“อะไรนะครับ!! ยายจะให้ผมแต่งงานกับคะนิ้ง บ้าไปแล้วใช่ไหม.. ผมจะแต่งงานกับเธอได้ยังไง เราไม่ได้รักกันนะครับ”
“ฟังยายก่อนลูก” ดวงแขพูดเหตุผลของการแต่งงานในครั้งนี้ให้กลับหลานชายฟัง ถึงแม้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเธอก็เห็นพ้องต้องใจด้วยเช่นกัน ถ้าหากหลานสะใภ้จะเป็นหนูคะนิ้ง แบบนี้ก็โล่งใจไม่น้อย ถึงยังไงก็เป็นคนกันเอง
“ไม่ครับ!! ยังไงผมก็ไม่แต่ง อีกอย่างคะนิ้งคงไม่อยากแต่งเหมือนกัน ผมพึ่งสิบแปดเองนะครับ จะให้แต่งงานไม่เอาด้วยหรอกครับ” คำพูดหนักแน่นเน้นย้ำว่ายังไงการแต่งงานนี้ก็จะไม่เกิดขึ้น
“เหนือลูก…ถือว่ายายขอได้ไหมลูก…หลังจากนั้นค่อยหย่าก็ได้ แต่งพอเป็นพิธีให้ ยายพิมพ์สมหวังหน่อยเถอะลูก” น้ำเสียงปนขอร้องทำให้น้ำเหนือ ขมวดหัวคิ้วชนกัน ไม่รู้สิ่งที่ยายพูดออกมาทำไมถึงทำให้เขาคิดว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ
“ผมมีข้อแม้นะครับ..”
วันต่อมา….
“สวัสดีครับแม่ลิน”
“สวัสดีจ๊ะ ว่าไงลูกวันนี้ดูตื่นสายนะลูก” ไพลินพูดกับน้ำเหนือ ก่อนที่เด็กหนุ่มจะก้าวลงจากรถ
“น้อง..ตื่นหรือยังครับ”
“น้องไปโรงเรียนแล้วจ้ะ คะนิ้งไม่ได้บอกเหนือเหรอลูก ว่าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป จะไปรถรับส่งของโรงเรียน น้องกลัวว่าเหนือจะเหนื่อยนะลูก เพราะช่วงนี้น้องทำกิจกรรมไปเช้ากลับค่ำ”
“ครับ”
“น้องแย่จริงๆ แทนที่จะบอกเหนือ แม่ขอโทษด้วยนะลูก ขับรถดีๆ น้าาา”
“ครับ” น้ำเหนือยกมือขึ้นไหว้ส่งให้ไพลินอีกครั้ง ก่อนหยิบหมวกกันน็อคขึ้นมาสวมใส่ จุดหมายปลายทางคือโรงเรียน ความเร็วของรถมีมากขึ้นกว่าเดิมเป็นหลายเท่า ปกติที่เขามาพร้อมกับคะนิ้ง ไม่เคยขับในความเร็วเท่านี้มาก่อน
บ้านของน้ำเหนือและคะนิ้งอยู่ติดชิดใกล้มีเพียงกำแพงกันเพียงเท่านั้น ทั้งสองเล่นด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก เขาเห็นเธอเป็นเพียงน้องสาว ซึ่งจะให้คิดเป็นอื่นคงไม่ได้ แต่ความรู้สึกที่ได้รับรู้ว่าต่อไปนี้คะนิ้งคงไม่ได้เดินทาง ไปกลับโรงเรียนพร้อมกันตนเอง ในใจมันรู้สึกน้อยใจ ที่เด็กสาวไม่ยอมบอกกล่าวแม้แต่คำเดียว
แต่เรื่องเคืองใจที่น้ำเหนือมีต่อคะนิ้ง เหือดหายไปเมื่อห่างมาหลายวัน เขากลับมาใช้ชีวิตปกติสุข อยากทำอะไรหลังเลิกเรียนก็ทำได้ อยากตื่นสายหน่อยเพื่อไปโรงเรียนก็ทำได้ สุขใดเล่าจะเท่าสุขใจที่ไม่ต้องตื่นเช้าเหมือนอย่างเคย
“เลิกตามฉันสักทีได้ไหม” ประโยคคำพูดที่แฝงเอาไว้ด้วยความไม่พอใจ เด็กสาวหยุดยืนอยู่ที่หน้าเสาธง ในเวลาหลังจากเลิกแถวเคารพธงชาติ
“คะนิ้ง วันนั้นเราขอโทษ..” ปายทำเสียงอ่อน เดินเข้าไปหาคะนิ้งที่ยืนขมวดคิ้วส่งมาให้
“......” เธอไม่ตอบอะไรเพียงหันหลังกลับเดินขึ้นมาบนห้องเรียน
“คะนิ้ง…ฉันเห็นว่าสวนดอกไม้เธอกำลังเปิดแล้วใช่ไหมปีนี่ มีบัตรฟรีเข้าเหมือนปีที่แล้วไหมอะ” เพื่อนหญิงในห้องคนหนึ่งเดินเข้ามาหาเธอ เมื่อหย่อนตัวลงนั่งที่โต๊ะประจำแล้ว
“ฉันยังไม่เข้าไปไร่เลย เอาไว้วันจันทร์นะ เดี๋ยวถามมาให้” คะนิ้งตอบออกไป ทุกปีเธอจะชอบเอาบัตรฟรีเข้าชมสวนดอกไม้มาแจกเพื่อนๆ ในห้องเรียน แต่ปีนี้ด้วยความที่ยุ่งอยู่กับกิจกรรมของโรงเรียนทำให้เธอลืมไปเสียสนิท
“นี่” กิ่งแก้วใช้นิ้วจิ้มลงมาที่แขนของคะนิ้ง เมื่อเพื่อนหญิงคนนั้นเดินออกไป “แกจะเอาบัตรมาแจกแบบนี้ทุกปีเลยเหรอ”
“อืม ก็เพื่อนกันทั้งนั้น จะได้โปรโมทสวนด้วยไง”
“แล้วช่วงนี้เป็นอะไรทำไมใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว นึกว่าจะดีซะอีกที่ผู้หญิงของพี่เหนือไม่มายุ่งกับแกแล้ว”
“ก็ดีหรอก แต่มีเรื่องอื่นให้คิดนะ จบกิจกรรมแล้วค่อยยังชั่วหน่อย จะได้นอนตื่นสายๆ วันหยุดก็ไม่ต้องมาโรงเรียนซ้อมเชียร์แล้ว” คะนิ้งบิดขี้เกียจไปมาก่อนที่คาบเรียนตอนเช้าจะเริ่มต้นขึ้น
“แม่คะ พ่อไปไหนแล้วคะ” คะนิ่งที่วิ่งลงมาจากห้องถามมารดาขึ้น ในช่วงเช้าตรู่ของวันหยุด
“เข้าไร่ไปแล้วจ้ะมีอะไรหรือเปล่าลูก ทำไมวิ่งลงมาแบบนั้น เดี๋ยวก็ตกบันไดหรอก แม่บอกหลายครั้งแล้วนะ”
“แม่ไปส่งหนูที่ไร่ได้ไหมคะ”
“จะไปทำไม วันหยุดก็พักผ่อนเถอะลูก แม่เห็นตื่นเช้ากลับค่ำมาสองอาทิตย์แล้วนะ วันนี้ก็อยู่บ้านเถอะ วันนี้แม่มีพายายไปหาหมอ คงพาลูกเข้าไร่ไม่ได้หรอก แต่ถ้าจะไปจริงๆ ลองเดินไปที่บ้านข้างๆ สิลูก เผื่อยังมีคนไม่เข้าไปไร่จะได้ติดรถเขาไปด้วยกัน”
“ได้ค่ะ” เธอวิ่งเร็วออกจากบ้านตรงไปที่ประตูรั้วบ้านขนาดเล็กที่เป็นจุดเชื่อมเดินของคนทั้งสองบ้าน ประตูเหล็กดันถูกเปิดออก ก่อนที่จะปิดลงด้วยมือเล็กๆ ของเด็กสาว
ภายในบ้านดูเงียบสงบ แต่มีรถจอดอยู่ครบทุกคัน คะนิ้งยิ้มออกมาด้วยความดีใจ เมื่อมองเห็นใครบางคนที่กำลังก้มๆ เงยๆ อยู่ข้างๆ รถยนต์สีคำคันเก่ากลางใหม่ ที่เอาไว้ใช้เดินทางเข้าไปในไร่
“พ่อธนา สวัสดีค่ะ” เด็กสาวยกมือไหว้พร้อมรอยยิ้มแสนอ่อนหวานให้กลับชายวัยกลางคนที่กำลัง ล้างทำความสะอาดรถยนต์ของตนเอง
“ว่าไงลูก มาหาเหนือเหรอ อยู่ด้านในนะลูกกำลังทานข้าวกันอยู่ ไปหาแม่บัวในบ้านนะลูก”
“ค่ะ”
เมื่อก้าวพ้นขอบประตูบ้านทางด้านหลังที่เดินอ้อมมา เธอรู้แผนผังในบ้านของน้ำเหนือเป็นอย่างดี เพียงหลับตาเดินยังสามารถทำได้ เหมือนกลับเด็กหนุ่มเช่นเดียวกัน ก็รู้แผนผังของบ้านเธอแทบจะทุกมุม
“สวัสดีค่ะแม่บัว”
“ว่าไงลูกมากินข้าวกัน วันนี้มีข้าวต้มหมูสับ” บัวตองลุกขึ้นเดินไปจัดอาหารมาให้เด็กสาวที่รักเหมือนลูกสาวอีกคน ซึ่งเป็นลูกของเพื่อนสนิทของเธอเอง
“ขอบคุณค่ะ”
“แล้ววันนี้จะพากันไปไหนหรือลูก…”
“คือหนูจะมาขอติดรถเข้าไปในไร่หน่อยนะคะ คุณพ่อเข้าไร่ไปแต่เช้าแล้ว ส่วนคุณแม่จะพายายไปหาหมอ มีใครจะเข้าไปไร่ไหมคะ”
“วันนี้แม่กับพ่อจะเข้าเมืองนะลูก งั้นแม่ให้เหนือพาไปดีไหม ว่าไงเหนือ พาน้องเข้าไร่หน่อยนะลูก” บัวตองหันมาถามลูกชายที่กำลังนั่งซดน้ำข้าวต้มอยู่ตรงหน้า
“ครับ” น้ำเหนือตอบเพียงสั้นๆ ก่อนที่จะรีบทานข้าวตรงหน้าแล้วขึ้นมาบนห้องเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ เตรียมตัวเข้าไปในไร่ วันนี้เขาวางแผนที่จะเข้าไปที่ไร่อยู่พอดี ถ้าหากคะนิ้งอยากติดรถเข้าไปด้วยก็ไม่เป็นปัญหาแม้แต่น้อย
คะนิ้งนั่งซ้อนท้ายรถบิ๊กไบค์ของน้ำเหนือเข้ามาในไร่ ระยะทางระหว่างบ้านและที่ไร่ห่างไกลประมาณสิบกิโลเมตร เดินทางเพียงไม่กี่สิบนาทีก็มาถึงจุดหมาย ด้านหน้าเป็นทางแยกซ้ายขวา ถ้าไปทางซ้ายจะเป็นไร่ของเธอเอง และหากเลี้ยวไปทางขวาจะเป็นไร่ของเขา รถถูกขับเข้ามาในไร่ดอกไม้ของคะนิ้ง
ท่อรถอันเสียงดังทำให้คนงานต่างหันมามองกัน สองข้างทางเต็มไปด้วยดอกกุหลาบหลากหลายสายพันธุ์ มันกำลังเบ่งบานรับแสงแรกของวัน ไอหมอกแสนเบาบางกำลังหายไปเมื่อดวงตะวันลอยขึ้นมาบนท้องฟ้า
“ขอบคุณที่มาส่ง” คะนิ้งเอ่ยคำขอบคุณเมื่อก้าวลงจากรถ
“เดี๋ยว..แล้วขากลับจะกลับด้วยไหม จะได้แวะมารับ”
“พี่จะกลับกี่โมง”
“คงเป็นตอนบ่าย จะกลับไปกินข้าวเที่ยงที่บ้าน”
“อืม..” เธอขานรับเพียงเท่านั้น แล้วหันหลังเดินเข้ามาในสำนักงาน ที่เงียบเหมือนไม่มีใครอยู่ด้านใน “ไหนบอกว่าจะเข้าไร่ไง ตามมาทำไม??”
“ขอเข้าห้องน้ำหน่อย” น้ำเหนือเดินเข้ามาด้านใน เขารีบเดินตรงไปที่ห้องน้ำตามที่ตนเองพูดเมื่อครู่
“น้องคะนิ้ง..” แม่บ้านประจำสำนักงานเอ่ยทักทายขึ้น
“สวัสดีค่ะ หนูมาเอาของ”
“นี่คะ คุณเลขาบอกให้ป้าเอาไว้ให้น้องคะนิ้ง” ป้าแม่บ้านที่เป็นคนอีสานผิวเข้มแดดส่งยิ้มมาอย่างเป็นมิตร
“ไม่มีคนอยู่ออฟฟิศเลยเหรอคะ”
“ไม่มีค่ะ เข้าไร่ไปกันหมดแล้ว คงไม่มีใครเข้ามาออฟฟิศแล้วค่ะ คุณพรรณบอกให้ป้าปิดออฟฟิศได้เลย แต่ป้ารอน้องคะนิ้งอยู่ เดี๋ยวป้าจะปิดออฟฟิศแล้วนะคะ”
เธอมองซองเอกสารในมือเล็กน้อย ก่อนกล่าวคำขอบคุณ วันนี้ดูท่าพ่อพรรณนาจะมีงานเร่ง คงเดินเตร็ดเตร่เล่นอยู่ที่ไร่คงไม่สะดวกมากนัก น้ำเหนือมองหน้าเด็กสาวที่มายืนรอเขาอยู่ที่รถ
“ขอไปที่ไร่ด้วยหน่อย”
“อืม”
เขาและเธอก็จะเป็นกันแบบนี้ พูดคำตอบคำ บางครั้งก็แค่มองหน้ากันก็รู้ว่าอีกฝ่ายจะตอบกลับมาว่าอะไร น้ำเหนือเป็นคนไม่เรื่องมาก ไม่เคยขัดใจเด็กสาวที่อยู่ตรงหน้าเลยสักครั้ง เพราะเขาถูกสอนให้ดูแลปกป้องคะนิ้ง มาตั้งแต่เด็ก ความสัมพันธ์เหมือนพี่น้องแต่ก็ไม่ใช่ ไม่ได้ทำให้เขาทั้งสองคนอึดอัดใจแต่อย่างใด
“มาที่ไร่ทำไม” น้ำเหนือถามขึ้น เมื่อปรับความเร็วของรถให้อยู่ในความเร็วที่ไม่มากนัก เป็นเชิงนั่งรถชมวิวเสียมากกว่า
“มาเอาบัตรเข้าชมสวนให้เพื่อนในห้อง พี่จะเอาด้วยไหม น่าจะมีเหลือเอาไปแจกเพื่อนในห้องด้วย”
“อืม”
เอี๊ยดดดดด เสียงลากเบรกรถยาว ศีรษะของคะนิ้งเอนไปด้านหน้าทำให้หน้าผากของเธอโขกเข้ากับแผ่นหลังของน้ำเหนือ
“เกิดอะไรขึ้น??” เสียงตกใจของคะนิ้งดังขึ้น เธอหันมองไปรอบบริเวณด้วยความสงสัย ว่ามีสิ่งใดกันเขาถึงได้เบรกรถกะทันหันแบบนี้
“ลูกหมา..” น้ำเหนือเอาเท้าเกี่ยวขาตั้งรถก่อนที่เขาจะดับเครื่องยนต์ เดินกลับไปทางเดิมเพียงสีก้าวก่อนที่จะจ้องมองเข้าไปในพงหญ้าข้างทาง
ตอนนี้เขาขับเข้ามาในเขตไร่ของตัวเอง สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นส้มเรียงรายเป็นแถวยาวสุดลูกตา อีกด้านเป็นสวนอะโวคาโดปลอดสารพิษเป็นสายพันธุ์ตัดต่อพิเศษของทางไร่ กำลังขยายพันธุ์ลงดินเพื่อรอให้ลูกค้ามารับพร้อมมีทั้งลูกขาย
“หมาจะมาอยู่อะไรตรงนี้ ไม่ใช่อย่างอื่นหรอกนะ ถ้าเป็นหมาแล้วแม่มันไปไหน” สายตาของคะนิ้งเริ่มสาดส่องหาแม่สุนัขตัวเล็กที่ร้องครางอยู่ในพงหญ้า ไม่มั่นใจมากนักว่ามีกันกี่ตัว
“แม่มันไม่อยู่คงออกไปหาของกินมั้ง” น้ำเหนือพูดแค่นั้นแล้วสาวเท้าเข้าไปในพงหญ้า ก้มลงมองลูกสุนัขตัวเล็กๆ ที่มีกันอยู่แค่สามตัว
“มะ มะ แม่มันมาแล้ว…” คะนิ้งพูดขึ้น เมื่อมองเห็นแม่สุขนักที่วิ่งตรงมาทางเธอและน้ำเหนือ เท้าเล็กที่ยืนนิ่งอยู่กับที่เดินถอยหลังในทันที “มันจะกัดเราไหม..” แววตาของเด็กสาวเต็มไปด้วยความกลัว หัวใจที่สงบนิ่งตอนนี้กำลังเต้นแรง เพราะความกลัวว่าแม่สุนัขจะหวงลูกของมัน
“อยู่นิ่งๆ” น้ำเหนือออกคำสั่งไม่ให้เธอขยับตัว ในมือของเขาเองยังอุ้มลูกสุนัขอยู่ กะจะวางมันลงก็คงไม่ทันแล้ว เพราะแม่ของมันจ้องเขาตาเป็นมัน คงหวงลูกน้อยที่ส่งเสียงร้องด้วยความหิว