินสุวรรณภูมิ ยามค่ำ สายการบินที่หญิงสาวกำลังรออย่างใจจดใจจ่อมาถึงสนามบินแล้วอีกไม่นานผู้โดยสารก็จะออกมา จันทร์เจ้ายืนกอดช่อดอกไม้เล็ก ๆ ในมือ เธอสวมเสื้อแขนยาวสีขาวกับกางเกงยีน ปล่อยผมยาวสยายรับใบหน้าโค้งมนรูปไข่ ดวงตากวาดหาผู้ชายคนหนึ่งท่ามกลางฝูงคนที่เดินออกมาอย่างล้นหลาม จนกระทั่งร่างสูงในชุดแขนยาวสีเข้ม ก้าวออกมาแบบคนที่มีจุดหมายชัดเจน ใบหน้าคม แต่ไร้อารมณ์ “เฮีย ทางนี้ค่ะ” หญิงสาวร้องเรียก หัวใจเธอเต้นแรงด้วยความดีใจรีบวิ่งเข้าไปหาเขา คนที่ได้ยินเสียงอันคุ้นเคยหันไปมองแต่แทนที่เขาจะชะลอฝีเท้าจักรากลับชะงักไปเพียงเสี้ยววินาที ก่อนจะหันหน้าหนี แล้วเดินตรงไปยังทางออกอีกฝั่งทันที ราวกับว่าการที่เธออยู่ตรงนี้เป็นสิ่งที่เขาไม่ต้องการให้เห็นที่สุดทำเอาจันทร์เจ้าหน้าเสีย แต่ก็รีบวิ่งไล่ตามไป มือหนึ่งดึงกระเป๋าเป้ อีกมือกอดดอกไม้ไว้แน่นจนพลาสติกที่หุ้มยับ “เฮียจะหนีทำไมคะ! จันทร์มารอรับเฮียนะ” เธอบ่นฮึดฮัด หายใจหอบเล็กน้อยเพราะวิ่งตาม แม้จะตามเขาทันแต่เขาก็ยังไม่หยุด เธอวิ่งมาดักหน้ายกช่อดอกไม้ขึ้นสูงจนแทบชนหน้าเขา ทำหน้าทะเล้นใส่พร้อมกับบอกว่า “ทั้งเสื้อ ทั้งหมวกแบบนี้…จันทร์ก็จำเฮียได้อยู่ดี จะหลบทำไมคะ” จักรามองหน้าเธอ สีหน้าเขานิ่ง เรียบ เหมือนกำแพงสูงที่ไม่มีใครปีนข้ามได้ “ใครสั่งให้มารอ ฉันบอกคิมต์หันไม่ใช่เธอ” เสียงเขาเย็น…เย็นจนเหมือนน้ำแข็งแทงกลางอก จันทร์เจ้าก้มหน้าลงนิดหนึ่ง “จันทร์…อยากมารับเฮียเองค่ะ” เขาหันหน้าไปทางอื่นทันที พยายามเดินผ่านเธอไปอีกด้านพลางส่ายหน้า แต่รอยยิ้มตัวเองกลับเผลอหลุดออกมาแวบนึง บางครั้งก็นึกเอ็นดูหญิงสาว แต่บ่อยครั้งก็ชักรำคาญกับการไม่เชื่อฟังคำสั่ง “จันทร์จอดรถไว้ทางนี้ค่ะเฮียขา” เฮ้อ! ยายเด็กนี่ จักรายืนนิ่งถอนหายใจ…เหมือนแพ้ จันทร์เจ้ายิ้มตาเป็นประกายทันทีเหมือนลูกหมาตัวเล็กที่ดีใจที่เจ้าของยอมเรียกชื่อ เขายอมเดินตามเธอไประหว่างเดินเคียงกัน ดวงตาคมก็เหลือบมองดอกไม้ในมือเธอ แล้วพูดเบา ๆ แบบทำทีเหมือนไม่สนใจ “…ดอกนั้นให้ใคร?” “ให้เฮียนั่นแหละค่ะ ใครกันล่ะ เราไม่เจอกันตั้งสองอาทิตย์ แล้วงานที่จีนเรียบร้อยดีไหมคะ” “อืม” ^ ^ ^ ห้าปีก่อน มาเฟีย... ใครหลายคนต่างเรียกขานลับหลังแบบนั้น