เริ่มต้นชีวิตใหม่

1602 Words
แม้ว่าจะไม่สบายใจที่ตัวเองเพิ่งก่อเรื่องร้ายแรงมา ทว่าภริตาก็ไม่ได้มีเวลาให้คิดถึงเรื่องนี้มากนัก เพราะตอนนี้เงินจำนวนสองล้านบาทที่ได้จากการว่าจ้างได้นอนรอในบัญชีเธอเรียบร้อยแล้ว แต่มันก็แค่นั้น เพราะเจ้าหนี้ของพ่อก็โผล่หน้ามาทวงเงินถึงหน้าบ้าน “ตกลงเงินที่ติดจำนองฉันจะได้เมื่อไหร่หา ไอ้เกริก! นี่ก็ถึงวันนัดแล้วนะ” เจ้าหนี้บ่นพร้อมชักสีหน้าใส่เกริก “ใจเย็นซิครับเสี่ยชาติ ผมขอผลัดไปอีกสองอาทิตย์ได้ไหม ช่วงนี้…” ยังไม่ทันจบคำอีกฝ่ายก็สวนกลับทันที “อีกแล้วเหรอ” “ผมหาไม่ได้จริงๆ เอาไว้ผมจะรีบหามาใช้คืนเสี่ย” “เอ็งผลัดมาไม่รู้กี่รอบแล้วไอ้เกริก! ไม่รู้ล่ะ ถ้าวันนี้เอ็งหามาจ่ายคืนไม่ได้ก็ออกไปจากบ้านนี้ซะ ข้าจะปล่อยให้คนอื่นมาเช่า” “โธ่เสี่ย เห็นใจผมหน่อยเถอะ ถ้าไล่ผมออกแล้วผมกับลูกจะไปอยู่ไหนละครับ” “นั่นมันเรื่องของเอ็ง จะไปนอนวัดหรือนอนข้างถนนมันก็เรื่องของเอ็ง” “งั้นผมขอจ่ายวันมะรืนได้ไหมครับ ถือว่าเห็นใจผมเถอะ” เกริกขอผลัดไปอีกสองอาทิตย์ เพราะเงินจำนวนหลายแสน เขาเองก็ไม่รู้จะไปหาจากที่ไหน “ใครมากันคะพ่อ” เสียงโหวกเหวกหน้าบ้านทำให้ภริตาที่ทำกับข้าวอยู่ในครัวหลังบ้านเดินออกมาดู พอเห็นว่าบิดากำลังขอร้องเจ้าหนี้อยู่ เธอก็โพล่งขึ้นอย่างเหลืออด “พ่อไม่ต้องไปเสียเวลาขอร้องหรอกค่ะ คนที่เห็นแก่เงินอย่างเสี่ย เขาไม่สนใจความทุกข์ของเราหรอกค่ะพ่อ” ภริตาพูดเพื่อเตือนสติบิดา ทว่าคนที่เหมือนจะเจ็บร้อนไปกับคำพูดของเธอด้วยก็สวนกลับมาทันควัน “ทำเป็นพูดดีนะไอ้วาด! ถ้าไม่อยากให้กูด่า มึงก็จ่ายเงินกูเสียดีๆ” “ค่ะเสี่ย วาดจะจ่ายให้ตอนนี้เลย เชิญเสี่ยเอาสัญญามาฉีกได้เลย” หญิงสาวท้า แต่ผู้เป็นบิดากลับตกตะลึง พอได้สติก็รีบวิ่งมาห้ามลูกสาวพัลวัน “วาดทำไมไปพูดแบบนี้ล่ะ พ่อยังไม่มีเงินคืนเสี่ยเขาหรอกนะ ใจเย็นๆ อย่าหาเรื่องเลยนะ พ่อขอร้อง” “พ่อไม่มี แต่วาดมีค่ะ” เธอตอบก่อนตวัดดวงตาวับวาวไปยังร่างอ้วนฉุที่อ้าปากมองเธออย่างกะลิ้มกะเหลี่ยอย่างน่ารังเกลียด “ตกลงเอาไงห๊ะ จะจ่ายไม่จ่าย ถ้าไม่จ่ายก็ขนของออกมาด้านนอกเลย เสียเวลากูทำมาหากิน!” “เสี่ยเอาสัญญามาเลย” ภริตาพูดแล้วก็ใส่รองเท้ามายืนตรงหน้าชายแก่หัวเถิกร่างท้วม แบมือขอเอกสารสัญญาเงินกู้ที่จำนองบ้านไว้ อีกฝ่ายถลึงตาก่อนพูดจาจิกกัดตามประสาผู้มีอิทธิพล “จะไม่เชิญฉันเข้าบ้านรึ ให้ยืนเซ็นกันตรงนี้เหรอไอ้วาด เห็นแก่หน้ากูบ้าง ตอนพ่อมึงมาขอเงินกูแทบจะกราบตีนกูอยู่แล้ว” “เอาตรงนี้แหละ ขี้เกียจล้างบ้าน” เธอย้อนไปด้วยน้ำเสียงไม่ต่างจากคนตรงหน้า “หน็อยอีเด็กเวรนี่! พูดจาจะถอนหงอกกูอยู่แล้ว” “ตกลงเสี่ยจะเอาเงินมั้ย ถ้าไม่เอาฉันจะไปทำงาน” “เอาไป ดูแล้วก็รีบเอาเงินมาคืนกูเร็วๆ” มือเหี่ยวยื่นเอกสารสัญญาไปตรงหน้าภริตาอย่างไม่พอใจ แผ่นกระดาษคู่สำเนาถูกยื่นมา ภริตาหยิบมาอ่านแล้วฉีกมันทิ้ง ก่อนจะโอนหนี้ส่วนที่เหลือทั้งหมด “จบนะคะ เชิญกลับไปได้แล้ว” ภริตาพูดจบก็หันหลังเข้าบ้าน ไม่อยู่รอฟังคำสวดของชายร่างท้วมที่ขนลูกน้องมาหน้าบ้านเธอเป็นโขยง “หยิ่งนักนะ ถามจริงเงินเยอะขนาดนี้ มึงไปขายตัวในซ่องไหนเร๊อะ นังวาด!” “เสี่ย เงินผมก็จ่ายไปแล้ว อย่าหาว่าผมขู่เลยนะ ลูกผมไม่ทำงานแบบนั้นหรอก” เกริกพูดทิ้งท้ายอย่างเอือมๆ ก่อนจะเดินเข้าบ้านตามลูกสาวอีกคน พอจบเรื่องสองพ่อลูกก็มานั่งทานข้าวด้วยกันอย่างมีความสุข หากทว่าก็กลับเป็นความสุขครั้งสุดท้ายเมื่อผู้เป็นบิดาเอ่ยขึ้น “พ่อว่าจะย้ายไปทำงานที่ต่างจังหวัดนะ วาดจะไปกับพ่อด้วยกันมั้ย” ภริตาที่กำลังเคี้ยวข้าวอยู่อย่างมีความสุขที่สามารถจัดการกับปัญหาได้ก็ชะงัก “ไปที่ไหนคะ” “แม่ฮ่องสอน” “ไปเสียไกลเลยพ่อ” “วาดก็ไปอยู่ด้วยกันนะ เราไปสร้างบ้านกันที่โน่น” “วาดคงไปด้วยไม่ได้ค่ะ ตอนนี้วาดกำลังรองานอยู่ พ่อล่วงหน้าไปก่อนได้ไหมคะ ถ้าสุดท้ายวาดไม่ได้งานจริงๆวาดจะตามพ่อไป” ผู้เป็นลูกสาวตอบ แต่แววตามีความลังเล “ทำไมล่ะ แล้วลูกจะอยู่ยังไงคนเดียว” “ไม่เป็นไรค่ะพ่อ วาดอยู่ที่นี่ได้ พ่อไม่ต้องห่วงนะ เดี๋ยววาดจะไปเช่าห้องอยู่กับเพื่อนจะได้มีคนช่วยหารค่าห้อง ส่วนบ้านเรา เราก็ปล่อยเช่าเอาก็ได้ค่ะ” “เอางั้นเหรอ” “ค่ะพ่อ วาดอยากทำงานในสายที่เรียนมา แต่ถ้าไม่ได้จริงๆวาดจะตามพ่อไปนะคะ” แม้จะไม่ค่อยเห็นด้วย แต่พอได้ยินลูกสาวยืนยันเช่นนั้นคนเป็นพ่อก็ไม่อยากขัดพยักหน้ารับความต้องการของลูกสาวในที่สุด หลังจากได้คุยและทานข้าวด้วยกันในคืนนั้น รุ่งเช้าสองพ่อลูกจึงต่างแยกย้ายกันในวันต่อมา ภริตาไปส่งบิดาขึ้นรถทัวร์เสร็จก็กลับมาจัดการเรื่องบ้านที่จะเปิดให้คนเช่า กระทั่งจบเรื่องทุกอย่าง หญิงสาวก็ลากกระเป๋าใบเดียว ไปอาศัยอยู่กับปิ่นเพื่อนสมัยเรียนมหาลัยด้วยกัน ปิ่นทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งจึงชวนภริตาไปทำงานด้วยระหว่างรอบริษัทที่ไปสมัครเรียกสัมภาษณ์ วันเวลาผ่านไปรวดเร็วจนล่วงมาเกือบสองเดือน จู่ๆ เช้าวันนี้ภริตาก็อาเจียนแต่เช้า “วาดเป็นไรรึเปล่า” ปิ่นตะโกนถามจากด้านนอก “ไม่เป็นไร เราไม่เป็นไร แค่โรคกระเพาะกำเริบน่ะ” “แล้วไหวมั้ย ถ้าไม่ไหว เดี๋ยวลางานกับพี่ต่อให้” ต่อเป็นผู้จัดการร้านอาหารที่ทั้งคู่ทำงานอยู่ “ไหว” “ไหวแน่นะ” “อืม” ภริตาข่มใจลากสังขารที่ไม่พร้อมของตนเองไปทำงาน เพราะไม่อยากลาหยุดพร่ำเพรื่อ แต่ตลอดทั้งวันนั้นอาการพะอืดพะอมก็ยังคงมีอยู่ หารู้ไม่ว่าอาการของเธออยู่ในสายตาของวาธินทร์อยู่ตลอดเวลา “วาดเป็นอะไรรึเปล่า” วาธินทร์เป็นเจ้าของร้านเขาลงทุนกับเพื่อนอีกสองคนเปิดร้านอาหารนี้ ส่วนปิ่นกับภริตาจึงมาสมัครเป็นพนักงานเสริฟในระหว่างรอสัมภาษณ์งาน “เราไม่เป็นอะไร ขอบใจนะ” ภริตายิ้มอ่อนปฏิเสธ แต่แล้วเพราะร่างกายฝืนไม่ไหวจึงล้มพับกองไปกับพื้น วาธินทร์ตกใจและรีบนำตัวส่งโรงพยาบาลใกล้ๆทันทีด้วยความเป็นห่วง แต่ข่าวที่ได้รับกลับน่าตกใจยิ่งกว่า “ดีใจด้วยครับ คนไข้กำลังจะมีน้อง” “หมอว่าอะไรนะครับ” วาธินทร์เปล่งเสียงถามราวกับคนละเมอ หันไปมองหญิงสาวที่หลับตาพริ้มบนเตียงแล้วก็ไม่เข้าใจ “คนไข้ตั้งครรภ์ครับ” หมอจากไปแล้ว แต่คนที่นอนบนเตียงคนไข้หลับตาแน่น ไม่คิดเลยว่าสิ่งที่เธอกังวลจะเกิดขึ้นจริง “วาด” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้น แต่อีกฝ่ายก็ยังนอนนิ่งไม่ไหวติง เขาจึงดักคอขึ้น “เรารู้ว่าวาดไม่ได้หลับ” “ใช่ วาดไม่ได้หลับ แต่เพราะวาดรู้ไงว่าธินทร์จะถามอะไร” “นั่นสิ ใครกันล่ะวาด ใครเป็นพ่อเด็ก” “วาดตอบไม่ได้ เพราะเขาได้ตายไปแล้ว” เสียงเบาหวิวตอบ กระนั้นก็หันมาสบตาเพื่อน “งั้น...เราจะเป็นพ่อให้ลูกของวาดเอง” “ไม่ได้!” ภริตาปฏิเสธในทันที หากก็เห็นถึงความไม่เข้าใจในสายตาของวาธินทร์ เธอรู้ว่าคนตรงหน้าแอบรักเธอมาตลอด แต่เพราะเรื่องของหัวใจมันห้ามกันไม่ได้ เธอจึงไม่เคยวางให้วาธินทร์อยู่ในตำแหน่งนั้น “ทำไมล่ะวาด ทำไมถึงไม่ได้ ในเมื่อวาดเองก็ไม่ได้มีคนนั้นแล้ว” “ธินทร์ไม่เข้าใจหรอก” “ใช่! เราไม่เข้าใจ” น้ำเสียงของวาธินทร์โต้กลับไปเสียงกร้าว เขาผ่านจุดแบกรับความเสียใจมานับครั้งไม่ถ้วน ครั้งนี้เขาจะไม่ยอมแบกมันไว้อีก ภริตาต้องเป็นของเขา! “เรื่องนี้เป็นเรื่องของวาด และวาดจะจัดการเรื่องนี้เอง” ภริตาเอ่ยเสียงเครือ เธอรู้ว่าคนอย่างวาธินทร์ยอมได้ทุกอย่างเพื่อให้ได้ครอบครอง ยอมแม้กระทั่งรับในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง ซึ่งเธอยอมไม่ได้ “สุดท้ายแล้ว วาดก็มองเราเป็นคนอื่นอยู่ดี” “ไม่ใช่! เราไม่ได้คิดแบบนั้น แต่...” “ช่างเถอะ!! ไม่ว่ายังไงเราจะไม่ยอมให้วาดปฏิเสธอีก" ภริตาถอนหายใจยาว เครียดเรื่องตัวน้อยๆ อยู่ในห้องไม่พอ ตอนนี้เธอยังต้องมาเครียดกับวาธินทร์อีก เธอไม่รู้จะปฏิเสธวาธินทร์ยังไง ในเมื่อพูดอะไรอีกฝ่ายก็ไม่ยอมรับฟังจะเอาชนะเธออย่างเดียว
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD