“สองคนนี้มีดวงผูกกันมาทุกชาติแยกเขาออกจากกันไม่ได้หรอก..จะห่างกันแค่ไหนสุดท้ายก็ลงเอยกันเหมือนเดิม”
คุณเชื่อเรื่องดวงสมพงศ์กันไหม? หรือนี่จะเป็นเพียงสิ่งคาดเดา…หรืออาจจะเป็นความจริงของแม่หมอคนทรงเจ้าที่บอกว่าตัวเองสามารถมองเห็นและคาดเดาอนาคตได้……
“คะนิ้ง!”
“มีอะไร??” คนถูกเรียกหันมองกลับไปทางต้นเสียง เพื่อนสนิทของคะนิ้งวิ่งเข้ามาพร้อมกับหายใจเหนื่อยหอบ เธอคงมีเรื่องทุกข์ร้อนใจแน่นอนดูจากท่าทางของการวิ่งสี่คูณร้อยเมื่อครู่
“มะ..มี..” เสียงพูดที่ขาดหายไป ทำให้รู้ว่าเธอกำลังหอบเอาอากาศเข้าปอดด้วยความเหน็ดเหนื่อย
“หายใจก่อนเถอะ..มีอะไร วิ่งหน้าตั้งข้ามสนามฟุตบอลมาขนาดนี้?” เธอก็ยังคงตั้งคำถามขึ้นมาอีกครั้ง “กิ่งแก้ว” เป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของคะนิ้ง ทั้งสองเป็นเพื่อนที่เรียนมาด้วยกันตั้งแต่อนุบาลจนถึงตอนนี้ มัธยมศึกษาตอนปลาย ชั้น ม.4/2 ซึ่งเป็นวัยที่กำลังสนุกสนานกับการใช้ชีวิตวัยรุ่น คุกรุ่นไปด้วยความตื่นเต้นและสิ่งแปลกใหม่
“ปายมันมีเรื่องกันรุ่นพี่…”
“แล้วไง..ไม่เห็นเกี่ยวกับฉันเลย” คนฟังไม่ทุกข์ร้อนแต่อย่างใด เด็กสาวกลับหันหน้ามาก้มลงอ่านหนังสือการ์ตูนที่ชื่นชอบ โดยไม่มองใบหน้าของเพื่อนที่กำลังมีเหงื่อชุ่ม
“ก็คนที่มันไปหาเรื่องคือพี่เหนือไง..” กิ่งแก้วพูดเพียงเท่านั้น
หนังสือในมือของคะนิ้งถูกพับเก็บลงกระเป๋านักเรียนในทันที เป้สีชมพูอ่อนถูกสะพายขึ้นหลัง ก่อนเด็กสาวจะออกวิ่งฝ่ากลางสนามหญ้าของเวลาเที่ยงวัน แสงแดดที่ร้อนแรง ก็ไม่สู้ความร้อนรนที่เกิดขึ้นภายในใจ
“เอ้าหายไปไหนแล้ว..เมื่อกี้ฉันยังเห็นฟัดกันอยู่เลย” กิ่งแก้วที่วิ่งตามหลังของคะนิ้งมาติดๆ เอ่ยขึ้น เมื่อมาถึงจุดเกิดเหตุ แต่ไร้ผู้คนอยู่ ณ ที่แห่งนี้แล้ว ไม่นานเสียงประกาศตามสายก็ดังขึ้น
“ไปห้องพักครูกัน”
คะนิ้งยืนพิงกำแพงอยู่ที่หน้าห้องพักครูไม่นาน เด็กหนุ่มทั้งสองคนก็เดินออกมา ความเงียบเป็นเพียงสิ่งเดียวที่เขาทั้งสองทำได้ในตอนนี้ เธอได้แต่มองสำรวจร่างกายของทั้งสองคนเพียงเท่านั้น เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรไปมากกว่าแผลฟกช้ำบนหน้าจึงได้เตรียมเดินหันหลังกลับห้องเรียน
“คะนิ้ง เป็นห่วงปายใช่ไหม..” น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความดีใจกำลังทำให้ปายเดินตามหลังเด็กสาวที่ตัวเองหลงรักไม่ยอมห่างแม้แต่ก้าวเดียว
“เดี๋ยว!! มึงจะไปไหน” น้ำเหนือที่เดินตามหลังมาเรียกชื่อของเด็กหนุ่มที่มีเรื่องกับตนเองให้หันมามอง
“อะไร อยากโดนต่อยอีกหรือไง..” ปายหันกลับมาเผชิญหน้ากลับน้ำเหนืออีกครั้ง ริมฝีปากมีรอยเลือดแห้งเกราะบนรอยแผลแตกมีความยับเยินอยู่ไม่น้อย ต่างจากใบหน้าของรุ่นพี่อย่างน้ำเหนือ เขาได้รับบาดแผลแค่ตรงมุมปากที่ดูฟกช้ำ
“เธอก็ด้วย..คะนิ้ง!!”
คะนิ้งหยุดนิ่งอยู่กับที่หันกลับมามองคนที่เรียกชื่อของเธอ น้ำเหนือที่จ้องมองเธอผ่านปายยังจ้องตาไม่ขยับ ทำให้เด็กหนุ่มอีกคนชักสีหน้าไม่พอใจ
“บอกแฟนของเธอด้วย..อย่ามาหาเรื่องพี่..ครั้งหน้าพี่จะไม่ต่อยมันแค่นี้หรอก..” เขาพูดเพียงเท่านั้นแล้วหันหลังเดินจากไป
วันนี้มันเป็นวันที่เฮงซวย หลังจากที่ทานข้าวกลางวันเสร็จน้ำเหนือมองหาที่เงียบๆ พักผ่อนสายตา เพราะเมื่อคืนเขาเล่นเกมกับเพื่อนดึกมากเกินไปจึงทำให้ง่วงนอน
แต่ยังไม่ทันไรเขาก็ได้รับแรงผลักจากด้านหลังเต็มแรงทำให้เสียหลักล่มลงไปที่พื้น ก่อนจะโดนหมัดหนักๆ ของปายซัดเข้าที่มุมปากอย่างไม่ทันได้ตั้งตัวมาก่อน แล้วเรื่องราวการใช้ความรุ่งแรงก็เกิดขึ้น
เหตุผลง่ายๆ คือ… “มึงเลิกยุ่งกับคะนิ้งได้แล้ว ปากบอกไม่เป็นอะไรกัน แต่ไปกลับโรงเรียนด้วยกันทุกวัน เหมือนหมาหวงกระดูกวะ!!”
“ทำไม่แต่งตัวแบบนี้??” น้ำเหนือถามคะนิ้งขึ้น เมื่อเขานั่งรอที่อยู่ที่รถบิ๊กไบค์คันใหญ่ ในเวลาหลังเลิกเรียน
“มีซ้อมรีด กลับไปก่อนเลย ฝากบอกแม่ด้วยจะกลับค่ำ พรุ่งนี้ไม่ต้องรอ มาโรงเรียนก่อนได้เลย”
“แล้วจะกลับยังไง?”
“เดี๋ยวกิ่งไปส่งบ้าน” คะนิ้งพูดแค่นั้นแล้วเดินกลับไปที่สนามฟุตบอลเช่นเดิม ทุกการกระทำของเธอมีสายตาของน้ำเหนือมองอยู่ตลอดเวลาด้วยความสงสัย แต่ก็ต้องพับความสงสัยเอาไว้เพียงเท่านั้นแล้วขับรถตรงกลับบ้านเพียงลำพัง
“คะนิ้ง อะน้ำ..” ปายยื่นขวดน้ำเปล่ามาตรงหน้า สายตาที่มองมาเต็มไปด้วยความรักที่มีให้กลับเธอ
“เลิกยุ่งกับฉันสักที ก็บอกแล้วไง ว่าฉันไม่ได้ชอบนาย แล้วเลิกยุ่งกับพี่เหนือด้วยนะ ฉันรำคาญต้องมานั่งทะเลาะกันเพราะนายเป็นต้นเหตุ” คะนิ้งเดินผ่านหน้าของปายไปเข้ากลุ่มเชียร์ที่นั่งพักผ่อนกันอยู่บนพื้นหญ้าสีเขียวขจี
“เอาแต่ห่วงไอ้บ้านั้น ถามจริง..เธอแอบชอบมันใช่ไหม?” ปายถามออกมาด้วยอยากรู้ ก็ใครใช้ให้เธอดูเข้าข้างไอ้หนุ่มหน้าหล่อรุ่นพี่สุดฮอตนั้นกัน
“อย่ามายุ่งเรื่องของฉัน และฉันก็ไม่จำเป็นต้องตอบคำถามนาย ถอยไปฉันจะไปซ้อมเชียร์แล้ว” คะนิ้งขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ ทำไมช่วงนี้เธอถึงได้รู้สึกเบื่อหน่ายกับชีวิตที่ไม่สงบสุข
ไม่ว่าจะเป็นหญิงสาวที่ตามจีบน้ำเหนือที่คอยเอาแต่หาเรื่องเธออยู่ทุกวัน รวมถึงปายด้วยเช่นกัน สร้างแต่ปัญญาให้กลับชีวิตของเธอไม่หมดสิ้นสักที
ในรั่วโรงเรียนรัฐบาลชื่อดังในตัวจังหวัดทางภาคเหนือ มีนักเรียนมากกว่าหนึ่งพันคน คะนิ้งเป็นเด็กสาวที่หน้าสะสวย มีชายหนุ่มเข้ามาขายขนมจีบไม่เว้นแต่ละวัน เอกลักษณ์ที่โดดเด่นของเธอคงไม่พ้นความไม่สนโลกจะทำอะไรก็ทำไม่เคยรักษาภาพภพอันสวยงามของใบหน้า
ผู้ชายทุกคนกลับมองว่าเธอน่ารัก ถึงบางครั้งจะทำตัวแข็งกระด้างก็ตามที แต่สิ่งนี้กลับไม่ได้ทำให้เสน่ห์ของคะนิ้งลดน้อยลงไปได้เลย ปายก็เป็นผู้ชายอีกคนที่วิ่งเข้าหาทั้งที่ถูกปฏิเสธจนนับครั้งไม่ถ้วนแต่เขาก็ยังคง ไม่เลิกราและมีความหวังว่าสักวันเธอจะหันมามองเขาบ้าง
“คะนิ้ง..เป็นไงลูกเหนื่อยไหม” เสียงของไพลินดังขึ้น เมื่อเจอลูกสาวกำลังถอดรองเท้านักเรียนเก็บเข้าชั้นวางรองเท้าให้เรียบร้อย
“สวัสดีค่ะ คุณยายอยู่ไหนคะ”
“แม่น้อยใจแล้วนะ กลับมาบ้านถามหาคุณยายก่อนเลย” น้ำเสียงน้อยใจของมารดาทำให้ทั้งสองหัวเราะออกมา
“หนูเห็นยายปวดขา เลยซื้อยานวดมาให้ค่ะ” เธอชูยานวดแก้ปวดเมื่อยขึ้นมาให้แม่ดู “แม่คะ ตั้งแต่พรุ่งนี้หนูจะไปโรงเรียนเองนะคะ”
“ทำไมละลูก ไปกับพี่เขาก็ดีแล้วไม่ใช่หรือไง”
เธออยากจะบอกแม่นัก ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอบ้าง คะนิ้งไม่อยากไปรบราฆ่าฟันกับหญิงสาวของน้ำเหนือด้วยเรื่องที่เธอเดินทางไปกลับโรงเรียนพร้อมเขาในทุกวัน
“หนูเกรงใจค่ะ บางวันหนูอยากนอนตื่นสายบ้าง เวลากลับหนูก็อยากไปเที่ยวกับเพื่อนบ้าง แต่พี่เขาต้องมารอหนูแบบนี้หนูรู้สึกไม่โอเคเลยค่ะ” ข้ออ้างที่เธอยกขึ้นมาใช้เป็นเหตุผล ทำให้มารดาคล้อยตาม เธอได้รับอนุญาตให้เดินทางไปเรียนด้วยรถรับส่งของโรงเรียน คะนิ้งเหมือนกำลังได้หลุดพ้นข้อกล่าวหาว่าตนเองนั้นเป็นแฟนกับน้ำเหนือ หญิงสาวที่หลงรักเขาคงไม่มาหาเรื่องเธอให้ต้องปวดหัวอีกต่อไป
“มาแล้วเหรอลูก ยายรอนานแล้วนะ” คุณนายพิมพา เอ่ยทักหลานสาวคนเดียวของบ้าน ก่อนที่สายตาจะมองกลับไปที่โทรทัศน์หน้าจอห้าสิบสองนิ้วตรงหน้า ด้วยกำลังอินกับละครไทยที่ฉายอยู่ ณ ตอนนี้
“เป็นยังไงบ้างคะ หนูมียานวดมาด้วยนะคะ หนูขอไปอาบน้ำก่อน แล้วจะมานวดขาให้ยายนะคะ”
“ได้จ้ะ รีบไปรีบมานะลูก กินข้าวก่อน ค่อยทำอย่างอื่น” คำพูดอันรื่นหูทำให้คะนิ้งเดินขึ้นไปบนห้อง มีสายตาของผู้เป็นยายชำเลืองมองจนหลานสาวหายเข้าไปในห้อง
หลังจากทานอาหารค่ำเสร็จเรียบร้อย บ้านของคะนิ้งในเวลานี้จะเป็นช่วงเวลาที่คนในครอบครัวจะมารวมตัวกันที่ห้องรับแขกเพื่อผ่อนคลายการกินอิ่มและพูดคุยกัน เด็กสาวยังคงบีบนวดขาให้กับยายพร้อมรอยยิ้มหวาน มันช่างต่างกันกับใบหน้าเมื่อตอนกลางวันอย่างสิ้นเชิง
“คะนิ้งลูก…”
“จ้ะยาย มีอะไรเหรอคะ?” เธอเงยหน้าจากลำขาที่กำลังบีบนวดอย่างมันมือ จ้องมองใบหน้าที่มีรอยย่นเพราะอายุเข้าหลักเจ็ดสิบแล้ว ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรัก
“หนูรู้ไหมสมัยก่อนยายแต่งงานตั้งแต่อายุเท่าไหร่?”
“ยี่สิบหรือเปล่าคะ” คำตอบแบบขอไปที ไม่ได้สนใจในคำพูดของยายมากนัก เธอจ้องมองโทรทัศน์ที่กำลังฉายหนังรักโรแมนติก เพราะกำลังฉายฉากเข้าได้เข้าเข็มของพระนาง
“สิบสี่จ้ะ เพื่อนที่เรียนด้วยกันมา อายุสิบสองก็เอาผัวแล้ว” เสียงหัวเราะของยายดังขึ้น ก่อนที่จะตามด้วยเสียงหัวเราะของไพลินและพรรณนา ซึ่งเป็นพ่อและแม่ของคะนิ้ง
“สิบสี่??” คะนิ้งหันมาจ้องหน้าของยาย “เร็วไปหรือเปล่าคะ หนูไม่แต่งงานหรอกชีวิตนี้จะอยู่กับยายและพ่อกับแม่”
“ได้ไงกัน ยายอุตส่าห์มีความหวังอยากเลี้ยงเหลนสักสองคน จะไม่แต่งงานได้ยังไง แม่หนูมีลูกคนเดียวก็ทำให้ยายปวดใจแล้ว นี่ไม่ใช่ว่ามีลูกอีกไม่ได้ ยายจะให้แม่หนูมีอีกสักสามคน”
“คุณแม่คะ พูดเกินไปแล้วค่ะ” ไพลินพูดขึ้น
“แล้วยายพูดเรื่องนี้ขึ้นมาทำไมคะ??” คะนิ้งเป็นเด็กหัวไว เธอรู้ว่าคำพูดของผู้เป็นยายต้องมีเรื่องราวแอบแฝงเอาไว้แน่นอน
“แต่งงานเถอะ ยายอยากเห็นหนูเป็นฝั่งเป็นฝา”
“ยายจะให้หนูแต่งกับใครคะ?? ถ้าไม่ใช่พระเอกในจอหนูไม่แต่งหรอกนะ” รอยยิ้มขำของคะนิ้งทำให้ยายมองคอนเล็กน้อย เหมือนเรื่องที่ตนเองพูดกลายเป็นเรื่องตลกสำหรับหลานสาว
“ยายหาเจ้าบ่าวเอาไว้แล้ว หล่อกว่าพระเอกในทีวีอีกนะ”
“???” คะนิ้งจ้องมองยายอีกครั้ง เธออยากรู้นักผู้ชายแบบไหนที่คุณยายสุดที่รักของเธออยากได้มาเป็นหลานเขย
“น้ำเหนือไงลูก..”
“ห๊าา!!!!” ไม่ใช่แค่เธอที่ตกใจ พรรณนาและไพลินต่างอุทานออกมาเสียงดังเช่นเดียวกัน
“แม่คะ!! เดียวๆ นี่มันยังไงคะ พูดเล่นใช่ไหมคะ”
“ใช่ครับคุณแม่ คะนิ้งยังเด็ก อย่าพึ่งคิดเรื่องแต่งงานเลยนะครับ ให้เรียนจบมหาลัยก่อนค่อยว่ากัน” พรรณนาเอ่ยทักท้วงเพราะเขาเองก็หวงลูกสาวอยู่มาก ถึงจะเห็นน้ำเหนือมาตั้งแต่เล็กจนโตก็ยังไม่อยากเห็นลูกสาวแต่งงานในตอนนี้
“หยุดๆ ฟังแม่ก่อน แม่มีเหตุผล.. ถือว่าทำเพื่อยายนะลูกนะ” มือของพิมพาถูกวางลงบนหลังมือของหลานสาว เธอตบมันลงมาเบาๆ ก่อนที่จะเอี้ยวตัวไปหยิบซองเอกสารส่งมาให้กลับลูกสาว
“แม่…” ไพลินไล่อ่านเอกสารในมือ ก่อนที่เธอจะร้องไห้ออกมา “ไม่จริงใช่ไหมคะ…แม่คะ..”
“ไม่เป็นไร..อย่าคิดมากเลย พรรณก็เหมือนกัน อย่าห้ามแม่เลยนะ แม่ยากเห็นหลานของแม่ แต่งงานมีครอบครัว ถือว่าเป็นคำขอครั้งสุดท้ายของยายนะ คะนิ้ง..”
“......” สายตาสามคู่จ้องมองมาที่เด็กสาว ความวิตกกังวลใจกำลังวิ่งเข้าเล่นงานเธอในตอนนี้ “ค่ะ หนูจะแต่งงาน แต่หนูมีข้อแม้นะคะ..”
**********
ฝากติดตามผลงานใหม่ด้วยนะคะ