ทั้งที่จริงแล้วเขามันก็แค่ นักธุรกิจธรรมดา ๆ คนหนึ่งก็เท่านั้นเอง ‘จักรา สุริยเดชา’ ได้เดินทางไปร่วมงานศพลูกหนี้รายใหญ่ที่กู้เงินจากเขา เสี่ยที่ประกอบธุรกิจโรงน้ำแข็งก่อนกิจการจะเจ๊งลงในที่สุดเพราะหาเงินมาหมุนไม่ทัน ด้วยเหตุอันใดเขาก็สุดจะรู้ ตัวเขาก็ไม่ได้เร่งรัดหนี้สินจากลูกหนี้เหมือนพวกกู้นอกระบบโหด ๆ หลายเจ้าซะเมื่อไหร่ เขาให้เวลา และยังเสนอวิธีการดำเนินกิจการให้อีกด้วย แต่ก็ได้ยินมาว่าเสี่ยมนัสติดการพนันหนัก ผีพนันเข้าสิงเลยไปยืมเงินจากเจ้าหนี้หลายเจ้ามาหมุน พออะไร ๆ มันขมวดเข้าหากันจนหาทางออกไม่ได้ก็เลือกที่จะตัดช่องน้อยแต่พอตัวเพื่อไม่ให้หนี้สินไปตกอยู่กับลูก แต่ทว่าก่อนจะตัดสินใจลาโลกด้วยวิธีหันปลายกระบอกปืนเข้าหาตัวเอง เสี่ยโรงน้ำแข็งก็ได้มาขอพบกับจักรา หรือเฮียใหญ่เป็นการส่วนตัวที่เพนต์เฮาส์ โดยเสนอให้เขาช่วยดูแลลูกสาวเพียงคนเดียวของเสี่ย แลกกับหนี้สินที่ยังคงติดค้างอยู่ ตอนนี้ลูกสาวกำลังเรียนใกล้จะจบมหาวิทยาลัยจึงอยากขอให้เขา โปรดเมตตาคุ้มครองลูกสาวที่มีพวกเจ้าหนี้รายอื่นอยากมาฉุดตัวหากเสี่ยเป็นอะไรไป ในคราแรกคนอย่างจักราไม่นึกสนใจข้อเสนอนี้ ผู้หญิงมากมายทั้งในและต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นบุคคลในระดับไหนเขาก็หาเองได้ทั้งนั้น ไม่ได้อยากเอาลูกสาวใครมาเป็นตัวขัดดอก ทว่าความคิดนั้นก็เปลี่ยนไปเมื่อเขาได้เดินทางไปร่วมงานศพ และพบกับหญิงสาวคนหนึ่งนั่งอยู่หน้าหีบศพคอยจุดธูปส่งให้กับผู้ที่มาร่วมงานแม้จะมีเพียงไม่กี่คนก็ตาม ใบหน้าเรียวของ ‘จันทร์เจ้า สุวรรณเวหา’ บวกกับผิวขาวเรียบเนียน ดวงตากลมคู่หวานมีรอยช้ำบวมจากการร้องไห้อยู่ใต้แผงคิ้วที่โค้งกับรูปตา จมูกโด่งเชิดมีเนื้อกลมมนที่ปลาย รับกับริมฝีปากอิ่มทั้งบนและล่าง เครื่องหน้าทั้งหมดดูสวยงามเป็นธรรมชาติแบบที่เห็นครั้งเดียวก็จดจำได้ มือเรียวขาวยื่นธูปหนึ่งดอกไปให้เขาพร้อมกับจ้องมองใบหน้าคมเข้ม ริมฝีปากอิ่มเม้มเข้าหากัน ก่อนจะก้มหน้าลงเล็กน้อย รอจนกระทั่งพิธีสวดศพเสร็จสิ้นลงซึ่งในคืนนี้มีเพียงจักราและลูกน้องที่ติดตามมาด้วยอีกสอง รวมสัปเหร่อกับชาวบ้านที่อยู่ใกล้วัดมานั่งฟังด้วยก็ราวเจ็ดคนถ้วน แขกในงานของบิดาเธอไม่ถึงสิบคนสักคืนเป็นที่น่าเศร้าใจนัก ในระหว่างที่ฟังพระสวดมีบางขณะที่ดวงตาคมของชายหนุ่มเหลือบไปมองใบหน้าของหญิงสาวที่นั่งพนมมือนิ่ง ราวกับรูปปั้นที่จิตรกรตั้งใจแกะออกมาอย่างลงตัว ดวงตายังคงเต็มไปด้วยความทุกข์โศกกับการจากไปของบิดา เหมือนเธอเองก็รับรู้ได้ว่ามีสายตาคู่หนึ่งมองมาจากข้าง ๆ หันไปก็ประสานสายตากับเขา ก่อนจะเป็นเธอที่ก้มหน้าลง จบจากพิธีสวดอภิธรรมศพคืนนี้จันทร์เจ้าก็เดินลงมาส่งแขกที่ศาลา เธอพนมมือไหว้เขาด้วยความซึ้งใจ เป็นประโยคแรกที่เอ่ยต่อกัน “ขอบคุณมากนะคะที่มาร่วมฟังสวดศพป๊าของหนู” คำว่า ‘หนู’ ที่เธอใช้แทนตัวเอง ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองแก่กว่าเธอหลายปีมาก ทั้งที่ตอนนี้เขายังไม่ถึงสามสิบด้วยซ้ำ หรือว่าหน้าจะไปแล้ววะ จักราหันไปมองหน้าลูกน้องที่ต่างพากันกลั้นขำ รู้ว่าพวกมันพยายามอย่างที่สุดจึงมองด้วยสายตาคาดโทษ แล้วกลับมาวางหน้าเรียบขรึมใหม่ “ฉันเต็มใจมา คนรู้จักทั้งนั้น” “หนูชื่อจันทร์เจ้า เป็นลูกสาวของป๊าค่ะ แม่จากพวกเราไปนานแล้ว” เธอเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ไม่ได้อยากเรียกร้องความสงสาร แค่พูดให้ฟัง “อืม” เขาพยักหน้า รอเธอที่เหมือนมีอะไรพูดต่อ “ป๊าบอกว่าถ้าป๊าไม่อยู่ ให้หนูไปอยู่กับคุณ คุณจะรับหนูไว้ไหมคะ หนูขอแค่เรียนจบ หนูทำงานให้ได้ อีกอย่างหนูเรียนเอกภาษามา ติดต่อสื่อสารได้ทั้งอังกฤษและจีนค่ะ” หากอยู่ลำพังด้วยตัวเองได้ก็คงไม่อยากพึ่งพาใคร แต่นี่ มันยังมีพวกเจ้าหนี้ของบิดาที่ต้องการตัวเธอไปบำเรอความสุขของพวกมันด้วยการขู่บังคับต่าง ๆ นา ๆ ทำให้เธอหวาดกลัวที่จะอยู่คนเดียว ป๊ายืนยันว่าในบรรดาเจ้าหนี้ทั้งหมดมีเพียงผู้ชายที่ชื่อจักรา สุริยเดชา ถือว่ายังพอมีคุณธรรมอยู่...บ้าง เจ้าหนี้รายใหญ่ของบิดากวาดตามองหญิงสาวที่ยืนกุมมือไว้ด้านหน้า ก้มศีรษะเล็กน้อยก่อนจะเลื่อนขึ้นมาจับที่ใบหน้าของเธอด้วยแววตาที่ไม่ต่างจากที่เขาใช้ประเมินทองคำ “แล้วเธอเต็มใจหรือเปล่าที่จะมาอยู่กับฉัน” “ค่ะ หนูเต็มใจ” ดวงตาคู่สวยสบมอง ในนั้นเขายังเห็นความเสียใจของเธอชัดเจน “ก็ได้ ต่อไปนี้เธอมาอยู่กับฉัน อ้อ แล้วไม่ต้องแทนตัวเองว่าหนูล่ะ ฉันไม่ได้แก่ขนาดนั้น อายุยังไม่ถึงสามสิบ เธอเองอายุเท่าไร” “ยี่สิบเอ็ดปีบริบูรณ์ค่ะ” “ฉันแค่ ยี่สิบเจ็ด” เขาบอกหน้านิ่ง ทำให้คนฟังนิ่งตาม เผลอเลื่อนสายตามองทั่วทั้งใบหน้าของคนที่บอกว่าอายุยี่สิบเจ็ด “ทำไม นึกว่าฉันอายุสามสิบเจ็ดหรือไง” “ค่ะ เอ๊ย ไม่ใช่ค่ะ” คนหน้าแก่กว่าอายุมีอารมณ์ฮึ่ม ๆ กรุ่นขึ้นมา ทั้งยังได้ยินเสียงกลั้นหัวเราะของพวกลูกน้อง ถึงหน้าจะดูแก่แต่ก็ดูภูมิฐานมีอำนาจวาสนา เป็นลูกพระยานาหมื่น ต้องทำงานช่วยที่บ้านเลยทำให้ดูน่านับถือ ไม่ใช่เพราะหน้าตาแก่หรอก และจากวันนั้นจันทร์เจ้าก็เข้ามาอาศัยอยู่ภายใต้ชายคาเดียวกับเขา นั่นก็คือเพนต์เฮาส์หรูของคอนโดมิเนียมที่มองเห็นวิวสามร้อยหกสิบองศาในทุกค่ำคืน เหตุผลหนึ่งก็เพราะอยากให้เขาคุ้มครองดูแล อีกเหตุผลก็คือทั้งบ้านและทรัพย์สินถูกเจ้าหนี้ยึดไปหมด และแล้วในค่ำคืนหนึ่ง “เธอเต็มใจจะนอนกับฉันหรือเปล่า จันทร์เจ้า” ดวงตาสาวน้อยที่เพิ่งเรียนจบมหาวิทยาลัยสั่นระริก ทั้งหวั่นไหว อีกใจก็อยากลอง ความใกล้ชิดที่อยู่กับเขามาหลายเดือนทำให้หัวใจเธอเหลวจากการหล่อหลอมของเขา เขาไม่ได้ทำอะไรมาก แค่ตื่นมาเห็นเขาในทุกเช้าความรู้สึกดีก็ค่อย ๆ ก่อตัว จนเขารู้ว่าเธอคิดอย่างไร หญิงสาวพยักหน้าอย่างว่าง่าย ก่อนเขาจะเอ่ยต่อ “ฉันจะดูแลเธอไปเรื่อย ๆ ถ้าเธอเป็นเด็กดี ไม่ดื้อ เธอจะได้อยู่กับฉัน แต่ถ้าวันไหนเธอไม่เชื่อฟังคำสั่ง อยากแสดงตัว เธอก็ไปจากที่นี่ได้เลย ถ้าเธอไม่ไปฉันจะจัดการเธอเหมือนที่จัดการคนที่มันดื้อด้าน เธอก็เห็นแล้ว” เสียงทุ้มเอ่ยเบา ๆ ขณะที่วาดแขนรัดร่างบางเข้ามาปะทะกับลมหายใจอุ่นเคล้ากลิ่นแอลกอฮอล์ จันทร์เจ้าพยักหน้า ในวันที่เธอเรียนจบแล้วไม่เลือกที่จะจากไปแต่เลือกที่จะทำงานอยู่กับเขา และเต็มใจเป็นของเขา “ค่ะ หนูยอม” “อย่าแทนตัวเองว่าหนู บอกแล้วว่าฉันไม่ใช่ไอ้เสี่ยแก่ ๆ ที่ชอบเลี้ยงเด็ก” “แล้วจะให้หนู เอ่อ ให้ฉันแทนตัวเองกับคุณว่าอะไร” “ก็แทนด้วยชื่อ หรือตอนที่นอนทับกันอยู่แล้วมันรู้สึกทนไม่ไหว จะเรียกว่าผัวจ๋าก็ได้ แต่บอกเลยว่าคำนี้ แค่ตอนอยู่บนเตียงเท่านั้น จำไว้ เวลาอื่นไม่มีสิทธิ์” “ค่ะ หนู เอ๊ย จันทร์จะจำไว้...ผัวจ๋า” ปลายนิ้วนุ่มจับปลายคางจันทร์เจ้าสั่นเบา ๆ อย่างมันเขี้ยว “ยั่วเก่งไม่เบา เดี๋ยววันนี้จะจัดให้สมใจ อยากลองหรือยัง” “ค่ะ อยากแล้ว”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD