ตอนที่1

4043 Words
1มีนาคม 2560 บ้านเดี่ยวหลังเล็กบนพื้นที่ขนาดหนึ่งร้อยตารางวาย่านบางบอนเป็นที่อยู่อาศัยของนางชวนชม อนิลวิเศษ วัย 52ปีอดีตอาจารย์มหาลัยที่เกษียณก่อนเพราะปัญหาเรื่องสุขภาพอาศัยอยู่กับ มัทนา อนิลวิเศษ หรือ มัท วัย29ปี หลานสาวหลังจากสามีเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ไปเมื่อสิบหกปีก่อน ชวนชมมีพี่น้องสามคนเธอเป็นพี่สาวคนรองแต่งงานกับอาจารย์ศรเพชรและย้ายจากบ้านเดิมที่อำเภอท่ายางจังหวัดเพชรบุรีบ้านเกิดมาอยู่กรุงเทพกับสามีที่ได้ตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนมัธยมย่านบางแคทั้งสองไม่มีลูกด้วยกันก็รับมัทนาลูกสาวคนเดียวของภูษิตน้องชายคนเล็กที่เสียชีวิตมาเลี้ยงดูเพราะน้องสะใภ้แต่งงานใหม่ตอนหลานสาวอายุสิบขวบจึงส่งเสียให้เรียนจนจบมหาวิทยาลัยและเธอก็ไม่ได้แต่งงานใหม่จึงอยู่กันสองคนป้าหลาน “ป้าชมทำอะไรอยู่คะ” เสียงหวานของมัทนาถามป้าที่อยู่ในครัวเพราะเธอกำลังจะไปทำงานที่โรงเรียนมัธยมเอกชนชื่อดังใกล้บ้านตั้งอยู่ติดถนนกัลปพฤกษ์ มัทนา อนิลวิเศษ สาวสวยรูปร่างสูงโปร่งใบหน้ารูปไข่ริมฝีปากอวบอิ่ม คิ้วโก่งรับกับดวงตากลมโตสีน้ำตาลเข้ม จมูกโด่งกำลังงาม ปลายคางเรียวลำคอระหง ผมยาวดกดำนุ่มสลวยหากแต่งหน้าแต่งตาและแต่งตัวก็จะเป็นผู้หญิงที่สวยมากแต่นานๆครั้งเธอถึงจะแต่งเวลาไปทำงานก็จะทาแป้งบางๆทาลิปสติกออกสีชมพูระเรื่อนิดๆก็สวยในแบบของเธอ พอไปเจอเพื่อนที่ทำงานเธอก็จะดูจืดๆถ้าใครตาไม่ถึงจะไม่เห็นความสวยน่ารักของเธอเพราะมีแว่นตาอันโตบดบังใบหน้าและดวงตาของเธอไว้ มัทนาทำงานที่โรงเรียนนานาชาติพัฒนา อินเตอร์เนชั่นแนล โรงเรียนมัธยมดีที่สุดในย่านบางบอนรับเด็กตั้งแต่อายุอุนุบาลจนถึงมัธยมศึกษาปีที่หกมีลูกหลานคนมีเงินและเด็กที่พ่อแม่สามารถส่งเสียเล่าเรียนได้มาเรียนกันมากมาย หญิงสาวทำงานในตำแหน่งเลขาของผู้จัดการฝ่ายบัญชีของโรงเรียนและบางครั้งก็เป็นอาจารย์ มัทนาเรียนจบปริญญาตรีคณะมนุษย์ศาสตร์เอกภาษาอังกฤษจากมหาวิทยาลัยชื่อดังของรัฐแต่ทำงานไม่ตรงกับสาขาที่เรียนมา เธอเริ่มทำงานแรกตำแหน่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายทะเบียนของโรงเรียนแล้วชาวิสา ศานติทรัพย์มณี ผู้จัดการฝ่ายบัญชีเห็นเธอคล่องงานจึงดึงตัวไปช่วยงานเธอจึงทำหน้าที่เลขาและช่วยงานเรื่องบัญชีหญิงสาวทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยจนจบปริญญาโทและยังสอบใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูอีกเพราะป้าอยากให้เป็นครูแต่เธอชอบงานที่ทำมากกว่าจึงช่วยงานสอนที่โรงเรียนเฉพาะที่จำเป็นเท่านั้น “ไม่กินข้าวก่อนหรือยัยมัท” ชวนชมถามหลานสาวที่เตรียมจะไปทำงานที่อยู่ห่างจากบ้านประมาณสองกิโลเมตร บ้านของชวนชมก็อยู่ลึกเข้ามาในซอยใกล้กับบ้านของ วัฒนากับกันตา ศานติทรัพย์มณี เจ้าของโรงเรียนมัธยม นานาชาติพัฒนา อินเตอร์เนชั่นแนล ที่หลานสาวทำงานมีภูเบศหรือพูมลูกชายคนโตกับชาวิสาหรือน้ำชาลูกสาวคนเล็กช่วยกันบริหาร “วันนี้มัทมีประชุมเช้าค่ะเมื่อคืนนอนดึกไปหน่อยค่ะ ไปนะคะป้าจุ๊บ” หญิงสาวกอดป้าหอมแก้มท่านแล้วเดินลิ่วไปที่รถคัมรี่รุ่นเก่าที่ใช้งานมาสิบห้าปีของป้าขับออกไปทันทีถึงโรงเรียนจะอยู่ไม่ไกลแต่เธอต้องไปเตรียมเอกสารเข้าประชุมพร้อมเจ้านายถึงโรงเรียนจะปิดเทอมแต่งานของเธอก็ไม่มีได้หยุดด้วย เมื่อการประชุมทีมผู้บริหารใช้เวลาสามชั่วโมงก็เสร็จสิ้นลงมัทนาเดินตามเจ้านายสาวกลับไปที่ห้องทำงาน “ปีนี้โรงเรียนของเรามีผลประกอบการดีขึ้นกว่าปีที่แล้วมากแต่ต้องพัฒนาการเรียนการสอนให้ได้มาตรฐานสากลเพื่อให้สมกับผู้ปกครองไว้ใจให้ลูกหลานมาเรียน คุณมัทช่วยน้ำชาคิดหน่อยสิคะว่าเราจะพัฒนาการสอนด้านไหนเพิ่มเป็นพิเศษ” ชาวิสาถามเลขาเพราะมัทนามักจะมีไอเดียดีๆเสมอตอนนี้การมีการแข่งขันเยอะมากต้องพัฒนาอยู่ตลอด “ตอนนี้โรงเรียนของเราก็พร้อมทุกด้านไม่ว่าจะเป็นการเรียนการสอนและกีฬาไม่เป็นรองใครเลยนะคะคุณน้ำชา” มัทนาตอบเจ้านายสาว เธอรู้ว่าชาวิสาจะเป็นคนที่คิดเร็วทำเร็วและที่เธอทำมันก็ดีมีประโยชน์ต่อนักเรียน “ก็จริงค่ะ งั้นไปกินข้าวกันเถอะค่ะคุณมัท” ชาวิสาชวนเลขาไปกินข้าวที่โรงอาหารของโรงเรียนเธอเป็นคนไม่เรื่องมากกินได้ทุกที่ต่างจากเพื่อนๆที่ต้องกินอาหารในร้านหรูและมีชื่อเสียงเท่านั้น “ค่ะ” สองสาวก็เดินไปที่ลิฟต์ลงไปโรงอาหารของโรงเรียนที่มีร้านอาหารนับสิบร้านแต่ช่วงปิดเทอมก็จะมีแค่ร้านอาหารตามสั่งกับร้านก๋วยเตี๋ยวเท่านั้นเพราะยังมีนักเรียนมาเรียนิเศษและเจ้าหน้าที่และอาจารย์มาทำงานเมื่ออิ่มแล้วก็ไปดื่มกาแฟกันที่ห้องแพนทรีมีขนมกาแฟให้เจ้าหน้าที่และอาจารย์มานั่งพักเบรกก่อนจะไปทำงานกัน ชีวิตของมัทนาวนเวียนเป็นแบบนี้ทุกวันตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันศุกร์ยกเว้นมีงานโรงเรียนหรือเจ้านายมีงานให้ช่วยเธอก็จะไปช่วยในวันหยุดและวันนี้เป็นวันเสาร์สองป้าหลานก็จะกลับไปเยี่ยมญาติที่เพชรบุรีทั้งสองจึงตื่นแต่เช้า “จะไปไหนกันล่ะครูชม หนูมัท” ยายน้ำอ้อยเพื่อนบ้านวัยเจ็ดสิบห้าปีรดน้ำต้นไม้หน้าบ้านถามสองป้าหลานเมื่อเห็นแต่งตัวเตรียมออกจากบ้าน “จะกลับไปเยี่ยมแม่ที่เพชรหน่อยจ้ะพี่อ้อย เดือนนี้ยังไม่ได้ไปเลยฝากดูบ้านด้วยนะจ้ะ” ชวนชมบอกเพื่อนบ้านรุ่นแม่แต่เธอติดเรียกแกว่าพี่เพราะอยู่ที่นี่มาก่อนเธอกับสามีและนับถือเหมือนญาติผู้ใหญ่ “ได้จ้ะ เดินทางปลอดภัยนะครูชม ขับรถดีๆล่ะหนูมัท” น้ำอ้อยบอกสองป้าหลานที่เธอเห็นเป็นลูกหลานเพราะรู้จักกันมานาน “ค่ะยายอ้อย เดี๋ยวมัทซื้อขนมมาฝากนะคะ” มัทนายกมือไหว้ยายอ้อยผู้ใจดี “หนูมัทเข้าใจเอาขนมมาล่อคนแก่นะลูก” น้ำอ้อยยิ้มให้สาวสวยรุ่นหลานแล้วยิ้ม มัทนาเป็นเด็กน่ารักมีสัมมาคารวะพูดจาอ่อนหวานเหมือนชวนชมจึงทำให้เพื่อบ้านในละแวกนี้เอ็นดู มัทนากับชวนชมเดินทางสองชั่วโมงกว่านิดหน่อยก็ถึงบ้านไม้หลังใหญ่ครึ่งไม่ครึ่งปูนริมถนนก่อนจะถึงอำเภอท่ายางห้ากิโลเมตรล้อมรอบด้วยต้นชมพู่เมืองเพชรและหลังบ้านก็เป็นสวนชมพู่เพชรสายรุ้งยี่สิบไร่มียุทธนาเป็นคนดูแล “โฮ่งๆๆ..” “ไอ้จ้อนจำฉันไม่ได้หรือไงฮึ มาทีไรก็เห่าทุกที” ชวนชมลงจากรถแล้วบ่นให้หมาพันธุ์โกลเด้นรีทรีฟเวอร์ของหลานชายที่เห่าทุกครั้งที่มาพอให้ขนมหน่อยเดินตามต้อยๆ “สวัสดีครับอาชม ก็อาเรียกชื่อมันไม่ถูกนี่ครับมันก็เห่าสิจริงมั้ยจอนนี่” ธนาธร ลูกชายของยุทธนาพี่ชายคนโตของชวนชมกับพ่อของมัทนายกมือไหว้ป้ากับพี่สาว “สวัสดีตาเป้ แล้วไปไหนกันหมดล่ะ” ชวนชมถามหลานชายเพราะบ้านเงียบกริบ “ย่ากับแม่ทำน้ำยาปูอยู่หลังบ้านครับ พ่อเข้าสวนยัยปูไปซื้อของเดี๋ยวคงมาครับ” ธนาธรบอกป้าแล้วช่วยหิ้วกระเป๋าเข้าบ้าน “สวัสดีค่ะย่า ป้าพัน” มัทนายกมือไหว้ย่ากับป้าสะใภ้แล้วกอดย่า “สวัสดีลูก ผอมไปหรือเปล่ายัยมัท” สมัย หรือย่าสา กอดหลานสาวลูบหลังอย่างรักใคร่ไม่ต่างจากหลานๆคนอื่น “ผอมที่ไหนคะย่า นี่มัทอ้วนขึ้นตั้งสองกิโลค่ะ” มัทนาตอบย่าตอนนี้น้ำหนักเธอขึ้นมาตั้งสองกิโลกรัมจากสี่สิบแปดขึ้นมาห้าสิบ “เดี๋ยวนี้สาวๆเขาก็หุ่นแบบนี้กันทั้งนั้นค่ะแม่ แล้วนี่ทำอะไรกันบ้างคะพี่พัน” ชวนชมพูดขึ้นและถามพี่สะใภ้ที่ง่วนอยู่หน้าเตาถ่าน “ทำน้ำยาปูจ้ะ เมื่อวานพี่ไปตลาดเห็นปูสดๆตัวใหญ่ก็คิดถึงยัยมัทเลยทำน้ำยาปูรอ มีปูนึ่งด้วยนะชม” พิมพรรณตอบน้องสามีที่จะกลับมาเยี่ยมบ้านทุกเดือน “ถ้าไม่ห่วงยัยมัทอยู่คนเดียว ฉันกลับมาอยู่บ้านเราแล้วนะเนี่ย” ชวนชมพูดขึ้นเพราะเป็นห่วงหลานสาวอยู่คนเดียว “ถ้าป้าเบื่อกรุงเทพก็มาอยู่บ้านสักพักก็ได้ค่ะ มัทอยู่คนเดียวได้ค่ะ” มัทนาบอกป้าเธอรู้ว่าป้ามีความสุขที่ได้กลับบ้านทุกครั้งยิ่งตอนนี้ไม่ได้ทำงานแล้วไม่มีอะไรทำก็เหงา “งั้นให้ตาเป้ไปอยู่เป็นเพื่อนยัยมัทก็ได้นี่ชม เธอจะได้มาพักผ่อนบ้างทำงานมาครึ่งชีวิตแล้วก็พักผ่อนไปเที่ยวบ้าง” พิมพรรณเข้าใจน้องสามีที่ไม่มีเพื่อนคู่คิดแล้วคงจะเหงา “แม่ครับ บ้านอาชมกับที่ทำงานเป้ไกลกันนะครับ” ธนธรโอดเพราะเขาทำงานที่สถานทูตอังกฤษอยู่ในเมืองจึงเลือกพักคอนโดใกล้ๆทั้งที่อาสาวบอกให้มาอยู่ด้วยกันที่บ้านแต่ไม่อยากตื่นเช้าฝ่ารถติดมาทำงานสู้อยู่ใกล้ๆนั่งมอเตอร์ไซค์สิบบาทก็ถึงแล้ว “แถวบ้านมีเพื่อนบ้านเยอะแยะไม่มีอันตรายหรอกค่ะ ป้าลองอยู่ที่นี่สักอาทิตย์หนึ่งพรุ่งนี้มัทกลับพร้อมนายเป้ก็ได้ค่ะ” คนเป็นหลานก็อยากให้ป้าได้พักผ่อนอยู่กับธรรมชาติบ้างแต่เชื่อเถอะเดี๋ยวป้าชมก็พาย่ากับป้าพันไปตะเวนไหว้พระทั่วเมืองเพชรแน่ “งั้นผมมาอยู่เป็นเพื่อนพี่มัทให้อาทิตย์หนึ่งเอ้า อาชมจะได้หายห่วง” หลานชายยอมเพื่อให้อาสาวห่วงพี่สาว “ขอบใจมากตาเป้ เอาอย่างนั้นก็ได้” ชวนชมขอบใจหลานชายที่ทำให้เธอตัดสินใจได้ง่ายเธอเลี้ยงหลานสาวมาเหมือนลูกก็ห่วงมากเป็นธรรมดาเพราะเป็นผู้หญิงถึงแม้จะโตแล้วและแถวบ้านจะมีเพื่อนบ้านเยอะก็อดเป็นห่วงไม่ได้ “ยัยมัทจะไปเยี่ยมแม่เค้ามั้ยลูก” สมัยถามหลานสาวเธอไม่ได้โกรธเกลียดอดีตลูกสะใภ้เพราะลูกชายเธอเสียชีวิตไปแล้ว แต่เสียอย่างเดียวที่วรนันเลือกสามีใหม่ผิด “มัทว่าจะไปช่วงบ่ายค่ะย่า” มัทนาตอบย่าเธอกลับมาบ้านย่าเกือบทุกเดือนถ้าไม่ติดงานแต่ไม่ได้แวะไปหาแม่ทุกครั้งเพราะไม่อยากเจอพ่อเลี้ยง เมื่อแม่แต่งงานใหม่ป้ามารับเธอไปอยู่ด้วยตอนแรกแม่จะไม่ให้ไปแต่ย่ากับป้าพูดจาโน้มน้าวเรื่องลูกเลี้ยงกับพ่อเลี้ยงทำให้แม่เธอยอมให้ไปอยู่กับป้า “มาถึงกันแล้วเหรอยัยมัท ชม” ยุทธนากลับออกมาจากสวนเดินเข้ามาในครัวหลังบ้านที่อยู่กันเกือบพร้อมหน้าขาดแต่ลูกสาวคนเล็กของเขาที่ไปซื้อของในตลาด “สวัสดีค่ะลุงยุทธ” “สวัสดีลูก มัทกับชมมาได้จังหวะพอดีลุงได้แรงงานมาช่วยเก็บชมพู่เพิ่มอีกสองคนแล้ว” ยุทธนาล้อหลานสาวแล้วยกมือลูบศีรษะเบาๆ “ป้าเปลี่ยนใจกลับกรุงเทพยังทันมั้ยยัยมัท” ชวนชมพูดขึ้นทุกคนหัวเราะเสียงดังและเป็นแบบนี้ทุกครั้งที่กลับมาบ้านอยู่พร้อมหน้ากัน จากนั้นก็ตั้งวงกินขนมจีนน้ำยาปูกันหน้าบ้านพร้อมกับปูนึ่งน้ำจิ้มรสเด็ดฝีมือของสมัย เวลา 14.00น. มัทนาก็ไปหาแม่ที่หัวหินกับยลดาหรือปูลูกสาวคนเล็กของยุทธนากับพิมพรรณส่วนธนาธรเข้าสวนช่วยพ่อเก็บชมพู่ “ปูจบแล้วจะทำอะไรต่อ” มัทนาถามน้องสาวที่จะจบปริญญาโทปีนี้ที่บ้านของเธอจบปริญญาโทกันทุกคน “ปูยังไม่รู้เหมือนกันค่ะพี่มัท จะทำงานบริษัทหรือรับราชการดีเลือกไม่ถูกเลยค่ะ” ยลดาตอบพี่สาวเพราะเธอยังชั่งใจอยู่รับราชการมั่นคงแต่เงินเดือนน้อยขึ้นช้าทำงานบริษัทเงินก็ดีแต่ไม่มีบำเหน็จบำนาญแก่ไปถ้าไม่มีเงินเก็บก็ลำบากแต่ครอบครัวก็อยากให้รับราชการ “อยากเป็นครูมั้ยจ้ะ” “ไม่อ่ะ ปูไม่ชอบเด็กและคงสอนใครเขาไม่ได้หรอกค่ะ หรือปูลองไปสอบแอร์ดีคะ” ที่จริงเธอก็อยากเป็นแอร์โฮสเตส “แอร์โฮสเตสก็ดีนะปู” มัทนาสนับสนุนน้องสาว “จริงเหรอคะ” “จริงสิ อาชีพในฝันของสาวๆเลยนะปู” สองพี่น้องคุยกันจนถึงบ้านเช่าของวรนันที่อยู่ห่างจากตลาดหัวหินประมาณหนึ่งกิโลเมตรเป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่เป็นบ้านทาวเฮ้าส์ชั้นเดียวเกือบร้อยหลังทำให้มีผู้คนอาศัยอยู่หนาแน่นส่วนมาก็ทำมาค้าขายเหมือนแม่ของเธอที่ขายกุ้งหอยปูปลาหมึกย่างในตลาดโต้รุ่งหัวหิน “บ้านเงียบเชียวค่ะพี่มัท อาหนูไม่อยู่มั้งคะ” ยลดา พูดกับพี่สาวเมื่อเห็นบ้านเงียบ “เดี๋ยวพี่ลองกดกริ่งดูก่อนนะ” มัทนากดกริ่งหน้าบ้านแล้วยืนรอเกือบห้านาทีแล้วยกมือจะกดกริ่งอีกครั้งแม่ของเธอก็เดินออกมาจากบ้านเปิดประตูบ้านให้เธอกับยลดา “อ้าวมัทเองเหรอลูก” วรนันยิ้มให้ลูกสาวอย่างซีดเซียวเพราะไม่สบายมาสองวันแล้วแต่ยังไม่ได้ไปหาหมอ “สวัสดีค่ะแม่ แม่ไม่สบายเหรอคะไปหาหมอหรือยังคะ” มัทนายกมือไหว้แม่และถามด้วยความเป็นห่วงดลยาก็ไหว้ตามพี่สาว “แม่ว่าถ้าไม่ดีขึ้นจะให้ลุงเขาพาไปหาหมอเย็นนี้น่ะลูก” วรนันตอบลูกสาวแล้วเดินนำเข้าบ้าน “งั้นมัทพาแม่ไปหาหมอตอนนี้ดีกว่าค่ะ” หญิงสาวตัดสินใจพาแม่ไปหาหมอ “แต่ว่า.” “ไม่มีแต่ค่ะ แม่หน้าซีดมากเลยแล้วนี่ลุงจรูญนายต๋ำกับแต้วไปไหนคะทำไมไม่อยู่ดูแม่คะ” มัทนาถามถึงนีรชากับปิติน้องสาวน้องชายต่างพ่อทั้งสองและพ่อเลี้ยง “ต๋ำไปทำรายงานกับเพื่อนแต้วไปบ้านย่าของเขาลุงเขาไปขับรถน่ะลูก” วรนันไม่อยากรบกวนลูกทุกครั้งที่มัทนามาหาก็จะให้เงินเธอใช้ตลอดแต่เธอไม่เคยของเงินลูกเพราะไม่เคยได้ส่งเสียให้ลูกสาวเลยตั้งแต่ไปอยู่กับพี่สาวของสามีหากอยู่กับเธอป่านนี้มัทนาคงไม่มีอนาคตเธอไม่มีปัญญาส่งลูกเรียนแน่ “งั้นแม่เปลี่ยนเสื้อผ้าเลยค่ะจะได้ไปหาหมอหากรอลุงจรูญแม่จะเป็นมากไปกว่านี้” มัทนาบอกแม่อีกครั้งทำให้วรนันลุกไปเปลี่ยนชุดตามที่ลูกสาวบอก มัทนาพาแม่ไปหาหมอเสร็จก็พามาส่งบ้านหมอบอกว่าแม่เป็นไข้หวัดและร่างกายอ่อนแอพักผ่อนไม่เพียงพอจึงให้ยามากินและพักผ่อนให้มากสองสามวันก็จะดีขึ้นทำให้หญิงสาวหายห่วง “นี่แม่เก็บไว้ไปหาหมอหากไม่พอแม่บอกมัทได้นะ” ตอนแรกไม่เข้าใจที่ยกเธอให้ป้าก็โกรธแม่พอมาถึงตอนนี้เธอเข้าใจแล้วเพราะป้ากับย่าบอกประจำว่าไม่อยากให้เธอเจอกับปัญหาพ่อเลี้ยงลูกเลี้ยงเหมือนที่เธอเห็นข่าวบ่อยๆและคิดว่าตัวเองโชคดีที่มีป้ากับย่าคอยดูแล “ไม่เป็นไรลูก แม่ยังพอมีอยู่” วรนันไม่ยอมรับเงินของลูกสาวแค่ลูกพาไปหาหมอก็พอแล้ว “แม่เก็บไว้เถอะค่ะ” หญิงสาววางเงินใส่มือแม่ทุกครั้งที่เธอให้เงินแม่จะไม่ยอมรับจนต้องยัดเยียดให้ทุกครั้ง “ขอบใจมากลูก” วรนันรับเงินของลูกสาวด้วยน้ำตาคลอ “นังหนู นังหนู” เสียงอ้อแอ้เหมือนคนเมาดังขึ้นหน้าบ้าน “มัทกับปูกลับบ้านเถอะลูก” วรนันบอกลูกสาวกับหลานสาว “แม่ดูแลตัวเองด้วยนะคะ” มัทนาอดเป็นห่วงแม่ไม่ได้และคิดวาเสียงที่เรียกแม่คือพ่อเลี้ยง “ขอบใจมัทมากนะลูก” มัทนากับยลดาลุกขึ้นเดินออกไปจากบ้านก็เจอพ่อเลี้ยงนั่งบนพื้นหน้าบ้านตาแดงก่ำมองเธอกับน้องสาว “อ้อ,นึกว่าใครที่แท้ลูกเลี้ยงคนสวยนี่เอง” นายจรูญพูดจบก็พยายามลุกขึ้น “มัทรีบไปเถอะลูก” วรนันผลักลูกสาวเดินออกรประตูรั้วบ้าน “นังหนูมึงมานี่เลย ทำไมกูจะคุยกับลูกมึงไม่ได้ห๊า มันวิแศษมาจากไหน เอิ้กก.” นายจรูญพูดแล้วเรอออกมาเสียงดัง “พี่เมาแล้วไปนอนเถอะจ้ะ” วรนันพูดกับสามีเบาๆ “ลูกมึงนี่มันใจดำ ใจดำจริงๆ ได้ดีแล้วไม่เคยกลับมาส่งเสียพ่อแม่ มึงก็โง่ทำไมไม่ขอเงินลูกมึงบ้างห๊านังโง่” นายจรูญว่าภรรยามีลูกสาวทำงานเงินเดือนหลายหมื่นขอเดือนสักสี่ส้าพันก็ได้แต่เมียของเขาไม่เคยขอตัวเขาเองเคยโทรไปขอแล้วแต่นังลูกเลี้ยงมันไม่ให้ นายจรูญพูดโดยไม่รู็ว่าลูกเลี้ยงแอบฟัง มัทนายังไม่ได้ไปไหนไกลเธอเดินย้อนกลับมาแอบฟังแม่กับพ่อเลี้ยงคุยกัน “ฉันบอกพี่กี่ครั้งแล้วว่าฉันไม่มีสิทธิ์ในตัวยัยมัท ฉันไม่เคยส่งเสียลูกสักแดงเดียวแล้วจะไปขอเงินลูกได้ยังไงแค่นี้ฉันก็เป็นแม่ที่เลวมากแล้วพี่จะบังคับให้ฉันไปขอเงินลูกพี่ฆ่าฉันดีกว่า” วรนันบอกสามีเสียงแหบก่อนจะเดินหนีเข้าบ้าน “นังหนู นังโง่ อีโง่เอ้ย เพ้งง..” นายจรูญก็หยิบของใกล้มือขว้างไปกระทบผนังรั้วเสียดังจากนั้นก็มีเสียงข้างบ้านตะโกนด่าที่ทำเสียงดังรบกวนทำให้นายจรูญเงียบไป เมื่อก่อนนายจรูญไม่ได้เป็นแบบนี้เขารักเมียรักลูกดีจนมัทนาอิจฉาน้องทั้งสองที่มีพ่อแม่พร้อมหน้าพร้อมตาเวลาผ่านไปใจคนก็เปลี่ยนนิสัยก็เปลี่ยน นายจรูญกลายเป็นคนขี้เหล้าเมายาดื่มมาทีไรก็มาหาเรื่องลูกเมียตอนไม่ดื่มก็เป็นอีกคนหนึ่งแต่วรนันก็ทนเพราะรักและลูกทั้งสอง มัทนาเดินกลับไปที่รถเงียบๆ “พี่มัทโอเคป่ะ” ยลดาถามพี่สาวที่เงียบไปตั้งแต่ออกมาจากบ้านแม่ดีที่เธอขอเป็นคนขับรถเพราะเห็นท่าทางพี่สาวไม่สบายใจจึงขับรถมาทางชะอำ “พี่โอเคนะปู แต่สงสารแม่น่ะ” หญิงสาวสงสารแม่ที่ต้องอยู่ในสถาพแบบนี้หากแม่คนเดียวเธอเลี้ยงได้จะให้เลี้ยงน้องทั้งสองด้วยคงไม่ไหวเพราะเธอไม่มีกำลังถึงขนาดนั้นถ้าช่วยเหลือเป็นบางครั้งบางคราวก็ได้อยู่และเธอก็ไม่ได้ใจไม้ไส้ระกำมาเจอน้องทีไรก็ให้เงินใช้ตลอดแม้จะไม่มากแต่เธอก็ให้ทุกครั้ง “เล่นน้ำกันมั้ยพี่มัท” ยลดาไม่รู้จะพูดยังไงเพราะมันเป็นเรื่องของครอบครัวจึงชวนพี่สาวเล่นน้ำ “ก็ดีเหมือนกัน พี่ไม่ได้เล่นน้ำนานมากแล้ว” มัทนาก็อยากทำอะไรให้ลืมเรื่องที่ได้ยินได้เห็นมา สองสาวจึงพากันไปซื้อเสื้อกางเกงขาสั้นมาใส่เล่นน้ำ สองพี่น้องเล่นน้ำกันอย่างสนุกก่อนจนเย็นก็พากันกลับบ้าน วันรุ่งขึ้นมัทนาก็ช่วยลุงเก็บชมพู่ครึ่งวันเมื่อกินอาหารกลางวันอิ่มแล้วก็กลับกรุงเทพพร้อมธนาธรที่ต้องมานอนเป็นเพื่อพี่สาวตามที่ได้รับปากชวนชมเมื่อส่งพี่สาวที่บ้านเสร็จเขาก็ไปเก็บเสื้อผ้าทำงานที่คอนโด “ติ้งต่องๆๆ..” มัททนากำลังทำอาหารเย็นง่ายๆรอน้องชายที่กลับไปเอาเสื้อผ้าที่คอนโดจึงละมือจากล้างผักเดินออกไปดูหน้าบ้านก็เห็นรถ BMW Series 33 320 Sport สีแดงสดจอดอยู่และหนุ่มหล่อหน้าใสยืนหล่ออยู่หน้าบ้านจึงเดินไปเปิดประตูบ้าน “มาได้ไงอ่ะแก” มัทนาถามหนุ่มหล่อสไตล์เกาหลีทันทีที่ลงจากรถ “พอดีแวะไปส่งเพื่อนที่พระรามสองก็เลยแวะมาหาแกคิดว่าน่าจะอยู่บ้าน” เขมกรตอบเพื่อนสาวที่อยู่ในชุดธรรมดาเสื้อยืดกางเกงขาสั้นแค่เข่ามัดผมทรงดังโงะหากไม่รู้จักก็จะคิดว่าเป็นเด็กมหาลัยทั้งที่อายุเกือบสามสิบแล้ว