“ไปเลยนะ อย่ามายุ่งกะเรา เราไม่อยากเล่นกะพวกนายแล้ว”
“ใครอยากเล่นกะแก ไอ้ลูกไม่มีพ่อ แบร่”
“แบร่ ลูกไม่มีพ่อ”
“เกิดมาจากกระบอกไม้ไผ่ แบร่”
“เรามีพ่อนะ เรามีพ่อ แม่บอกว่าเรามี”
“ไอ้เด็กขี้โกหก เด็กโกหกเป็นคนไม่ดี พวกเราไม่เล่นกะแกหรอกไป ชิ้ว ๆ”
เด็กชายตัวผอมคนหนึ่งกำมือแน่น ตาแดงก่ำ ปากเม้มแน่น เมื่อถูกกลุ่มเด็กห้าคนในวัยหกขวบเหมือนกันรุมล้อมเขาไว้กลางวง พากันเต้นไปรอบ ๆ ตัวเขาเป็นวงกลม ส่งเสียงร้องประสานกัน
“ไอ้ลูกไม่มีพ่อ แบร่...”
“เรามีพ่อ เรามีพ่อ...” เสียงเถียงของเด็กชายเริ่มเบาลง เมื่อยิ่งเถียงสู้เด็กทั้งกลุ่มก็ยิ่งส่งเสียงดังกว่ากลบ พากันกระโดดโลดเต้นไปรอบตัวเขา แลบลิ้นปลิ้นตาใส่ ล้อเลียนเขาว่าเป็นเด็กขี้โกหกและเป็นลูกไม่มีพ่อ
กระทั่ง กิ่งมะยมที่เต็มไปด้วยก้านใบลอยหวือมาปะทะกลางหลังหัวโจกตัวอ้วนกลม
“โอ๊ย ใครลอบกัดวะ เป็นหมารึไง”
“เราเอง” เด็กหญิงผมเปียสวมชุดนักเรียนก้าวเข้ามาจากข้างทาง หน้าตาเอาเรื่อง ในมือยังมีก้านมะยมยาวที่ลิดไปออกหมดหนึ่งก้าน เธอใช้มันชี้หน้ากลุ่มเด็กขี้แกล้ง
“แล้วเราก็ไม่ใช่หมาลอบกัดด้วย แกนั่นแหละไอ้เอกที่เป็นหมาหมู่คอยแกล้งคนอื่นเขาน่ะ”
“อีแก้วตา มึงเป็นบ้ารึไง เสื้อนักเรียนฉันสกปรกหมดแล้ว”
“สมน้ำหน้าชอบแกล้งคนอื่นดีนัก อยากลองโดนแกล้งมั่งไหมล่ะ”
เธอแกล้งหวดก้านมะยม ทำให้เกิดเสียงดังเฟี้ยวฟ้าว กลุ่มเด็กชายเอกพากันถอยกรูด
“ฝากไว้ก่อนเถอะ อีแก้วตา อีลูกไม่มีแม่” ตัวหัวโจกคาดโทษก่อนจะพากันวิ่งหนีไปด้วยเกรงอิทธิฤทธิ์ก้านมะยม อีกทั้งยังรู้นิสัยเด็กหญิงดีว่าเป็นคนเอาจริง เคยปะฉะดะกันมาหลายครั้งแล้ว
“นายเพิ่งย้ายมาใหม่สิ” หลังกลุ่มเด็กชายเอกจากไป แก้วตาหันมาถามเด็กชายอีกคน เธอดูจากอักษรบนอกเสื้อ รู้ทันทีว่าเรียนโรงเรียนเดียวกัน
“เราชื่อแก้วตา หรือจะเรียกว่าแก้วเฉย ๆ ก็ได้ ชื่อจริงคือ กุลปริยา นพนภัสชัยอยู่ชั้นอนุบาล”
แนะนำตัวเองไปแล้ว แต่เด็กชายอีกคนกลับยืนกำมือนิ่ง ตาแดงก่ำ
“ร้องไห้เหรอ”
“เราเปล่าร้องสักหน่อย”
“ไม่ร้องทำไมตาแดงล่ะ พ่อเราเคยบอกว่า ลูกผู้ชายต้องไม่ร้องไห้นะ เราเป็นลูกผู้หญิงร้องได้แต่เราไม่ร้องหรอก”
เด็กชายมองคนตรงหน้าที่ยังยิ้มแย้มเหมือนเยาะเขาทั้งที่เพิ่งโดนด่าว่าลูกไม่มีแม่
“เธอไม่มีแม่เหรอ”
“เรียกชื่อสิ เรามีชื่อนะ ปะ เดินไปโรงเรียนกัน นายเรียนโรงเรียนเดียวกับเรา”
“ก็ต้องงั้นสิ” เด็กชายมองค้อน ก่อนจะยอมเดินเคียงกันไปยังโรงเรียนประถมประจำหมู่บ้าน ที่ค้อนเพราะทั้งหมู่บ้านมีโรงเรียนประถมที่เดียว เขาจะไปเรียนที่อื่นได้ไง
“นายชื่อไร”
“ซี” ซีตอบสั้น ๆ แต่พอมองหน้าจิ้มลิ้มของแก้วตาเขาคิดว่าควรพูดต่ออีกหน่อย “ชื่อจริงอวัช อวัช บุญยวีร์วัช เรียนชั้นอนุบาลเหมือนกัน”
“เรียนชั้นเดียวกันนี่ เป็นเพื่อนกัน ไม่ต้องกลัวว่าจะโดนพวกเอกแกล้งอีกนะ มีเราอยู่ทั้งคน ว่าแต่...”
เด็กหญิงหรี่ตามองคนที่เธอทึกทักเอาว่าเป็นเพื่อนใหม่แล้ว
“ทำไมชื่อซีล่ะ”
“เพราะแม่เราบอกว่า แม่ชอบทะเลมากเลยตั้งชื่อเราว่าซีที่หมายถึงทะเล”
“ชื่อจริงล่ะ อวัชหมายถึงอะไร”
“อวัชแปลว่าไม่มีที่ติ”
“ดีหมดเลยงั้นสิ”
“ใช่มั้ง”
“ดีก็ดี”
“เธอ เอ๊ย แก้วไม่มีแม่เหรอ ไอ้เอกถึงด่าเธอแบบนั้น”
“ฮื่อ”
“แล้ว แม่ไปไหน ส่วนพ่อเรา แม่บอกว่าพ่อทำงานอยู่ไกล งานพ่อเยอะมาก แต่วันหนึ่งพอพ่อทำงานเสร็จก็จะมาหาเรา”
เด็กชายดวงตาเป็นประกายพอได้พูดเรื่องพ่อให้เพื่อนใหม่ฟัง
“เราไม่รู้หรอก พ่อบอกว่า หลังเราเกิดได้กี่เดือนไม่รู้ แม่ก็ไปอยู่ที่อื่นไม่เคยกลับมาอีกเลย”
“แล้วแก้วไม่คิดถึงแม่ ไม่อยากเจอแม่เหรอ”
“ไม่อยากอะ” เด็กหญิงหันมาตอบพร้อมรอยยิ้ม “เรามีพ่อ พ่อรักเรามากเลยนะ แค่มีพ่อคนเดียวก็พอแล้ว หรือว่านายอยากให้พ่อเราเป็นพ่อนายด้วยไหมล่ะ เราไม่หวงนะ”
“ได้เหรอ”
“ได้สิ ไว้เลิกเรียนเราพาไปบ้านนะ”
ซียิ้มออก อยากรู้อยากเห็นว่าการมีพ่อมันเป็นยังไง เขาเพิ่งย้ายมาอยู่หมู่บ้านแห่งนี้กับแม่ โดนเอกที่เป็นลูกพี่ลูกน้องล้อเลียนกลั่นแกล้งประจำ แม่พยายามปลอบใจเขาตลอด แม่รักเขามาก เด็กชายรู้ หากลึก ๆ ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อถึงไปทำงานไม่กลับมาหาเขาเหมือนพ่อคนอื่น
ที่โรงเรียน ครูแนะนำเพื่อนใหม่ให้ทุกคนรู้จัก กลุ่มเอกเรียนห้องเดียวกันแต่ไม่กล้าเข้ามาแกล้งซีอีก เพราะทุกคนต่างขยาดฤทธิ์แก้วตา
ตกเย็นพอเลิกเรียน แก้วตาจูงมือเพื่อนใหม่กลับบ้านไปด้วย
“พ่อจ๋า หนูมีเพื่อนใหม่มาด้วยแหละ นี่ซีจ้ะพ่อ”
“อ้าวนั่น หลานชายป้าแต๋วนี่นา”
โกศลพึมพำ เขาจำได้ว่าเคยเห็นเด็กคนนี้ที่ร้านค้าในหมู่บ้านพร้อมกับป้าแต๋ว และได้รู้เรื่องราวครอบครัวป้าแต๋วมานิดหน่อย อย่างเช่นว่า ลูกสาวคนเดียวของป้าแต๋วไปทำงานแล้วมีสามีแต่ถูกสามีทิ้งเลยหอบลูกมาอยู่บ้านพ่อแม่ เนื่องจากลูกสาวป้าแต๋วไม่ได้แต่งงานกับผู้ชายคนนั้นเลยถูกคนในหมู่บ้านซุบซิบนินทาไปทั่ว
“สวัสดีครับ พ่อ...”
“เออ ไอ้เด็กคนนี้น่ารักดีเหมือนกันนะเนี่ย ไป ๆ แก้วตา พ่อซื้อขนมปลาไว้ให้บนเรือนน่ะ พาเพื่อนไปนั่งพักเหนื่อยก่อน เดี๋ยวพ่อจะเดินไปบ้านป้าแต๋วหน่อย”