เพื่อนในกลุ่มสี่คนแต่งงานไปหนึ่งคนอีกหนึ่งคนก็มีแฟนเหลือเกย์หนึ่งคือเขาและสาวแก่หนึ่งคือคนตรงหน้า “แกไม่มีบินเหรอโทน” “อาทิตย์นี้พักน่ะฉันก็เลยลั่นล้าได้ แล้วป้าชมไม่อยู่เหรอ” เขมกรเดินเข้าไปในบ้านหลังเล็กแล้วมองหาป้าของเพื่อน “ป้าชมไปท่ายางกลับอาทิตย์หน้า กินข้าวด้วยกันนะโทน พอดีนายเป้มาค้างเป็นเพื่อนมัทน่ะ” มัทนาบอกเพื่อนที่ตาแพรวพราวขึ้นมาทันที “จริงเหรอแก น้องโทนของฉันมาเหรอ” เขมกรระริ้กระรี้ขึ้นมาทันที “เสียงสองมาเลยนะแก” “เห็นหนุ่มๆแล้วมันกระชุ่มกระชวยดีนะยัยมัท ใครจะเหมือนแกล่ะยะใจคอจะปล่อยให้รูมันตันหรือไง” เขมกรพูดแล้วอดขำไม่ได้ “ช่างเถอะน่ารูจะตันก็ปล่อยมันมัทไม่เดือดร้อน” มัททนาตอบเพื่อนแล้วค้อนก่อนจะเดินนำไปที่ครัวเปิดหลังบ้าน “ถ้าแกอายุสามสิบห้าแล้วไม่มีใครเอา เรามาเอากันเองดีมั้ยยัยมัท ฮ่าๆๆ” “ไม่อ่ะ, มัทกลัวฟ้าฝ่า.” “ฉันก็เป็นผู้ชายนะยะแก” “ย่ะ เชิญแกไปหาเอาข้างหน้าเถอะ มัทอยู่คนเดียวแบบนี้ดีแล้วไม่อยากปวดหัวเหมือนยัยมิ้น” มัทนาพูดถึงเพื่อนสาวอีกที่แต่งงานและมีลูกสาวหนึ่งคนวัยสามขวบ “ฉันอุตส่าห์หวังดีนะเนี่ย งั้นฉันจะเตรียมคานทองไว้ให้แกนะยัยมัท ว่าแต่เมื่อไหร่น้องเป้ของฉันมจะมาสักทีล่ะ” เขมกรยืนมองเพื่อนล้างผักใส่ตะกร้าเพื่อทำอาหารเย็น “น่าจะค่ำๆมั้ง แกจะรีบไปไหนล่ะ” “ไม่ได้รีบแต่อยากเจอน่ะ คิดถึงแกเข้าใจมั้ยยัยมัท” “เข้าใจก็ได้” มัทนายิ้มขำเพื่อนที่เจอน้องชายของเธอเป็นไม่ได้มีแต่เรื่องขำและต่อปากต่อคำกันสนุกสนานทุกครั้ง ทั้งสองคุยกันไปมัทนาก็เตรียมอาหารเย็นไปด้วยแล้วธนาธรก็มาถึงเอบหนึ่งทุ่มแล้วทั้งสามก็กินข้าวเย็นด้วยกันคุยกันไปด้วยอย่างสนุกสนาน “เค้ากลับก่อนนะสวีทฮาร์ท” เขมกรบอกน้องชายของเพื่อนที่โบกมือให้ “ขับรถดีๆนะครับพี่โทน อย่าไปเผลอจิ้มตูดเขาล่ะ” ธนาธรบอกเพื่อนพี่สาวแล้วยิ้มขำเมื่อเขมกรค้อนเขา “พี่ไม่ถนัดจิ้มค่ะน้องเป้ พี่ชอบให้ถูกจิ้มมากกว่าถ้าน้องเป้สนใจอยากจิ้มเมื่อไหร่ก็บอกนะพี่จะสอนให้ครับ” เขมกรตอบกลับแล้วยิ้มอย่างชอบใจ “ผมขอผ่านครับพี่โทน" "ไม่แน่จริงนี่นา ไปนะยะ" เขมกรพูดจบก็ขึ้นรถขับออกไป สองพี่น้องก็เข้าบ้านแยกย้ายกันไปอาบน้ำพักผ่อนเพราะพรุ่งนี้ต้องไปทำงาน
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD